บัญญัติ 10 ประการ
ในพันธสัญญาใหม่
ในพันธสัญญาใหม่
ในบัญญัติ 10 ประการนั้น หลายคนบอกว่าธรรมบัญญัติเดิมจบไปแล้ว พระเยซูมาทำแทนแล้ว เราไม่ต้องทำแล้ว แต่พระเยซู ตลอดจนพันธสัญญาใหม่ก็ยังสอน บัญญัติ 10 ประการ อย่างเสมอและต่อเนื่อง วันนี้เราลองมาดูกันว่า พระคัมภีร์สอนเราในเรื่องบัญญัติ 10 ประการอย่างไรบ้าง
1 อพยพ 20:3 ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
: สิ่งที่พระเยซูทรงตรัสสอน
มธ. 4:10 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์ แต่ผู้เดียว’ ”
: สิ่งที่สอนในพันธสัญญาใหม่
กจ. 17:29 เพราะฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าทรงเป็นทอง เงิน หรือหิน ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นจากศิลปะและความคิดของมนุษย์
1คร. 8:6 แต่ว่าสำหรับเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดา ทุกสิ่งเกิดมาจากพระองค์และเราอยู่เพื่อพระองค์ และมีพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว ทุกสิ่งเกิดมาโดยพระองค์และเราก็เป็นมาโดยพระองค์
: พระยาห์เวห์ พระองค์ทรงหวงแหนเรา
2คร. 11:2 เพราะว่าข้าพเจ้าหวงแหนพวกท่านอย่างที่พระเจ้าทรงหวงแหน เพราะว่าข้าพเจ้าหมั้นท่านไว้กับสามีคนเดียว เพื่อถวายพวกท่านให้เป็นหญิงพรหมจารีบริสุทธิ์แด่พระคริสต์
อพย. 34:14 (ห้ามนมัสการพระอื่น เพราะพระยาห์เวห์ผู้มีพระนามว่า “หวงแหน” เป็นพระเจ้าผู้ทรงหวงแหน)
หรือ อย่า bow = ก้มศีรษะ หรือโค้งลง นมัสการพระอื่น bow คือ shachah คือบริบทของท่วงท่าการนมัสการ และควรจะนมัสการพระเจ้าเท่านั้น
คำว่า หวงแหนคือ รักและถนอมไม่อยากให้ใครแตะต้อง ความหึงหวงเป็นการเรียกร้องให้อีกฝ่ายจงรักภักดี พระองค์ต้องการให้เรามีแต่เพียวพระองค์ผูเดียว ถ้าเราเปรียบภาพของสามีและภรรยา มันไม่ใช่เป็นการหึงหวงแบบที่สามีอารมณ์เสียเมื่อเห็นภรรยาไปคุยกับชายอื่น และร่าเริง แต่มันเป็นการหึงหวงแบบสามีเรียกร้องให้ภรรยารักเขาและมีเขาเป็นสามีเพียงคน เดียว เราอาจจะมีอคติกับคำว่าหึงหวงในด้านที่ไม่ดี แต่ความหึงหวงของพระองค์คือต้องการให้เรามีพระองค์เพียวผู้เดียว
พระองค์ต้องการให้เรามีแต่เพียงพระองค์ผู้เดียว พระสองพระจะอยู่ด้วยกันไม่ได้
สดด. 78:58 เพราะพวกเขายั่วเย้าพระองค์ให้กริ้วด้วยเรื่องปูชนียสถานสูง ของเขา ได้ทำให้พระองค์ทรงหวงแหนเขาด้วยเรื่องรูปเคารพแกะสลักของ เขา
ใน ยอห์น ข้อ 22 พระคัมภีร์ทำไมโยงเรื่องการนมัสการ
สิ่งที่พวกเธอนมัสการพวกเธอไม่รู้จัก
สิ่งที่เรานมัสการเรารู้จัก เรารู้ว่าสิ่งใดเราควรนมัสการ
สำหรับความรอด
อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเรื่อง : เพราะเธอมีสามีถึง 5 คนแล้ว (ยอห์น 4:18)
http://missionkorat.blogspot.com/2013/04/418.html
2 อพยพ 20:4-6 ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน
1ยน. 5:21 ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพ
พระวจนะเกือบทุกฉบับ ให้ความหมายว่า รูปเคารพก็คือ Idols โลกส่วนใหญ่มักใช้คำนี้ กับบุคคลที่ชื่นชอบ แม้กายจะไม่ได้ไปกราบไหว้นมัสการ แต่แค่คำพูดที่สื่อและเรียกออกมาก็ถือว่า เราได้สรรเสริญรูปเคารพไปแล้ว นักดนตรีหลายคน พูดเสมอว่า เขามี ไอดอล คือคนนั้นคนนี้ นักร้องหลายคน ศิลปินหลายคนกลายเป็นไอดอล และบางคนติดรูปเหล่านี้ไว้จนเต็มห้องไม่ต่างไปจากรูปเคารพ
บางครั้ง หลายคนให้คำจำกัดความ ไอดอล ว่า Idol = ต้นแบบ, หรือตัวอย่าง ,หรือสิ่งที่เราถือเป็นแบบอย่างของเรา
ที่มา http://th.w3dictionary.org ได้ให้ความหมายของ ไอดอล ว่า
N. คนหรือสิ่งที่ได้รับความชื่นชมหรือคลั่งไคล้อย่างมาก
relate:{ฮีโร่}
syn:(hero)(heroine)(ideal)
N. เทวรูป
relate:{รูปปั้นของพระผู้เป็นเจ้า}
syn:{graven image}(icon)
N. สิ่งต้องห้ามไม่ให้ได้รับการบูชาในศาสนาที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว
idol (ไอ'เดิล)
n. รูปบูชา, วัตถุบูชา, เทวรูป, สิ่งศักดิสิทธิ์ที่ไม่ใช่พระเจ้า,
มิ่งขวัญ, จินตนาการ
ฉบับ Messianic ได้ให้คำอธิบายว่า เด็กๆเอ๋ย จงระวังพระเจ้าเทียมเท็จ (หรือจงห่างไกลจากการนมัสการรูปเคารพ)
ใน ส่วนนี้อาจจะมีความเห็นที่แตกต่าง ถ้าคำว่ารูปเคารพ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ เราเคารพ บูชา หรือไปกราบไหว้ เป็นรูปปั้น หรือมุมกว้างอาจจะเป็นอะไรก็ตามที่เรารักและให้ความสำคัญมากกว่าพระเจ้า เช่นรถ หรือสิ่งของ หรือคน แต่ถ้าเรามองไปที่คำว่า ไอดอลแล้ว เราจะได้มุมมองเพิ่มเติมว่าบางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัวถึงท่าทีและคำพูดที่ เราพูดออกไป หรือมีท่าทีว่า ใครสักคนเป็น ไอดอลของเรา หรือเราคลั่งไคล้ใครสักคนที่เขาเก่งและเรากำลังจะเลียนแบบเขา แม้มันจะเป็นมุมที่ดี แต่การคลั่งไคล้หรือยึดติดสิ่งนั้นก็เป็นรูปเคารพได้
ธรรมบัญญัติข้อหนึ่งของพระเจ้าคือ
ลนต. 19:4 อย่าหันไปนับถือรูปเคารพ และห้ามหล่อรูปเคารพไว้สำหรับตน เราคือยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า
1ยน. 5:18 เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป (มันเป็นวิถีชีวิต) แต่พระองค์ผู้ทรงบังเกิดจากพระเจ้าทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา
เด็กๆบางคนอาจจะมีไอดอลของเขาด้วย เช่นในการ์ตูน หลายคนอาจจะฉุนเฉียวว่าแค่การ์ตูนทำไมถึงต้องมาซีเรียส แต่ถ้าเราปล่อยให้เด็กดูแต่การ์ตูนและไม่คอยแนะนำหรือดูมากจนเด็กเอาไปเล่น เป็นตัวฮีโร่นั้นๆ เช่น อุลตร้าแมนสมัยผมเป็นเด็ก ซึ่งได้แนวคิดมาจากพระพุทธรูปบ้านเรานี่เอง เด็กหลายคนมักเรียนแบบและเล่นเป็นตัวฮีโร่ตัวนั้น และคิดว่าตัวเองเป็น อุลตร้าแมนจริงๆ บางคนโตมา ขนาดสะสมโมเดลเหล่านี้แบบหวงแหนสุดชีวิต ไม่ต่างกับรูปเคารพเลยก็มี (ผมเพียงยกตัวอย่างนะครับ)
ขอพระเจ้าเปิด เผยว่ารูปเคารพของเราคืออะไร ซึ่งอาจจะซ่อนอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งมันอาจจะเป็น ไอดอล พระเจ้าอีกตัวหนึ่ง ที่ไม่ใช่พระยาห์เวห์
1คร. 10:7 พวกท่านอย่านับถือรูปเคารพเหมือนบางคนในพวกเขาได้ทำ ดังที่มีเขียนไว้ว่า “ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกสนาน”
อสย. 42:8 เราคือยาห์เวห์ นั่นเป็นนามของเรา เราไม่ให้สง่าราศีของเราแก่ผู้อื่น หรือให้คำที่สรรเสริญเราแก่รูปแกะสลัก (และข้อ 11)
3 อพยพ 20:07 ห้ามใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าไปในทางที่ผิด
หรือ “อย่าออกพระนามพระเจ้าของเจ้าอย่างไม่สมควร เพราะผู้ที่ออกพระนามพระองค์อย่างไม่สมควรนั้น พระเจ้าจะทรงถือว่าไม่มีโทษก็หามิได้
: หลายครั้ง เราเล่นๆกับพระนามของพระเจ้า คำคำนี้หมายถึง อย่าออกพระนามพระยาห์เวห์ อย่างเปล่าๆ หรือ ว่างเปล่า เช่น เดินไปที่ เซเว่น ร้านสะดวกซื้อ และ ทำไม้ทำมือเล่น กล่าวว่า พระเจ้าประตูจงเปิดในนามพระเยซู เป็นต้น
คำในภาษาฮีบรู "in vain" อย่างไร้ความหมาย, ในความไม่มีสาระ ไร้ประโยชน์, ไม่มีสาระ, ไม่สำคัญ, และมีความหมายอีกว่า shav ในภาษาฮีบรู คือความว่างเปล่า, ความไร้สาระ, การไร้คุณค่า, สิ่งที่ไร้สาระ, ความไร้ประโยชน์ และยังหมายถึง ความเชื่อที่ไม่จริง, และความเท็จ และยังหมายถึงเปลี่ยนแปลง หรือการปลอมแปลง ด้วย
1ทธ. 6:1 จงให้คนทั้งหลายที่อยู่ใต้แอกของความเป็นทาส ถือว่านายของตนนั้นเป็นผู้สมควรได้รับเกียรติทุกอย่าง เพื่อว่าพระนามของพระเจ้าและคำสอนจะไม่ถูกดูหมิ่น
4 อพยพ 20:8-11 จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์
เฉลยธรรมบัญญัติ 5:12-15
: ในภาษา ฮีบรูคำว่า "kadosh" ตามความหมายคือ "วางแยกจาก หรือ ออกมาจาก" ภาษาอังกฤษมักใช้คำว่า "Holy" ภาษาไทยคือ "บริสุทธิ์" แต่คำความหมายในภาษาฮีบรูนั้นลึกซึ้งมากกว่าคำว่า บริสุทธิ์ ในบริบทของพระยาห์เวห์คือ พระองค์ คาโดช คือไม่มีบาป และพระองค์แยกออกจากความบาปสิ่งไม่ดีอย่างสิ้นเชิง สำหรับเรา คำว่า คาโดช หมายถึง "การที่เราแยกตัวออกมาเพื่อพระยาห์เวห์โดยเฉพาะ"
วันบริสุทธิ์ "คาโดช" คือวันที่ตั้งเพื่อให้ ชับบาท ตั้งอยู่ห่างจากวันที่ทำงานอีก 6 วัน
นอกจากนี้ยังมีความจริงที่ว่า "จำ" จำวัน ชับบาท ในที่นี้ไม่ได้แค่ให้จำได้ รู้ในสมอง แต่หมายถึง จำคือการนำกลับเข้ามาในความทรงจำและประพฤติ
คำภาษาฮิบรูสำหรับ "ศักดิ์สิทธิ์ หรือ บริสุทธิ์" คือ "Kadosh" และมีความหมายว่า "แยก"
ฮบ. 4:3 ส่วนพวกเราผู้ที่เชื่อแล้วก็ได้เข้าสู่การหยุดพัก ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ตามที่เราได้ปฏิญาณด้วยความโกรธว่า ‘พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา’ ” แม้ว่างานของพระองค์จะเสร็จสิ้นตั้งแต่การสร้างโลก
ฮบ. 4:4 เพราะมีข้อหนึ่งกล่าวถึงวันที่เจ็ดอย่างนี้ว่า “ในวันที่เจ็ดนั้น พระเจ้าทรงหยุดพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์”
ฮบ. 4:5 และในข้อนั้นก็กล่าวอีกว่า “พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา”
ฮบ. 4:6 ที่จริงยังมีทางให้บางคนเข้าสู่การหยุดพักนั้นได้ แต่คนเหล่านั้นที่ได้ยินข่าวประเสริฐคราวก่อนไม่ได้เข้า เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟัง
ฮบ. 4:7 ดังนั้นพระองค์จึงทรงกำหนดไว้อีกวันหนึ่งคือ “วันนี้” ตามที่พระองค์ตรัสทางดาวิดในเวลาหลายปีต่อมา ถึงข้อที่เคยอ้างมาแล้วว่า “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น”
ฮบ. 4:8 เพราะหากโยชูวาให้พวกเขาเข้าสู่การหยุดพักนั้นแล้ว พระเจ้าก็คงไม่ตรัสในภายหลังถึงวันอื่นอีก
ฮบ. 4:9 ฉะนั้นจึงยังมีการหยุดพักสะบาโตสำหรับประชากรของพระเจ้า
ฮบ. 4:10 เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าสู่การหยุดพักของพระองค์แล้ว ก็ได้หยุดพักจากงานของตนเอง เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงหยุดพักจากพระราชกิจของพระองค์
ฮบ. 4:11 เพราะฉะนั้น ขอให้เราพยายามเข้าสู่การหยุดพักนั้น เพื่อจะไม่มีคนหนึ่งคนใดพลาดไปทำตามอย่างคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น
มธ. 12:12 มนุษย์คนหนึ่งย่อมประเสริฐยิ่งกว่าแกะมากทีเดียว เพราะฉะนั้นจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันสะบาโต”
มก. 2:27 พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์ ไม่ได้ทรงสร้างมนุษย์ไว้เพื่อวันสะบาโต
ผมคัดเหตุผลที่เราควร รักและรักษาวันสะบาโต (ชับบาท) มาแบ่งปันบางส่วนครับ
เหตุผลที่เราควรยึดวันสะบาโตในพระคัมภีร์
สะบาโตหรือ ชับบาท (shabat) เป็นวันที่พระยาห์เวห์ทรงหยุดพัก และพระประสงค์ของพระองค์คือให้เราทั้งหลายหยุดพักด้วย รายละเอียดในวันนี้ผมจะไปแบ่งปันมากนัก แต่จะหนุนใจว่า ทำไมเราถึงต้องรักษาสะบาโตนี้ไว้ ซึ่งคือวันเสาร์ ตั้งแต่วันศุกร์ 18.00 น. – วันเสาร์ 18.00 น. เป็นเวลาที่เราจะหยุดพักจากการทำงานอันยุ่งเหยิง ธรรมเนียมของยิวนั้นเคร่งครัดนัก แม้แต่เปิดสวิทช์ไฟยังไม่ได้เลย จุดไฟหุงหาอาหาร ก็ไม่ได้ ห้ามทำการค้าขายทุกอย่าง แต่ในความเป็นจริงพระประสงค์ของพระเจ้านั้นไม่ได้ขนาดทำอาหารอะไรไม่ได้หรือ เปิดไฟไม่ได้ แต่เราหยุดจากการงานทั้งปวง การค้าขาย หยุดพักและเน้นความสัมพันธ์กับพระยาห์เวห์ ใช้เวลากับพระองค์ให้เต็มที่ในวันนั้น
ขอพระยาห์เวห์อวยพระพรทุกคนนะครับ
จริงๆแล้วมีหลายเหตุผลที่เรา ไม่มีข้ออ้างเลยที่จะละทิ้งหรือเมินเฉยต่อสะบาโต แต่ผมขออนุญาตหยิบยกเพียงบางข้อมา เพื่อหนุนใจและแบ่งปันนะครับ
เหตุผลที่ 1 พระเจ้าเสร็จงานของพระองค์ในการสร้างและการพักผ่อนในวันที่ 7
(ปฐมกาล. 2:2-3, อพยพ 31:17)
2 วันที่เจ็ด พระเจ้าก็เสร็จงานของพระองค์ที่ทรงทำมานั้น ในวันที่เจ็ดนั้นก็ทรงหยุดพักจากการงานทั้งสิ้นของพระองค์ที่ได้ทรงกระทำ
3 พระเจ้าจึงทรงอวยพรวันที่เจ็ด ทรงตั้งไว้เป็นวันบริสุทธิ์ เพราะในวันนั้นพระองค์ทรงหยุดพักจากการงานทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเนรมิตสร้าง และทรงกระทำ
17 เป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับชนชาติอิสราเอลเป็นนิตย์ว่า ในหกวันพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลก แต่ในวันที่เจ็ดทรงหยุดพัก และหย่อนพระทัย’ ”
: ชับบาท หรือสะบาโต เป็นพันธสัญญาที่วิเศษที่สุด ระหว่างพระยาห์เวห์กับลูกๆของพระองค์ที่จะใกล้ชิดกัน และมาพบกันในหมายกำหนดและวันนัดพบ มันเป็นวันแห่งความสุขในทุกวันที่ 7 ที่เราจะเอาตัวออกจากโลก จากสิ่ง จากงานที่จำเจ พระองค์สัญญาว่าจะปกป้อง คุ้มครอง และประทานพระพรมากมายในวันนี้
เหตุผลที่ 2 วันเสาร์วันสะบาโตเป็นหนึ่งในบัญญัติ 10 ประการ
(อพยพ 20:8-11, เฉลยธรรมบัญญัติ 5:12-15)
8 “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์
: ในภาษา ฮีบรูคำว่า "kadosh" ตามความหมายคือ "วางแยกจาก หรือ ออกมาจาก" ภาษาอังกฤษมักใช้คำว่า "Holy" ภาษาไทยคือ "บริสุทธิ์" แต่คำความหมายในภาษาฮีบรูนั้นลึกซึ้งมากกว่าคำว่า บริสุทธิ์ ในบริบทของพระยาห์เวห์คือ พระองค์ คาโดช คือไม่มีบาป และพระองค์แยกออกจากความบาปสิ่งไม่ดีอย่างสิ้นเชิง สำหรับเรา คำว่า คาโดช หมายถึง "การที่เราแยกตัวออกมาเพื่อพระยาห์เวห์โดยเฉพาะ"
วันบริสุทธิ์ "คาโดช" คือวันที่ตั้งเพื่อให้ ชับบาท ตั้งอยู่ห่างจากวันที่ทำงานอีก 6 วัน
นอกจากนี้ยังมีความจริงที่ว่า "จำ" จำวัน ชับบาท ในที่นี้ไม่ได้แค่ให้จำได้ รู้ในสมอง แต่หมายถึง จำคือการนำกลับเข้ามาในความทรงจำและประพฤติ
9 จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
10 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรหญิงของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ในประตูเมืองของเจ้า
11 เพราะในหกวันพระยาห์เวห์ทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระยาห์เวห์ทรงอวยพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์
12 ‘จงรักษาวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์ ดังที่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าทรงบัญชาไว้แก่เจ้า
: คำภาษาฮิบรูสำหรับ "ศักดิ์สิทธิ์ หรือ บริสุทธิ์" คือ "Kadosh" และมีความหมายว่า "แยก"
13 จงทำงานทั้งสิ้นของเจ้าหกวัน
14 แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตแด่พระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้า ในวันนั้นห้ามทำงานใดๆ ไม่ว่าเจ้าเอง หรือบุตรชายบุตรสาวของเจ้า หรือทาสทาสีของเจ้า หรือโคของเจ้า หรือลาของเจ้า หรือสัตว์ใช้งานของเจ้า หรือแขกที่อยู่ในประตูเมืองของเจ้า เพื่อทาสทาสีของเจ้าจะได้หยุดพักอย่างเจ้า
15 จงระลึกว่าเจ้าเคยเป็นทาสอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ และพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าได้นำเจ้าออกมาจากที่นั่น ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่เหยียดออก ดังนั้นพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าจึงทรงบัญชาให้เจ้ารักษาวันสะบาโต
เหตุผลที่ 3 เป็นสิ่งพระเจ้าตรัสสั่งไว้ให้รักษา สะบาโตของพระองค์
(อพยพ 31:13)
13 “เจ้าจงสั่งชนชาติอิสราเอลว่า ‘จงรักษาวันสะบาโตของเราไว้ เพราะนี่จะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับพวกเจ้าตลอดชั่วชาติพันธุ์ของพวกเจ้า เพื่อจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ ผู้ชำระเจ้าทั้งหลายให้บริสุทธิ์
: ตลอดในข้อ 12-19 แสดงให้เห็นชัดเจนว่า พันธสัญญานิรันดร์ วันชับบาท นี้ได้ทรงประสงค์ให้ลูกๆของพระองค์ ผู้ที่เข้ามาในเวลาและหมายกำหนดนี้ก็ได้เข้าสู่พันธสัญญา รับเอาพระพร ร่วมกับครอบครัวแห่งพันธสัญญาของพระองค์ด้วย
เหตุผลที่ 4 สะบาโตถูกจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า
(อพยพ 31:18, เฉลยธรรมบัญญัติ 9:10)
18 เมื่อพระองค์ตรัสกับโมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว จึงประทานแผ่นพระโอวาทสองแผ่น เป็นแผ่นศิลาจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า
10 และพระยาห์เวห์ได้ประทานศิลาจารึกสองแผ่นที่ทรงจารึกด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระ เจ้าแก่ข้าพเจ้า บนแผ่นจารึกนั้นมีพระวจนะทั้งสิ้นซึ่งพระยาห์เวห์ได้ตรัสกับท่านทั้งหลายบน ภูเขาจากท่ามกลางเพลิงในวันที่ประชุมกันอยู่
: หนังสือนับล้านเล่มที่มนุษย์ได้เขียนขึ้น เพื่อสอนและเพื่อให้คนปฏิบัติตาม และนี่คือ บัญญัติ 10 ประการ (ชับบาท) ที่เขียนโดยนิ้วพระหัตถ์ของพระยาห์เวห์ มนุษย์จะไม่เชื่อฟังและปฏิบัติตามเชียวหรือ ?
เหตุผลที่ 5 สะบาโต(ธรรมบัญญัติ)ไม่ยาเกินไปสำหรับเรา
(เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11)
11 “เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ สำหรับท่านไม่ยากเกินไป และไม่ไกลเกินไปด้วย
: พระเยซูก็รักษา สะบาโต (ชับบาท) บริบทของ พระคัมภีร์ ไม่ใช่ทุกวันหรือวันไหนก็ได้ พระองค์สอนในธรรมศาลา และเข้าธรรมศาลาวันสะบาโต แต่พระองค์ไม่ยอมรับ สิ่งที่ ฟาริสี หรือมนุษย์ที่เพิ่มเข้าไปมากมายจน สะบาโตกลายเป็นภาระ เป็ยการเคร่งศาสนา วิญญาณศาสนาไป นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของ สะบาโต (ชับบาท) เลย พระองค์ช่วยคนที่ทุกข์ทรมาน และรักษาพวกเขา
และพระองค์ยังตรัสว่าพระองค์เป็น เจ้านายเหนือวันสะบาโต
มธ. 12:8 เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต”
: พระวจนะตอนนี้กำลังบอกว่า องค์ยาชูวาห์ หรือพระเยซูนั้น เป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโต
แน่นอนครับนี่เป็นความถูกต้องพระองค์ใหญ่กว่าสะบาโต ไม่ใช่สะบาโตใหญ่กว่าพระองค์
เมื่อก่อนมนุษย์เป็นทาสสะบาโต ซึ่งพระประสงค์ของพระยาห์เวห์พระบิดาที่จัดสรรวันสะบาโต หรือ ชับบาท ขึ้นมานั้นไม่ใช่เพื่อให้มนุษย์ตกเป็นทาสสะบาโต และกลายเป็นพิธีกรรม ประเพณี หรือการเคร่งศาสนาและตัดสินผู้อื่นโดยการขว้างหินใส่ให้ตาย
หลายคนก็เลยเข้าใจผิด และสอนว่า พระองค์ฝ่าฝืนวันสะบาโต โดยยกเลิกสะบาโตเดิมแล้ว บัดนี้สะบาโตคือวันอาทิตย์ ของปฏิทินเกกลอเลี่ยน (กรีก) หรือทุกวันคือสะบาโตในพระเยซูแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องกลับไปสู่เงาของสะบาโตเดิมอีก ให้เคร่งครัดเป็นศาสนา และยุ่งยาก
ในพันธสัญญาเดิมพระเจ้าทรงหยุดพักในวันที่เจ็ด และทรงประสงค์ให้วันที่เจ็ดนี้ มวลมนุษย์ทั้งหลายได้พบปะกับพระองค์ รับพระพร และมีความสนิทสนมสัมพันธ์สนิทกับพระองค์ ซึ่งสะบาโตในบริบทนั้นคือตามดวงจันทรคติ แม้พระเยซูจะมาแต่พระองค์ไม่ได้มาเพื่อจะเปลี่ยนวันสะบาโต หรือยกเลิกสะบาโต พระเยซูจะมาทำอะไรค้านกับ สิ่งที่พระบิดากำหนดไว้หรือ เปล่าเลย
เมื่อพระเยซูตรัสว่า มัทธิว 5:17-20
อย่าคิดว่า เรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า จนกว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุด หรือขีด ขีดหนึ่ง ก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าทุกสิ่งจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ใครที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
สิ่งที่หลาย คนเข้าใจผิดคือ คำว่า มาทำให้มันสำเร็จ ความหมายที่แท้จริงคือ พระองค์มาทำตามนั้นและเดินตามนั้นทุกประการ จนกว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้น
ดังนั้นความหมายที่แท้จริงของพระวจนะตอนต้นที่กล่าวว่า พระเยซูทรงเป็นเจ้านายเหนือวันสะบาโตนั้น หมายถึง
เยซูวากำลังบอกว่าว่าการตีความวันสะบาโตของพวกฟาริสี ที่เข้าใจผิดความหมายที่แท้จริงของวันสะบาโตและทำมันให้เป็นแอก (แอก=ภาระ) ใส่นู่นนี่นั่นเพิ่มเติมเข้าไป เคยได้ยินมาว่าบางคนเคร่งขนาดเตาแก๊สก็ไม่จุด รถก็ไม่ขับ ล้างจาน ทำอะไรไม่ได้เลย จะเปิดไฟบ้านก็ไม่ได้เพราะว่าสะบาโตห้ามจุดไฟ
และเมื่อพวกฟาริสีพยายามโต้แย้ง (แถ) พระองค์ พระองค์จึงกล่าวว่า พระองค์เป็นเจ้านาย (ภาษาเดิมใช้คำว่า เจ้าของ) วันสะบาโต
ความหมายที่แท้จริงคือ พระองค์กำลังบอกว่า เจ้าพวกฟาริสี พวกเจ้าจะมาโต้แย้งกับเราผู้ทรงเป็น ผู้ประทานวันสะบาโตได้ไง พระองค์ต้องบอกว่าพระองค์คือพระองค์ (เรา) เป็นผู้สร้าง เป็นผู้มอบวันสะบาโตให้โมเสส และพระองค์เองนี่แหละเป็นผู้กำหนด กฎหมาย(โทราห์)ย่อมต้องเข้าใจความหมายที่แท้จริงของกฏหมายข้อนั้นๆ มากกว่าใคร
พระเยซูเองก็ไม่เคยฝ่าฝืนวันสะบาโตของพระบิดาของพระองค์ หมายถึงพระองค์ก็หยุดพักในสะบาโต ตามแก่นแท้ของสะบาโตอย่างแท้จริง
ที่ดูเหมือนว่าพระองค์ฝ่าฝืนเพราะ เอารูปแบบฝ่าฝืนวิธีตีความสะบาโตของพวกฟาริสี และฝ่าฝืนบนความเข้าใจผิดและตีความของผู้อ่านพระวจนะ
สะบาโตหรือ ชับบาท จึงไม่ใช่แอกของฟาริสีอีกต่อไป และไม่ใช่วันอาทิตย์ หรือวันไหนจะเป็นสะบาโตได้ แต่สะบาโตที่แท้จริงคือ กำหนดเวลาของพระยาห์เวห์เท่านั้น แม้เราจะไม่ว่างจากการทำงาน อย่างน้อยให้ใจของเราระลึกถึงสะบาโตเสมอ และเข้าสู่การพัก เมื่อกลับมาบ้าน ก็เข้าห้องฟังเพลงนอนแช่ในการทรงสถิต ผมเชื่อว่าพระยาห์เวห์พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ มีนัดหมายกับเรา เราจะไม่เข้าพบพระองค์เชียวหรือ ?
แอกใหม่ที่พระองค์ให้ ไม่ใช่แอกของฟาริสีอีกต่อไป แต่คือแอกของ พระเยซู
มธ. 11:29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก
แอกในที่นี้คือ คำสอนของพระองค์ จงเอาแอกของเรา คือพระเยซู แบกไว้ คำว่าแอก คืออุปกรณ์ที่ใช้ใส่คอของสัตว์ เช่นวัว และเทียมคู่กันไป ซึ่งจะช่วยผ่อนหนักเบาให้กับ วัวตัวนั้น แอกของพระเยซู เมื่อพระองค์บอกว่าจงเอาแอกของพระองค์แบก ไม่ใช่ว่าพระองค์มาแบกแทน และเราไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อเรารอดแล้ว เราก็ควรจะดำเนินตามทางของพระองค์ด้วย
แต่ก่อนมนุษย์อาจจะ พยายามรักษาบทบัญญัติ ที่อยู่ในหนังสือม้วน แถมเพิ่มเติม เสริมแต่งให้มากขึ้นไปอีกจนกลายเป็นภาระ มนุษย์จึงล้มลงและไม่สามารถแบกต่อไปได้
แต่เมื่อพระบุตร คือพระเยซู (Yeshua) มาพระองค์มาเพื่อรื้อฟื้นสิ่งที่ล้มลง คำสอน คำแนะนำของพระบิดา (พระ Yahweh) กลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง นั่นคือโทราห์ของพระองค์ พระองค์มาทำทุกอย่างสำเร็จ ในสภาพเนื้อหนัง ของความเป็นมนุษย์ พระองค์สามารถเอาชนะอุปสรรคที่มนุษย์ไม่สามารถเอาชนะได้ พระองค์มาเพื่อเอาธรรมชาติบาปของมนุษย์ออกไปและ ประทานธรรมชาติใหม่ให้กับเราทั้งหลาย
ดังนั้น “จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา” หมายถึงการยอมรับการครองราชย์ หรือการครอบครองของพระเจ้าในชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในพระองค์ และติดตามพระองค์ นอกจากนี้ยังหมายถึงการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า (โทราห์) ด้วย
เราจะไม่ดำเนินในธรรมบัญญัติที่เป็นภาระโดยมือมนุษย์ หรือด้วยการพยายาม แต่เราจะดำเนินตามธรรมบัญญัติ ที่หมายความว่า “คำสอน” ในแบบที่พระองค์สอนเรา และดำเนินมา พระองค์จะเคียงคู่ไปกับเรา (พระองค์จะดำเนินไปกับผม และคุณ)
"โทราห์" มักจะแปลว่าครั้ง 'กฎหมาย' แต่โทราห์ได้รับจากพระเจ้าเป็นชุดของคำแนะนำสำหรับวิธีดำเนินชีวิตทั้งชีวิต ถ้าแปลที่ดีกว่าคือ "คำแนะนำของพระเจ้า"
จงเรียนรู้จากพระองค์ ในโรงเรียนของพระเยซู พระเมสสิยาห์
มธ. 11:29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก
มธ. 11:30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”
ชับบาท หรือ สะบาโต จึงไม่ใช่ภาระ
เหตุผลที่ 6 ผู้ที่รักษาวันสะบาโตเป็นผู้พระเจ้าทรงพอพระทัย
(อิสยาห์ 56:5)
4 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
“เกี่ยวกับบรรดาขันทีผู้รักษาวันสะบาโตของเรา
ผู้เลือกในสิ่งที่เราพอใจ
และยึดมั่นในพันธสัญญาของเรา
5 เราจะให้อนุสรณ์แก่เขาทั้งหลาย
ภายในนิเวศและภายในกำแพงของเรา
ที่ดีกว่าบุตรชายและบุตรหญิง
เราจะให้ชื่อนิรันดร์แก่เขาทั้งหลาย
ซึ่งจะไม่ถูกตัดออกเลย
เหตุผลที่ 7 ความสุขและสันติสุขมีแก่ผู้ที่รักษาวันสะบาโต
(อิสยาห์ 56:2)
2 ความสุขย่อมมีแก่คนที่ทำเช่นนี้
และแก่มนุษย์ผู้ยึดมันไว้มั่น
คือผู้รักษาวันสะบาโต ไม่ทำให้วันนั้นเสื่อมเสีย
และรักษามือของเขาจากการทำชั่วร้ายใดๆ
เหตุผลที่ 8 พระเจ้าสัญญาว่าจะไม่ตัดผู้ที่รักษาวันสะบาโตในวันเสาร์
(อิสยาห์ 56:3-6)
3 “อย่าให้คนต่างชาติผู้เข้าจารีตถือพระยาห์เวห์กล่าวว่า
‘พระยาห์เวห์จะทรงแยกข้าจากชนชาติของพระองค์แน่’
และอย่าให้ขันทีพูดว่า
‘ดูสิ ข้าเป็นต้นไม้เหี่ยวแห้ง’ ”
4 เพราะพระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า
“เกี่ยวกับบรรดาขันทีผู้รักษาวันสะบาโตของเรา
ผู้เลือกในสิ่งที่เราพอใจ
และยึดมั่นในพันธสัญญาของเรา
5 เราจะให้อนุสรณ์แก่เขาทั้งหลาย
ภายในนิเวศและภายในกำแพงของเรา
ที่ดีกว่าบุตรชายและบุตรหญิง
เราจะให้ชื่อนิรันดร์แก่เขาทั้งหลาย
ซึ่งจะไม่ถูกตัดออกเลย
6 “และคนต่างชาติผู้เข้าจารีตถือพระยาห์เวห์
เพื่อปรนนิบัติพระองค์และรักพระนามของพระยาห์เวห์
และเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
ทุกคนที่รักษาวันสะบาโตไม่ให้เสื่อมเสีย
และยึดมั่นในพันธสัญญาของเรา
เหตุผลที่ 9 วันสะบาโตมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดความปีติยินดี อย่าเหยียบย่ำสะบาโต
(อิสยาห์ 58:13)
13 ถ้าเจ้าหันเท้าจากการเหยียบย่ำวันสะบาโต
คือจากการทำตามใจของเจ้าในวันบริสุทธิ์ของเรา
และเรียกสะบาโตว่าวันปีติยินดี
และเรียกวันบริสุทธิ์ของพระยาห์เวห์ว่าวันมีเกียรติ
ถ้าเจ้าให้เกียรติวันนั้น ไม่ไปตามทางของเจ้าเอง
ไม่ทำตามความพอใจของเจ้า หรือพูดแต่เรื่องไร้สาระ
เหตุผลที่ 10 พระเจ้าทรงใช้สะบาโตเป็นเครื่องหมายเวลาเมื่อพูดถึงฟ้าสวรรค์ใหม่และโลกใหม่ แสดงให้เห็นว่าวันสะบาโตจะยังคงมีผลบังคับใช้ในโลกที่จะมา
(อิสยาห์ 66:23)
23 “จากวันขึ้นค่ำถึงอีกวันขึ้นค่ำ
และจากวันสะบาโตถึงอีกวันสะบาโต
มนุษย์ทั้งหมดจะมานมัสการต่อหน้าเรา”
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
เหตุผลที่ 11 พระองค์ให้วันสะบาโตเป็นเครื่องหมายระหว่างพระองค์และเราเพื่อเราจะรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า
(เอเสเคียล 20:12-24)
12 ยิ่งกว่านั้นอีก เราให้สะบาโตของเราแก่เขาทั้งหลาย เป็นหมายสำคัญระหว่างเราและเขา เพื่อเขาจะรู้ว่าเราคือยาห์เวห์ เป็นผู้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ 13 แต่พงศ์พันธุ์อิสราเอลได้กบฏต่อเราในถิ่นทุรกันดาร เขาไม่ได้ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และปฏิเสธกฎหมายของเรา ซึ่งถ้าใครรักษาก็จะดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่พวกเขาลบหลู่สะบาโตของเราอย่างหนัก
“แล้วเรากล่าวว่า เราจะระบายความโกรธของเราออกเหนือพวกเขาในถิ่นทุรกันดาร และทำให้พวกเขาหมดสิ้นไป 14 แต่เราก็ทำโดยเห็นแก่นามของเราเอง เพื่อไม่ให้นามนั้นเสื่อมเกียรติในสายตาของประชาชาติทั้งหลาย คือพวกที่เราได้นำคนอิสราเอลออกมาต่อหน้าเขา 15 ยิ่งกว่านั้นอีก เราได้ปฏิญาณต่อเขาทั้งหลายในถิ่นทุรกันดารว่า ‘เราจะไม่นำพวกเขาเข้ามาในแผ่นดินซึ่งเราได้ให้แก่เขา’ เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เป็นแผ่นดินงามที่สุดของแผ่นดินทั้งหมด 16 เพราะพวกเขาปฏิเสธกฎหมายของเรา และไม่ดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเรา และลบหลู่สะบาโตของเรา เพราะว่าจิตใจพวกเขาไปติดตามรูปเคารพของเขา 17 ถึงกระนั้น ตาของเราก็ยังปรานีเขาทั้งหลาย และเราไม่ได้ทำลายเขา หรือทำให้เขาสูญสิ้นไปในถิ่นทุรกันดารนั้น
18 “และเราพูดกับบุตรหลานของพวกเขาในถิ่นทุรกันดารนั้นว่า ‘อย่าดำเนินตามกฎเกณฑ์บรรพบุรุษของเจ้า หรือรักษากฎหมายของเขา หรือทำให้ตัวเจ้าเป็นมลทินไปด้วยรูปเคารพของเขา 19 เราคือยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย จงดำเนินตามกฎเกณฑ์ของเราและจงรักษากฎหมายของเรา และจงประพฤติตาม 20 และรักษาบรรดาสะบาโตของเราให้บริสุทธิ์ เพื่อจะเป็นหมายสำคัญระหว่างเรากับเจ้า เพื่อเจ้าจะทราบว่าเราคือยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเจ้าทั้งหลาย’
อ่านเรื่องสะบาโต (ชับบาท) เพิ่มเติมที่
http://missionkorat.blogspot.com/2013/02/blog-post_8590.html
5 อพยพ 20:12 จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า
มธ. 19:19 จงให้เกียรติบิดามารดาของตน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ”
อฟ. 6:1 บุตรทั้งหลาย จงเชื่อฟังบิดามารดาของท่านในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะว่านี่เป็นเรื่องถูกต้อง
อฟ. 6:2 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” นี่เป็นบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญากำกับด้วย
มีคำสอนที่คริสเตียน หรือผู้เชื่อ ต่างความเชื่อได้โจมตีว่า มีพระวจนะบอกว่า จงชังบิดา มารดา วึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างสุดขั้ว พระคัมภีร์ไม่มีทางค้านกันเองแน่นอน
ลูกา 14:26 "ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้ทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็น
สาวกของเราไม่ได้
แต่เรารู้ข้างต้นแล้วว่า อพยพ 20:12 ที่บันทึกจากนิ้วของพระยาห์เวห์เองว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า เพื่ออายุของเจ้าจะได้ยืนนานบนแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า”
พระ วจนะตอนนี้หลายคนตีความและเข้าใจได้อย่างถูกต้อง โดยการตีความและบริบทที่น่าจะเป็นแต่การเข้าใจความหมายอย่างถูกต้องบางครั้ง ก็อาจจะไม่รู้ถึงที่มา
ประเด็นนี้หลายครั้งคริสเตียนโดนโจมตีจากศาสนาอื่นอย่างมากจนบางคนโดน ถามก็ไม่สามารถตอบได้เหมือนกันพระวจนะตอนนี้พวกเขาตีความผิดอย่างชัดเจน เพื่อจะจับผิด ซึ่งมีความขัดแย้งกันเองซึ่งเรารู้ว่าพระวจนะจะไม่มีทางขัดแย้งกันอย่างแน่ นอน
บางครั้งเราพยายามตีความเพื่อไม่ให้พระคัมภีร์ขัดแย้งกัน หรือหาเหตุผลต่างๆมาสนับสนุนในความเป็นไปได้เพื่อไม่ให้พระวจนะขัดแย้งกัน ทั้งที่ความเป็นจริงไม่มีอะไรซับซ้อนเลย เหตุเพราะการแปลหรือการตีความที่คลาดเคลื่อนนั่นเอง
ภาษากรีกเดิมถูกแปลว่า "hate" ความเกลียดชังหรือ ชัง ซึ่งในความเป็นจริง μισέω/ miseō/
mis-eh'-o - และมันหมายถึง รัก LOVE LESS ในบริบทนี้
เอเฟซัส 6:1-3 1 ฝ่ายบุตรจงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะกระทำอย่างนั้นเป็นการถูก2
`จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า' (นี่เป็นพระบัญญัติข้อแรกที่มีพระสัญญาไว้ด้วย)3 `เพื่อเจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข และมีอายุ
ยืนนานที่แผ่นดินโลก'
"เกลียด" (μισεω, miseo) เราต้องเข้าใจบริบทการสอนของเยชูวาห์
มัทธิว 5:21-22 ท่านทั้งหลายได้ยินว่ามีคำกล่าวในครั้งโบราณว่า `อย่าฆ่าคน' ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลง
โทษ22 ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตนโดยไม่มีเหตุ ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับ
พี่น้องว่า `อ้ายบ้า' ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษ และผู้ใดจะว่า `อ้ายโง่' ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก
จาก พระวจนะตอนนี้ยืนยันเลยว่า การเกลียดชังหรือโกรธพี่น้อง รวมถึงพ่อแม่ด้วยนั่นแหละ (อ.ไซม่อนเคยสอนว่าในบริบทของคนยิวนั้น บัญญัติจงรักเพื่อนบ้าน คือเริ่มจากคนใกล้ตัวในครอบครัว คือพ่อแม่นั่นเอง) การเกลียดชังการโกรธไม่ต่างการฆาตกรด้วยแม้ไม่ได้ฆ่าคนที่เป็นเนื้อหนัง จริงๆ
เพิ่มเติมให้ว่า ภาษาเดิม เกลียดชัง หมายถึงรักน้อยกว่า ครับ ความหมายคือ ถ้าผู้ใดรักบิดามารดามากกว่ายาห์เวห์ก็เป็นสาวกของ พระองค์ไม่ได้
6 อพยพ 20:13 ห้ามฆ่าคน
รม. 13:9 ข้อที่ว่า “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ ” ทั้งพระบัญญัติอื่นๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
1ยน. 3:15 ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็เป็นผู้ฆ่าคน และพวกท่านก็รู้อยู่แล้วว่าผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในตัวเขาเลย
มธ. 5:21 “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้กับคนในสมัยก่อนว่า ‘ห้ามฆ่าคน ถ้าใครฆ่าคน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา’
มธ. 5:21 You have heard that it was said to the ancients "Do not commit murder!" And, whoever commits murder shall be condemned to the Judgment.
ในภาษาเดิม ฉบับ Hebraic Root
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้กับคนใน สมัยก่อนว่า ‘ห้ามฆ่าคน และใครก็ตามฆ่า (พลั๊งฆ่า) จะต้องตกอยู่ในอันตรายจากความไม่ได้รับความยุติธรรม’
จากพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้นนี้ แน่นอนเราถูกสอนมาเสมอว่า “อย่าฆ่าคน” ซึ่งจริงๆแล้วเราก็ไม่อยากไปฆ่าใครหรอก นอกจากดูตามข่าวตอนเช้าอันน่าเศร้า ที่มีแต่ข่าวฆ่ากันตาย คนสมัยนี้ทำอะไรโหดเหี้ยมกันจังเลย
แล้วทำไมในพระคัมภีร์บางตอนถึงได้มีการบันทึกว่า บางครั้งเมื่อกองทัพอิสราเอลออกรบถึงได้มีการฆ่าศัตรูฝ่ายตรงข้ามล่ะ ?
ในภาษาฮีบรู “רצח (râtsach, ratsach)” หมายถึง “ฆาตกรรม” (רָצַח)
ซึ่งหมายถึงว่า อย่า “ฆาตกรรม”
หมายถึงการฆ่า หรือการฆาตกรรม ที่ไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าโดยมีเจตนา ตั้งใจ หรือจงใจ
การล้างแค้น การลอบสังหาร
"ฆาตกรรม" เป็นคำสมาสระหว่างคำ "ฆาต" (บาลี. ตี, ฟาด, ฟัน, ฆ่า, ทำลาย) + "กรรม" มีความหมายตามอักษรว่า การตี, การฟาด, การฟัน, การฆ่า, การทำลาย ผู้กระทำฆาตกรรมเรียกว่า "ฆาตกร"
กดว. 35:30 ใครก็ตามที่ฆ่าคน ก็ให้ฆาตกรนั้นถูกประหารชีวิตตามปากคำของพยาน แต่อย่าประหารใครด้วยพยานเพียงปากเดียว
ปัจจุบันมีการใช้คำ "ฆาตกรรม" คละไปกับคำ "การฆ่าคน" ทั้งนี้ คำทั้งสองมีความหมายเดียวกันดังข้างต้น แม้ในตำภาษาอังกฤษจะเป็นคำที่ใช้คำทั้งสองคำนี้ ไม่ค่อยจะแตกต่างเท่าไร แต่ในบริบทของฮีบรู เป็นคนล่ะบริบทกันครับ เช่นสงคราม (ในสมัยพระคัมภีร์ พระเจ้าก็นำในการรบ) หรือปกป้องตัวเองจากอาชญากร หรือพวกฆาตกรแล้วเราพลั้งมือเพื่อปกป้องตัวเองหรือครอบครัว
สุดท้ายนี้ แท้จริงเราอาจจะไม่ต้องยุ่งยากอะไร กับความสับสนของพระวจนะข้อนี้ อาจจะเป็นการดีเสียอีกที่ผู้เชื่อชาวไทยหรืออีกหลายประเทศมีพื้นฐานการถูก ปลูกฝัง ไม่ว่าจะฆ่าคนด้วยบริบทไหน เราไม่ประสงค์ทั้งนั้น แม้แต่ผู้ที่เป็นศัตรู หรือทำร้ายเรา เราก็พร้อมที่จะยกโทษให้เขาเสมอตามที่พระเจ้าได้สอนและประสงค์ให้เรามีความ รัก และการให้อภัย
บทความนี้จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เปิดช่องทาง เพื่อจะไปฆ่าใคร ซึ่งยังไง ไม่ว่า จะฆาตกรรม หรือสุดวิสัย ล้วนต้องรับโทษตามกฎหมาย ในกระบวนการทางโลกแน่นอน ผมจึงเพียงแบ่งปันให้เราเห็นข้อแตกต่างของคำที่ใช้ในพระคัมภีร์ และบริบท ที่ผู้เชื่อใหม่หลายคนอาจจะมีคำถามว่า ทำไมพระเจ้าจึงนำทัพอิสราเอลเข้าฆ่าฟันเหล่าศัตรูจนราบคาบ ทั้งที่มีธรรมบัญญัติว่า ห้ามฆ่าคน (ศัตรู= ผู้ต่อต้านพระยาห์เวห์ พวกต่างชาติที่นับถือรูปเคารพ)
มธ. 22:37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน
มธ. 22:38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
มธ. 22:39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
7 อพยพ 20:14 ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา
มธ. 19:18 คนนั้นทูลถามว่า “คือพระบัญญัติข้อไหนบ้าง?” พระเยซูตรัสว่า “‘ห้ามฆ่าคนห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขาห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ
กท. 5:19 การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล
การล่วงประเวณี หมายถึงภาพของการแต่งงานและ สามีหรือภรรยานอกใจ หรือคบชู้ แม้กระทั่งการที่ยังไม่แต่งงาน แต่ได้มีความสัมพันธ์กัน ก็เท่ากับได้ล่วงประเวณี
8 อพยพ 20:15 ห้ามลักขโมย
รม. 13:9 ข้อที่ว่า “ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ ” ทั้งพระบัญญัติอื่นๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”
อฟ. 4:28 คนที่เคยขโมยก็อย่าขโมยอีกต่อไป แต่จงใช้มือของตน ตรากตรำทำงานที่ดีดีกว่า เพื่อจะได้มีอะไรแจกจ่ายให้คนที่มีความจำเป็น
: เอเฟซัสบอกให้เราหยุดขโมย ถ้าเรายังขโมย ใน มาระโก บอกให้เรา ตัดมือ ถ้าเรายังมีนิสันขโมยอยู่
มาระโก 9:43-47 ตัดมือ ตัดเท้า ควักตา
มก. 9:43 ถ้ามือของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วน ยังดีกว่ามีทั้งสองมือแต่ต้องลงไปสู่นรกในไฟที่ไม่มีวัน ดับ
มก. 9:44
มก. 9:45 ถ้าเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย การที่จะเข้าสู่ชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าทั้งสอง ข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก
มก. 9:46
มก. 9:47 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย การที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่า มีตาสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก
เคยสงสัยไหมว่าพระคัมภีร์ตอนนี้ ให้เราตัดอวัยวะดังกล่าวทิ้งไปเลยถ้าไม่สามารถจะควบคุมมันได้ เช่นถ้าเรามองผู้หญิงด้วยใจกำหนัต แต่มองก็บาปแล้ว และคิดไม่ดีด้วย ยังไงก็ไม่หลุด ก็ควักตาออกไปเสียเลย แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็นว่าจะมีใครทำตามพระคัมภีร์สักคน บางคนเข้าใจเช่นนั้นจริงๆ
แน่นอนผมเชื่อว่าผู้เชื่ออีกมากเข้าใจในบริบทนี้ เคยมีข่าวว่าในต่างประเทศมีคนควักตาของตนเองจริงๆ ทำไมพระคัมภีร์ถึงขัดแย้งกันล่ะ ในเมื่อพระวจนะบอกว่า ร่างกายของเราคือพระวิหารของพระเจ้า
1คร. 6:19 ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งสถิตอยู่ใน ท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง
1คร. 6:20 พระเจ้าได้ทรงซื้อท่านไว้แล้ว ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น ท่านจงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
ผู้เชื่อทุกคนต่างรู้กันว่าการตีความพระคัมภีร์นั้นต้องอ่านทั้งบริบทอื่นๆ ด้วย พระวจนะตอนนี้เป็นการพูดเปรียบเทียบให้เรากลับใจเสียจากบาป ให้เห็นว่าทิ้งบางสิ่งบางอย่างไปยังดีกว่าต้องตกนรกแต่มีครบทุกอย่าง สิ่งที่ควรทำคือกลับใจจากบาป และไม่ทำบาปเพิ่มขึ้นด้วยการทำร้ายร่างกายตัวเอง
ตัดทิ้งตอนนี้มีเป้าประสงค์เพื่อให้เรา "จงหยุดมัน"
- ถ้ามีนิสัยขี้ขโมย ขโมยของ "จงหยุดมัน"
- ถ้ามีนิสัยขี้อิจฉา "จงหยุดมัน"
- ถ้าเป็นคนที่ชอบละเมิดกฎหมาย ล่วงล้ำ "จงหยุดมัน" และอื่นๆที่ค้านกับสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนไว้ "จงหยุดมัน"
9 อพยพ 20:16 ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน
มธ. 15:19 ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การเป็นชู้ การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ล้วนออกมาจากใจ
: พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ใจของเราบริสุทธิ์เพื่อพระองค์ “บางสำนวนใช้คำว่า การเป็นพยายเท็จ การหมิ่นประมาท”
มธ. 19:18 คนนั้นทูลถามว่า “คือพระบัญญัติข้อไหนบ้าง?” พระเยซูตรัสว่า “‘ห้ามฆ่าคนห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขาห้ามลักทรัพย์ ห้ามเป็นพยานเท็จ
คส. 3:9 อย่าพูดโกหกต่อกันและกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่ากับพฤติกรรมของมนุษย์นั้นแล้ว
สำหรับผมแล้ว เมื่อเราเคยดูข่าว เมื่อตำรวจจับผู้ต้องหาที่เป็นแพะรับบาป คือไม่ได้ผิดในคดีที่ถูกตัดสิน แต่ถูกยัดเยียดข้อกล่าวหา และต้องถูกพันธนาการในคุก โดยการใส่ร้ายของพยายเท็จ ที่ปั้นเรื่องโกหกมาใส่ร้าย
สิ่งเหล่านี้ไม่ต่างจากการฆ่าคนเลย เพราะก่อนนี้ เขาคนนั้นอยู่ในฐานะผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหา แต่เขากลับโดนยัดเยียดความผิดเข้าไปทำให้เขาต้องถูกตัดสินให้ผิด จากการเป็นพยายเท็จ นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ กล่าวห้าม ว่า “จงอย่าทำ”
10 อพยพ 20:17 ห้ามโลภบ้านเรือนของเพื่อนบ้าน ห้ามโลภภรรยาของเพื่อนบ้าน
รม. 7:7 ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร ว่าพระราชบัญญัติคือบาปหรือ ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะพระราชบัญญัติแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้จักบาป เพราะว่าถ้าพระราชบัญญัติมิได้ห้ามว่า "อย่าโลภ" ข้าพเจ้าก็จะไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ
อฟ. 5:3 แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่างๆและความโลภ อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลยจะได้สมกับที่ท่านเป็นวิสุทธิชน
คส. 3:5 เหตุฉะนั้นจงประหารอวัยวะของท่านซึ่งอยู่ฝ่ายโลกนี้ คือการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ
: แผ่นดินของพระเจ้ามีสำหรับคนทีรักพระองค์ ไม่เพียงแต่รักพระองค์ แต่ยัง รักและประพฤติในธรรมบัญญัติของพระองค์ด้วย
1คร. 6:9 ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าคนไม่ชอบธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า? อย่าหลงผิดเลย พวกที่ล่วงประเวณี พวกไหว้รูปเคารพ พวกผิดผัวผิดเมีย พวกโสเภณีชาย พวกรักร่วมเพศ
เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นเครื่องนำทาง เป็นตัวชี้วัดมาตรฐานการดำเนินชีวิตในโลกของเรา ไม่ได้ทำให้เราบริสุทธิ์ แต่ก็ทำให้เราแยกแยะได้ว่าสิ่งใดคือฝ่ายโลก และสิ่งใดคือพระประสงค์ของพระยาห์เวห์
ชาโลม
ขอพระยาห์เวห์อวยพระพร
ktm.shachah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น