วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ดอกส้มสีทอง

ดอกส้มสีทอง
บทความหนุนใจด้วยความรัก (ฉบับย่อ)
เอ่ยชื่อเรื่องมาแบบนี้ หลายคนน่าจะร้องอ๋อ กระแสกำลังมาแรงแซงโค้งทุกๆเรื่อง และหลายคนคงคิดว่าวันนี้ผมจะมาปากดีเรื่องอะไรอีก ซึ่งก็จริงอย่างที่คิดเลยล่ะครับ วันนี้ก็จะมาปากดีอีกสักครั้ง ตอนแรกกล้าๆกลัวๆ เพราะเห็นรัฐมนตรีนาย องอาจ คล้ามไพบูลย์ กับ นาง ระเบียบรัตน์ พงษ์พานิช ที่ออกมาวิจารณ์ก็โดนด่าซะเละไม่มีชิ้นดี แล้วผมจะเหลืออะไรล่ะ แต่เอาเถอะครับเหลือไม่เหลือไม่เป็นอะไร ผมขอหนุนใจในส่วนที่พระเจ้าเร้าในใจผมก็แล้วกัน หนุนใจในส่วนของผู้เชื่อที่เรียกว่าเป็นคริสเตียน ก็แล้วกัน ใครที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนก็อ่านได้นะครับ

เข้าเรื่องเลยนะครับ “ดอกส้มสีทอง” ผมเองได้ยินชื่อเรื่องนี้มานานแล้ว แต่ส่วนตัวไม่เคยดู ไม่ใช่ว่าโฮลี่อะไรนะครับ แต่ไม่ชอบละครเท่าไรอยู่แล้ว และความดังของมันก็ทำให้ผมสนใจไม่ได้ว่าทำไมละครเรื่องนี้ถึงมีกระแสตอบรับดีนัก และเมื่อได้ดูตัวอย่างช่วงเช้าตอนโฆษณา ก็ทำให้อยากรู้นิดๆว่าทำไมคนทุกเพศทุกวัยถึงอยากดูและติดเรื่องนี้กันนัก เลยเข้าไปดูในเว็บไซต์ Youtube สักหน่อย และก็ฟังจากข่าวและคำบอกเล่าบ้าง ตัวเด่นในเรื่องนี้น่าจะชื่อ เรยา
เรื่องคร่าวๆคือนางเอกของเรื่องนี้เป็นภรรยาน้อย หรือเมียน้อยนั่นแหละ และมีนิสัยที่ไม่สู้จะดีนักยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา เป็นคนมีกิเลสอยู่ในขั้นมาก และมีนิสัยที่รุนแรง ไม่เคารพมารดาผู้เป็นแม่และใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมแก่มารดา โพลสำรวจออกมา ว่า
ผู้ชมคิดอย่างไร? กับละครดอกส้มสีทอง


44.92% เห็นว่าเป็นละครสะท้อนสังคม
ผู้ชมคิดว่าละครเรื่องนี้มีเนื้อหาที่เหมาะสมหรือไม่?


53.29% เห็นว่าเหมาะสม เพราะเป็นเรื่องจริงที่มาจากการสะท้อนชีวิตของคนในสังคม ฯลฯ


นี่คือผลสำรวจที่สะท้อนความรู้สึกของคนเราออกมาจากภายในว่าเป็นอย่างไร
อย่างผมเคยเขียนบทความไปแล้วว่า ละครไทยทุกเรื่องนั้นมีการบวงสรวงบูชาก่อนที่นักแสดงจะทำการแสดงและทำการถ่ายทำ มีพิธีกรรมมากมาย ซึ่งนี้เป็นกลยุทธ์ของซาตานที่จะมอมเมาคนของพระเจ้าและคนที่ยังไม่เชื่อ บทวิเคราะห์ต่างๆของคนเขียนและคนถ่ายทำชี้ให้เห็นจุดประสงค์ของตนเองว่า ต้องการสะท้อนสังคม ต้องการให้คนเห็นว่าการพูดจากับบุพการีมารดาที่ไม่ดีเป็นอย่างไร โดยการนำเสนอภาพสมจริง การมีชู้กับสามีคนอื่นเป็นอย่างไร เป็นเมียน้อยไม่ดีอย่างไรโดยการนำเสนอฉากเลิฟซีนให้เห็นกันจะๆว่าแบบนี้ ส่วนตัวผมมองว่า สาระน้อยกว่าผลเสีย การอยากรู้ผลสะท้อนของสังคมมีให้เห็นในข่าวมากพอแล้วและละครเองก็เน้นไปที่ผลตอบรับมากกว่าสาระอันน้อยยนิดที่ซ่อนอยู่ จำเป็นหรือที่เราต้องนั่งดูคติสอนใจ หรือตัวอย่างที่ไม่ดีด้วยความสมจริงแบบนั้น ถ้าคุณเชื่อว่านี่เป็นกลยุทธ์ของซาตาน ก็ต้องเชื่อด้วยว่า ซาตานไม่มุ่งหวังให้คนเป็นคนดีนักหรอก วิญญาณที่ซ่อนอยู่คือวิญญาณแห่งการล่วงประเวณี อย่าลืมว่ามีการบวงสรวงก่อนทำการถ่ายทำ วิญญาณชั่วย่อมทำงานผ่านสื่อเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่และมีอิสระ เมื่อดาราทำการแสดงอย่างสมบทบาททำให้คนรู้สึกคล้อยตามและมีอารมณ์ร่วม เมื่อตัวละครมีการก้าวร้าว ซึ่งนั้นขัดกับพระวจนะของพระเจ้าอย่างมาก


เมื่อเรานั่งดูน้อยมากที่เราจะมองเห็นคติสอนใจ แต่ตรงข้ามกลับถูกดึงความคิดให้คิดในสิ่งที่ไม่ควร เพราะมารรู้ว่าแค่คิดก็บาปแล้ว มันไม่ต้องทำอะไรเลยแค่โจมตีความคิด เช่น ขออภัยนะครับ “อีนี่มันร้ายจริงๆ”  “นั่งนี่มันน่าตบจริงๆ” “ไอ้นี่โคตรเลว สมควรตายจริงๆ” “เออ ดีให้มันโดนข่มขืนไปเลย (ตัวอิจฉา) ทำเขาไว้เยอะโดนซะบ้าง”


คงไม่ต้องพูดอะไรต่อนะครับ เชื่อว่าหลายคนคงเคยเป็นแบบนี้ คิดแบบนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย เขาเรียกอารมณ์คล้อยตาม คือโดนดึงให้คิด ส่วนใครไม่เคยก็ขอนับถือจริงๆ


พระคัมภีร์สอนให้เรามีความรัก สวมผลของพระวิญญาณ แต่ละครไม่ว่าเรื่องไหน จะมีทั้งการแก้แค้นฝังใจ การฆ่ากัน อิจฉา ริษยา นินทา ว่าร้ายซุบซิบ จ้องคอยจับผิด ก้าวร้าว ขาดการควบคุมตัวเอง เจ็บใจจนไม่มีสันติสุข เห็นแก่ตัว ทำเพื่อประโยชน์ของตนเอง
ความบันเทิงที่มนุษย์อ้างในการดู ความเพลินเพลินพักผ่อนที่เราอ่างเพื่อจะชม แท้จริงแล้วสิ่งเหล่านี้คือความสุขและการผ่อนคลายที่แท้จริงหรือไม่ ที่ต้องมานั่งดูการแสดงของวิญญาณชั่ว


เคยถามพระเจ้าที่อยู่ในเราไหม ว่าพระองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์อยากมานั่งดูละครกับเราไม่ หรือว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไปแล้วตั้งแต่เราเปิดดู


ลองพิจารณาดูอีกสักครั้งว่า สาระอันน้อยนิดมันคุ้มไหมที่จะเอาชีวิตที่มีค่าไปนั่งดูเรื่องโกหกแบบนั้น แน่นอนมันเหมือนจะสะท้อนสาระคำสอน ว่าทำแบบนั้นไม่ดีนะ แบบนี้ไม่ดีนะ โดยการให้นักแสดงแสดงให้ดู แต่อย่างสิ่งที่สะท้อนออกมา คำว่าสะท้อนก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นสิ่งที่มองเห็นและชัดเจน มันไม่ใช่คำสอน แต่เป็นเรื่องที่แย่ๆๆ


ซาตานเป็นพ่อของการมุสา และอุบายของซาตานคือเอาเรื่องจริงและไม่จริงมาผสมคนคนให้เข้ากัน มีทั้งดำและขาวปนๆกันเพื่อหลอกคนที่วิเคราะห์เก่งๆ ว่ามันก็มีดีเหมือนกันนะ
ถามว่าเมื่อดูไปและเมื่อเราเจอสถานการณ์จริงกับตัวเรา เราจะตอบสนองในแง่ที่ดีที่ละครอ้างว่าสะท้อนสังคมและสอน หรือเราจะตอบสนองแบบแง่ผิดๆที่ละครเสนอออกมา ผมไม่วิจารณ์ใคร แต่ที่เห็นมา เด็กสมัยนี้เมื่อรำคาญคำสอนของพ่อแม่ ก็ขึ้นเสียงกับพ่อกับแม่ โดยไม่รู้ตัวว่าตัวเองเลียนแบบ แต่มาจากวิญญาณที่ถ่ายทอดลงไปสู่ความคิดให้ตอบสนองตามวิถีทางของมันเอง เมื่อโกรธหลายคนแผดเสียง สบถคำหยาบคายออกมา เรื่องการล่วงประเวณี ก็ยังมีข่าวดาษดื่น


ซาตานต้องการทำให้บ้านของเราทั้งฝ่ายกายภาพและฝ่ายวิญญาณสกปรก นี่คือจุดประสงค์ของมันเอง ก็เพราะว่าเมื่อบ้านสกปรก พระเจ้าก็ไม่ทรงสถิต นี่คือเหตุผลง่ายๆ
เมื่อเราเปิดละครเรื่องนี้ก็เท่ากับว่า เราได้เชิญวิญญาณเหล่านี้เข้ามา ทั้งวิญญาณการล่วงประเวณี ข่มขืน วิญญาณการอิจฉาริษยา การแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ซึ่งเหมือนทำให้เหตุการณ์นั้นเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา ทั้งบ้านจริงๆ และบ้านฝ่ายวิญญาณ ซึ่งร่างกายของเราเป็นพระวิหาร


ถ้าจะเอาคำสอน คำสอนมีในพระคัมภีร์อยู่แล้ว คลอบคลุมกว่า ไม่เป็นสีเทา ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ พระเยซูไม่ต้องแสดงความสมจริงในระหว่างที่พระองค์สอน ไม่ต้องให้สาวกแสดงบทต่างๆแบบเรื่องดอกส้มสีทอง ให้คนที่มานั่งฟังดู
1 โครินธ์ 6:18NIV
บอกว่า จงหลีกหนีจากการผิดศีลธรรมทางเพศ
ไม่ใช่แค่เรื่องเพศเท่านั้นการเห็นด้วยกับปิศาจตาเดียวคือการที่เรานั่งดูมันและสนุกกับมันเพลิดเพลินไปกับพวกมัน


เอเฟซัส 5:4 บอกว่า อย่าพูดหยาบโลน ลามก เฮฮาไร้สาระหรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า


ไม่ใช่แค่คำพุดที่เราต้องสงวนไว้ แต่หมายถึงการรับฟังด้วย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อพระคัมภีร์เน้นในเรื่องของลิ้นมากมาย เราเองต้องสนับสนุนถ้อยคำของพระเจ้าโดยการไม่สนับสนุนกิจการเหล่านนั้น
ถ้าเราสังเกตละครและสิ่งที่สื่ออกมาในทีวี มักจะขัดแย้งกับพระวจนะทั้งสิ้น ทั้งการแก่งแย่งชิงดี แย่งทรัพย์สมบัติกัน แย่งผัวแย่งเมียกัน การมีเมียน้อย แน่นอนเราอาจจะไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น แต่การที่เราเสพเรื่องแบบนี้ก็เท่ากับเราเห็นด้วย เพราะว่าเพียงแค่ความคิดของเราก็มีผลและเราก็ต้องรับผลนั้นแล้ว

ข้าพเจ้าทำสิ่ง สารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย 
1 โคริน 6:12



ผมไม่ได้ตั้งใจจะเป็นศัตรูของใคร ที่ชอบดูละครไม่ว่าเรื่องนี้หรือเรื่องไหน แต่สิ่งที่เร้าใจที่อยากจะหนุนใจว่า มันคุ้มค่าหรือไม่ที่จะดู ถ้าโพลสำรวจบอกว่ามีทั้งข้อดีที่สอนดีและเรื่องที่ไม่เหมาะสม ทำไมเราต้องยอมหยวนและอะลุ่มอะหล่วย กับฝ่ายมืดด้วยล่ะ เราเข้มแข็งพอหรือที่จะเผชิญหน้ากับซาตานซึ่งๆหน้า เรานั่งดูการล่วงประเวณีในบ้านของเรากระนั้นหรือ ไม่ต่างกับการดูหนังโป๊เลย เรานั่งฟังคำพูดหยาบคายเพื่อจะเอาคติสอนใจแบบนั้นเหรอ เราจะรับคติสอนใจที่ซ่อนอยู่ หรือรับเอาคำด่าคำหยาบคายที่ได้ยินเต็มๆไม่มีซ่อน เข้าสู่หูของเราและเดินทางเข้าสู่สมองของเราแบบนั้นหรือ เรานั่งดูลูกด่าแม่ของตัวเอง โดยอ้างคติอีกแล้วหรือ ทั้งที่พระคัมภีร์สอนมาแล้วเป็นพันปีว่าจงให้เกียรติบิดามารดา  แล้วเราฟังอะไรถ้าไม่ใช่คำด่า
นี่เป็นเวลาที่เราจะประหารมันเสีย


โคโลสี 3:5
เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ

ข้อ6 กล่าวต่อไปว่า เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา


ใช่แล้วการพิพากษาของพระเจ้าจะลงมา และมาถึงอย่างแน่นอน เมื่อซาตานยึดป้อมความคิดเราได้เมื่อใดและตั้งป้อมความคิดได้เมื่อใด มนุษย์ก็จะตกเป็นทาสของมัน หลายคนติดละคร ติดหนัง เพราะนี่คือวิญญาณที่เสพติด เมื่อดูแล้วก็ติด และตกในกับดักของซาตาน มันเองไม่ต้องการลงไปในบึงไฟนรกคนเดียวหรอก


หลายคนอาจจะมีข้ออ้างว่า เหน็ดเหนื่อยจากการทำงานก็อยากพักผ่อน หลายคนอาจจะมีเหตุผลว่า ดูแก้เซ็งดูเพื่อความสนุกไม่คิดอะไร ขอบทความนี้น่าจะหนุนใจท่านได้ไม่มากก็น้อย เราคงไม่ตายหรือลงไปชักลงแดง ถ้าไม่ได้ดูละครเรื่องนี้ อย่าให้มันเป็นการเสพติด เมื่อใดที่เรารู้สึกอึดอัด กระวนกระวาย และหงุดหงิดที่ไม่ได้ดู เมื่อนั้นแหละที่เราได้เสพติดมันแล้วและถูกควบคุมไปแล้ว และถึงแม้ไม่ได้ติดแต่ชอบดูเมื่อนั้นเราก็อาจจะถูกยึดพื้นที่ในความคิดไปทีละนิดๆ เราจะไม่หวงดินแดนเชียวหรือ


จงอย่าประมาทและคิดว่ามันไม่เป็นอะไร !!
2 โครินธ์ [10:4] เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้
2 โครินธ์ [10:5] คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
ด้วยรักในพระคริสต์

ผมขอเพิ่มเติม เมื่อผมอ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่งนะครับ
จากหนังสือ ผู้หักโซ่ตรวน หน้า 131-132 โดย นีล ที. แอนเดอร์สัน
เราจะไม่ถูกทดลองในสิ่งที่เราเห็นเป็นบาปชัดๆ เช่น ขนอาวุธหรือเอาปืนไปยิงคน หรือข่มขืน ซาตานฉลาดและแยบยลมากกว่านั้นมันรู้ดีว่าเราต้องรู้ทันสิ่งที่มันยั่วยุ
และเราจะปฏิเสธทันทีหรือไม่ยอมคล้อยตาม
แทนที่จะเป็นเช่นนั้นมันกลับใช้อุบายล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องแต่เกินเลยน้ำพระทัยของพระเจ้า จนกลายเป็นความบาปไป

มันทำกับเราเหมือนทำกับกบ คือจับโยนลงหม้อ แล้วเปิดไฟอ่อนๆ ค่อยๆเร่งไฟขึ้นเพื่อทดลองเรา โดยหวังไม่ให้เรารู้ตัวว่ามาถึงจุดที่ไม่ชอบพระทัยหรือพระเจ้าทรงห้าม
และไม่เป็นตามพระทัยของพระเจ้าแล้ว มารคาดว่าเราคงไม่รีบกระโดดออกจากหม้อน้ำก่อนที่สิ่งดีนั้นจะเลยเถิดเป็นความบาป

ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต่อำนาจของสิ่งใดเลย 1 โครินธ์ 6:12

เขาเห็นไฟเขียวทุกทิศทางสำหรับชีวิตคริสเตียนตลอด เราทำทุกสิ่งได้ไม่มีอะไรผิด เพราะเราเป็นอิสระจากบาป พระบัญญัติไม่ได้กล่าวโทษเราอีกต่อไป แต่เสรีภาพนั้นต้อง
สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า โดยไม่เกินเลยจนตกในบาป

คำกล่าวต่อไปนี้ชี้ถึงผลเสียของการทดลองให้ทำสิ่งที่ดีและคิดว่าไม่มีอะไรไม่เป็นไร แต่เลยขอบเขตน้ำพระทัยของพระเจ้า
-    การพักผ่อนฝ่ายร่างกายกลายเป็นความเกียจคร้าน
-    ความเงียบกลายเป็นการไม่สื่อสาร
-    ความสามารถในการสร้างกำไรกลายเป้นความขี้เหนียวและโลภ
-    ความสนุกสนานในชีวิตกลายเป็นความหลงระเริง
-    ความสุขทางกายกลายเป็นความหมกมุ่นในราคะตัณหา
-    ความยินดีของผู้อื่นในทรัพย์สินของเขากลายเป็นความโลภ
-    ความเอร็ดอร่อยในอาหารกลายเป็นความตะกละ
-    การดูแลตัวเองกลายเป็นความเห็นแก่ตัว
-    ความนับถือตัวเองกลายเป็นความหยิ่งทะนง
-    ความสามารถในการสื่อสารกลายเป็นการนินทา
-    ความระมัดระวังกลายเป็นความไม่เชื่อ
-    ความมั่นใจกลายเป็นการไม่ไวต่อความรู้สึกของผู้อื่น
-    ความโกรธกลายเป็นความเดือดดาลและอารมณ์ฉุนเฉียว
-    ความรักเมตตากลายเป็นการทะนุถนอมเกินไป
-    การรู้จักวินิจฉัยกลายเป็นการวิพากษ์วิจารณ์
-    ความสนิทสนมกับเพศเดียวกันกลายเป็นรักร่วมเพศ
-    เสรีภาพทางเพศกลายเป็นการมั่วโลกีย์
-    ความรอบคอบในหน้าที่กลายเป็นความพิถีพิถันเกินเหตุ
-    ความใจกล้างกลายเป็นความสุรุ่ยสุร่าย
-    การปกป้องตนเองกลายเป็นการไม่ซื่อสัตย์
-    ความระวังระไวกลายเป็นความกลัว



ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับการหนุนใจดีๆค่ะ
    แต่มันยากจังเลยที่จะออกจากการเสพย์ติดสิ่งร้ายๆ

    ตอบลบ
  2. ประเด็นที่ผมหนุนใจนี้ แน่นอนมันยากผมเองก็ยังดูบ้าง และไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ครับ แต่พระเจ้าทอดพระเนตรที่ความตั้งใจจริงของเราครับ ผมเองก็โดนโจมตีเยอะมากมายจากการเขียนบทความนี้ครับ แต่มันคือความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ

    ตอบลบ