วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อย่าเป็นอาจารย์กันมากนักเลย (ยากอบ 3:1)

อย่าเป็นอาจารย์กันมากนักเลย 
 (ยากอบ 3:1)
 

ยก. 3:1 พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าเป็นอาจารย์กันมากนักเลย เพราะท่านทั้งหลายก็รู้ว่าเราที่เป็นคนสอนนั้น จะต้องถูกพิพากษาที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

มธ. 23:8 ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ เพราะพวกท่านมีพระอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกท่านทุกคนเป็นพี่น้องกัน
มธ. 23:9 และอย่าให้เกียรติใครในโลกว่าเป็นพระบิดาของพวกท่าน เพราะพวกท่านมีพระบิดาเพียงผู้เดียว คือผู้ที่สถิตในสวรรค์
มธ. 23:10 อย่าให้ใครเรียกท่านทั้งหลายว่า ‘บรมครู’ เพราะว่าบรมครูของพวกท่านมีเพียงผู้เดียวคือพระคริสต์
จากพระวจนะตอนนี้ผมขออนุญาตแบ่งปันว่า หลายครั้งผมเห็นหลายคนที่แอนตี้ คือต่อต้านคำว่า อาจารย์ หรือครูกันมาก เพราะจากพระคัมภีร์ ได้ห้ามไม่ให้เรียกว่าอาจารย์ ไม่ให้บ้ายศบ้าตำแหน่ง ซึ่งในความเป็นจริงก็ยังมีหลายคนที่ กระหายหาการยอมรับโดยยศและตำแหน่งอยู่มากมายแต่ก็ไม่ใช่จะทุกคนประเด็นขัดแย้งจึงมาที่อีกขอบ ที่ยอมรับไม่ได้เลยกับการที่จะมีการยกเลิกการเรียกกันว่าอาจารย์ ศาสนาจารย์ทั้งหลาย บางคนอัดยศมาเต็มกระเบียด ศาสนาจารย์ ด๊อกเตอร์ ! ซะเต็มที่

ในฉบับ ThaiKJV
มธ. 23:8 ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกท่านว่า `รับบี' ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียวคือพระคริสต์ และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด
มธ. 23:9 และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นบิดา เพราะท่านมีพระบิดาแต่ผู้เดียว คือผู้ที่ทรงสถิตในสวรรค์
มธ. 23:10 อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า `นาย' ด้วยว่านายของท่านมีแต่ผู้เดียวคือพระคริสต์

บริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ สำหรับผมแล้วน่าจะอยู่ที่ท่าทีภายในจิตใจมากกว่า ที่จะเป็นคำพูดหรือการเรียกขาน ว่าท่าทีภายในจิตใจของเรา ไม่ถ่อมใจและเย่อหยิ่ง หรือแสวงหาการยอมรับ หรือภูมิใจไปกับการเรียกแบบนั้นไหม ? ถ้ามีแสดงว่าเรากำลังทำตัวเป็นรูปเคารพ ต้องการการนมัสการ และทำตัวเสมอกับพระเจ้าด้วยท่าทีภายใน ไม่ต่างกับ “ซาตาน”

พระคัมภีร์ในบริบทก่อนนี้พระเยซูเล็งถึงท่าทีของฟาริสี ฟาริสีทำไมหรือ ? ฟาริสี สอนดีเป็นครูที่สอนได้ดี พระเยซูยังตรัสเลยว่า  มธ. 23:3 เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน จงถือประพฤติตาม เว้นแต่การกระทำของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองหาทำตามไม่ .. การกระทำต่างหาก เราตัดสินฟาริสีที่ภายนอกหรือ เปล่าเลย มันคือจุดเริ่มต้นจากภายในต่างหากที่สะท้อนออกมา

สภษ. 4:23 จงระแวดระวังใจของเจ้ายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะทุกสิ่งที่เจ้าทำออกมาจากใจ
มธ. 15:18 แต่สิ่งที่ออกจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน

อาจารย์หลายคนไม่ต่างจากฟาริสี เขาทำบางสิ่งคล้ายฟาริสี มธ. 23:5 การกระทำของเขาทุกอย่างเป็นการอวดให้คนเห็นเท่านั้น เขาใช้กลักพระบัญญัติอย่างใหญ่ สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยอันยาว

หลายอาจารย์เทศนาดีเยี่ยม น้ำตาไหลพราก แต่.. มธ. 23:4 ด้วยเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย
ทำไมหรือ บางคนเทศนาคำสอนของพระเจ้า แต่เขากลับประพฤติในสิ่งที่สวนทางและค้านกับ คำสอนของพระองค์อย่างสิ้นเชิง หลายคนล่วงประเวณีและผิดศีลธรรม หลายคนทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย หลายคนทำตัวไม่เหมาะสม

มธ. 23:6 เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและที่นั่งตำแหน่งสูงในธรรมศาลา

ลองหลับตานึกภาพดู หลายคณะและบางกลุ่มบางนิกายก็เป็นเช่นนั้นด้วย ผมไม่เอ่ยนะครับ เดี๋ยวงานจะมาหาผมเยอะกว่าเดิม แถมยังชอบให้คน (ย้ำนะครับ ชอบหมายถึงชื่นชมกับคำคำนั้น) ชอบให้คนเรียก อาจารย์ อาจารย์ มธ. 23:7 ชอบรับการคำนับที่กลางตลาดและชอบให้คนอื่นเรียกว่า ‘ท่านอาจารย์’ หรือ รับบี รับบี
ถ้าท่าทีภายในยกชูคอ และรู้สึกดีเมื่อไร เมื่อนั้นเราไม่ต่างจากฟาริสี

ใน ยก. 3:1 พี่น้องของข้าพเจ้า อย่าเป็นอาจารย์กันมากนักเลย เพราะท่านทั้งหลายก็รู้ว่าเราที่เป็นคนสอนนั้น จะต้องถูกพิพากษาที่เข้มงวดยิ่งขึ้น

Rab = เจ้านาย
1.Rabbi = (Teacher) ครู อาจารย์ ผู้ศึกษาและสอนโทราห์ (พระวจนะ)
2.Rebbitzin = (wife of Rabbi)ภรรยาของรับบาย และหรือรับบายหญิง ส่วนใหญ่จะใช้ในบริบท ภรรยารับบายซะมากกว่า

3.Rebbe = ใช้ในความสนิทสนม เหมือนพ่อ หรือถูกจัดขึ้นโดยชุมชน โดยเป็นครูที่ดีและเป็นที่รักของทุกคน
หรือรับบายใหญ่ ของรับบายทั้งหลาย เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจและที่นับหน่าถือตา มีเกีรยติมากเป็นที่ยอมรับและเป็นที่รักของทุกคน (คล้ายสันตะปาปา)

4.Rabboni = เจ้านายที่ยิ่งใหญ่ของฉัน (Rabbon = เจ้านาย) ออกเสียงว่า (Rahbonee)
พระเยซู ก็ถูกเรียกในตำแหน่งนี้ ด้วยเช่นกัน คำที่ พระเยซู พูด ในมัทธิว 23:8 หมายถึง Rebbe ,Rabboni ไม่ได้หมายถึง อาจารย์ หรือ ครู ทั่วๆไป
บางข้อมูลอ้างว่า Rabboni เป็นภาษาอารเมค ส่วน Rabbi มาจากฮีบรู
ภาษาอังกฤษบางทีใช้คำว่า my great one "ประมาณว่า ฉันดีที่หนึ่ง"

ยน. 20:16 พระ​เยซู​ตรัส​กับ​นาง​ว่า “มา​รีย์​เอ๋ย” มา​รีย์​จึง​หัน​มา​ทูล​พระ​องค์​เป็น​ภา​ษา​ฮีบรู​ว่า “รับ​โบ​นี” ​(ซึ่ง​แปล​ว่า ท่าน​อา​จารย์)

พระเยซูผู้คู่ควรแก่เกียรตินี้


แน่นอนเลยครับพระวจนะข้อนี้ สอนเราว่า คนที่เป็นผู้สอน ต้องได้รับการพิพากษาที่เข้มงวดกว่าใคร เพราะท่านคือผู้ประกาศความจริงจากองค์พระผู้เป็นเจ้า

แล้วทำไมพระคัมภีร์ถึงค้านกันล่ะ พระคัมภีร์ขัดแย้งกันเองหรือ ที่ให้ผู้เชื่อมีของประทานการเป็นครู ก็ไหนบอกว่าอย่าให้เรียกครูหรืออาจารย์ แต่ทำไมพระคัมภีร์ถึงขัดแย้งกันเอง ให้เรามีของประทานความเป็นครู ในพันธกรทั้ง 5 เอเฟซัส 4:11-12

1. ศิษยาภิบาล
2. ครู เป็นผู้ที่มีการเจิมแห่งการสอน พระวจนะ
หรือสอนค่านิยมในการดำเนินชีวิต สอนหลักการฝ่ายวิญญาณ

3. ผู้ประกาศ
4. ผู้เผยพระวจนะ
5.อัครทูต

ผมเชื่อว่าทุกของประทานนี้ จะถุกเรียกว่าอาจารย์อย่างแน่นอน ..ไม่ใช่ผู้เชื่อทุกคนจะมีของประทานนี้ ไม่ใช่ของประทานนี้เป็นพระเอก หรือจะมาเดินยืดเป็นตำแหน่งที่น่าภูมิใจ แต่จะมีแค่เพียงบางคนเท่านั้น ที่พระเจ้าได้เรียกเป็นพิเศษที่จะเป็นผู้เสียสละ ให้มาเป็นผู้นำ ของประทานนี้เรียกว่าของประทานแห่งการเป็นผู้นำ หรือของประทานพันธกรทั้งห้า ซึ่งเป็นของประทานจากพระเยซูที่มอบให้แก่พระกายของพระองค์ คือคริสตจักร ชุมชนผู้เชื่อ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระเยซูให้เติบโตในการรับใช้  หัวใจของของประทานนี้คือ การเตรียม และสอน ผู้เชื่อทุกคนของพระองค์ให้รับใช้พระเจ้าตามของประทาน เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้นในสิ่งที่พระเจ้าต้องการ

พระเจ้ายังคงประสงค์ให้มีครู เพื่ออบรมสั่งสอนบรรดาลูกแกะของพระองค์

ยรม. 23:1 พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “วิบัติแก่ผู้เลี้ยงแกะ ผู้ทำลายและกระจายแกะแห่งลานหญ้าของเรา”
ยรม. 23:2 เพราะฉะนั้น พระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสกับผู้เลี้ยงแกะผู้ดูแลประชากรของเราดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายได้กระจายฝูงแกะของเราและได้ขับไล่มันไปเสีย และเจ้าไม่ได้เอาใจใส่มัน นี่แน่ะ เราจะลงโทษเจ้า เพราะการกระทำชั่วของเจ้า” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีสำหรับผู้เลี้ยงแกะ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้เลี้ยงที่ถูกเรียกว่าอะไร ?
อาจารย์ ศิษยาภิบาล หรืออะไรก็ตามแต่ พระเจ้าประกาศว่า ถ้า !!! เจ้าไม่ได้เอาใจใส่มัน นี่แน่ะ เราจะลงโทษเจ้า เพราะการกระทำชั่วของเจ้า” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ

ในความเป็นจริงพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ประสงค์ให้เราแสวงหาชื่อและตำแหน่งนำหน้า เพื่อมาบำรุงบำเรอ ความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของพวกเขา ความอยากมีชื่อเสียงหรือการต้องการการยอมรับ

มธ. 6:1 “จงระวัง อย่าทำศาสนกิจเพื่ออวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นท่านทั้งหลายจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์
มธ. 6:2 “เพราะฉะนั้น เมื่อท่านทำทานอย่าเป่าแตรข้างหน้า เหมือนพวกคนหน้าซื่อใจคด ที่ทำในธรรมศาลาและตามถนน เพื่อให้คนสรรเสริญ เราบอกความจริงแก่พวกท่านว่า พวกเขาได้รับบำเหน็จของพวกเขาแล้ว

การทำสิ่งใดเพื่อให้ได้รับการยอมรับ มันอาจจะได้รับการตอบสนองเนื้อหนังในโลกนี้ แต่ในสวรรค์พระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า เราอดแน่นอน ในพันธกรทั้ง 5 ไม่ใช่ตำแหน่ง หรือยศที่จะมาอวดกัน แต่คือผู้เสียสละ ผู้สร้างที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ต้องให้ใครมาสรรเสริญ ยกย่องเยินยอ

มธ. 23:11 คนที่เป็นใหญ่ในพวกท่านย่อมต้องปรนนิบัติท่าน
มธ. 23:12 ใครยกตัวขึ้น จะต้องถูกทำให้ต่ำลง ใครถ่อมตัวลง จะได้รับการยกขึ้น

มันไม่สำคัญต่อเสียงเรียกภายนอก ผมเองอาจจะเรียกใครสักคนเพื่อให้เกียรติเขา ในฐานะที่เป็นผู้สอนความจริงจากพระคำของพระเจ้า แต่มันอยู่ที่ท่าทีภายในมากกว่า ที่เราจะตอบสนองต่อคำคำนั้นอย่างไร ? ยินดี ยกตัว ตัวลอยจนฉุดไม่อยู่ ไม่เพียงแค่นั้น แต่เรามีท่าทีและการประพฤติที่เหมาะสมต่อสิ่งที่เราสอน หรือแบ่งปันความจริงของพระเจ้าอย่างไร ถ้าเรายังมีวิญญาณ ฟาริสีแบบที่กล่าวมา เราก็ตกอยู่ในอันตราย “หรือ วิบัติ” แบบที่พระเยซูตรัส

แต่ถ้าเราเป็นครูที่ดี ในของประทาน ในการเจิมของพระเยซูที่ทรงเลือกไว้แล้ว เราอาจจะดูไม่มีอะไรในโลกนี้ มันอาจจะไม่หวือหวา แต่เราจะได้บำเหน็จอันยิ่งใหญ่ จากพระเจ้าในสวรรค์ ดังที่พระวจนะ บันทึกว่า ครู อาจารย์ ไม่ได้มีไว้ให้ใครปรนนิบัติ แต่ต้องปรนนิบัติผู้อื่น และเมื่อใดก็ตามที่ยกตัวขึ้นเมื่อไร คุณจะถูกทำให้ต่ำลง แต่ใครที่ถ่อมตัวลง ในบางฉบับ คือการ เจียมเนื้อเจียมตัว อ่อนน้อมถ่อมตน จะเป็นที่ยกย่อง และได้รับการยกขึ้น

ในภาษาฮีบรู Morim (teachers)

พระคัมภีร์ที่ใช้คำว่า "Rabboni"
มธ. 8:19 ขณะ​นั้น​มี​ธรร​มา​จารย์​คน​หนึ่ง​มา​หา​พระ​องค์​ทูล​ว่า “ท่าน​อา​จารย์ ท่าน​ไป​ทาง​ไหน ข้าพ​เจ้า​จะ​ตาม​ท่าน​ไป​ทาง​นั้น”

มธ. 23:7 ชอบ​รับ​การ​คำ​นับ​ที่​กลาง​ตลาด​และ​ชอบ​ให้​คน​อื่น​เรียก​ว่า ‘ท่าน​อา​จารย์’

มธ. 23:8 ท่าน​ทั้ง​หลาย​อย่า​ให้​ใคร​เรียก​ว่า ‘ท่าน​อา​จารย์’ เพราะ​พวก​ท่าน​มี​พระ​อา​จารย์​เพียง​ผู้​เดียว และ​พวก​ท่าน​ทุก​คน​เป็น​พี่​น้อง​กัน

มก. 10:51 พระ​เยซู​จึง​ตรัส​ถาม​เขา​ว่า “ท่าน​ต้อง​การ​จะ​ให้​เรา​ทำ​อะไร​ให้​ท่าน?” คน​ตา​บอด​นั้น​ทูล​พระ​องค์​ว่า “ท่าน​อา​จารย์ ขอ​โปรด​ให้​ตา​ข้า​พระ​องค์​เห็น​ได้”

ยน. 20:16 พระ​เยซู​ตรัส​กับ​นาง​ว่า “มา​รีย์​เอ๋ย” มา​รีย์​จึง​หัน​มา​ทูล​พระ​องค์​เป็น​ภา​ษา​ฮีบรู​ว่า “รับ​โบ​นี” ​(ซึ่ง​แปล​ว่า ท่าน​อา​จารย์)

ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน
ชาโลม
Ktm.shachah

1 ความคิดเห็น:

  1. เป็นบทความที่ดีมากๆค่ะ ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ