อาหารแห่งชีวิตนิรันดร์
เป็นที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เราทุกคนกำลังอยู่ในยุคของวัตถุนิยม หลายอย่างถูกอ้างถึงความจำเป็น เด็กตัวเล็กนิดเดียว พกไอโฟนราคาเป็นหมื่นๆ วัยรุ่นหลายคนใช้สิ่งของที่หรูหราและฟุ่มเฟือยโดยเกินความจำเป็น ของบางสิ่งบางอย่างชวนให้หลงใหลและเรียกความสนใจและจดจ่อของมนุษย์ในยุควัตถุนิยม
แม้กระทั่งคริสเตียนบางคนก็หลงใหลไปกับสิ่งของวัตถุนิยมเหล่านั้น บางคนเคยถามผมว่ามันผิดไหมที่จะอยากได้สิ่งของเหล่านั้น พระคัมภีร์ไม่มีห้ามนี่ บางคนว่าผมซีเรียสเกินไป หรือไปโกรธใครมาหรือเปล่าจึงเขียนเรื่องทำนองนี้มา 2-3 ครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังเรื่องละครที่บางคนติดละครบางเรื่อง เราใช้เวลาไปกับอาหารที่ไม่มีประโยชน์มากมายขนาดไหนในแต่ละวัน เราเสียเวลาไปกับสิ่งฟุ่มเฟือยเหล่านั้นไปนานแค่ไหน เรานั่งจุ่มหน้าเล่นมือถือหน้าจอทัชสกรีน แชทคุยกับเพื่อน เรานั่งเล่นเกมไปกี่ชั่วโมง ดูละครแค่หนึ่งเรื่องเราเสียเวลาไปสองชั่วโมง วัตถุนิยมไม่มีความผิดในตัวมัน เพียงแต่มันเป็นเครื่องมือของซาตานที่จะดึงและเบนเราออกจากพระเจ้า ผมไม่ได้หมายความว่า คนที่ดูละครจะบาป คนที่หาวัตถุนิยมเหล่านั้นจะผิด แต่ถ้าเราเสียเวลาไปกับมันในแต่ล่ะวันมากจนเกินไป เราต้องทบทวนตัวเองดูด้วยว่า เราละเลยอาหารฝ่ายจิตวิญญาณไปหรือเปล่า ?
วัตถุนิยมบางอย่างถ้าเราใช้แบบสมเหตุสมผล และไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของมันเราเองจะขาดอาหารฝ่ายวิญญาณ ในโลกนี้ซาตานเป็นเหมือนสิงห์ที่วนเวียนและคอยที่เราอ่อนแอเมื่อไหร่มันก็จะโจมตีทันที ถ้าเราขาดอาหารฝ่ายวิญญาณแน่นอนในภาพของกายภาพเราจะเป็นคนที่อ่อนแอไม่มีแรง ขาดการอธิษฐาน ขาดการเติมเต็มด้วยพระวจนะ ไม่มีชีวิตที่นมัสการเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่จะป้องกันเราและทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมาได้ ถ้าเราเรียกตัวเองว่า ฉันเป็นคริสเตียน แต่ไม่เคยเลยที่จะใช้เวลาเติมเต็มชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ให้ความสนใจกับสิ่งซึ่งเป็นวัตถุนิยมก่อนเราก็อาจจะเป็นคริสเตียนที่ขาดสารอาหาร
สุภาษิต 23:1-5
เมื่อเจ้านั่งลงรับประทานกับผู้ครอบครองบ้านเมืองจงสังเกตให้ดีว่าอะไรอยู่ข้างหน้าเจ้า
ถ้าเจ้าเป็นคนตะกละ เจ้าจงจ่อมีดไว้ที่คอของเจ้า {เป็นสำนวนฮีบรู แปลว่า บังคับตัวไว้}
อย่าปรารถนาของโอชะของท่าน เพราะมันเป็นอาหารที่หลอกลวง
อย่าทำงานเพื่อเห็นแก่ทรัพย์ศฤงคาร จงฉลาดพอที่จะยับยั้งไว้
เจ้าจะเพ่งตาของเจ้าอยู่ที่ของอนิจจังหรือเพราะทรัพย์สมบัติมีปีกแน่นอนทีเดียว มันจะบินไปในท้องฟ้าเหมือนนกอินทรี
บางครั้งเราตามหาและขวนขวายหาบางสิ่งบางอย่างซึ่งเป็นของโลกนี้ มันไม่ผิดถ้าเราใช้ในความจำเป็นเท่านั้น พระคัมภีร์ตอนนี้เตือนใจเราว่าอย่าเสียเวลาวิ่งไล่ตามสิ่งของในโลกนี้ที่มันติดปีกและสามารถบินหายวับไปจากเราได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์ดีกว่า เพราะไม่มีทางที่สิ่งนั้นจะสูญสิ้นไปเลย ผมอยากหนุนใจว่า สิ่งล่อลวงในโลกนี้ เช่นหนังเช่นละคร เราดูไปแล้วมันเป็นแค่ความบันเทิงชั่วคราว สิ่งของเหล่านั้นจำเป็นสูงสุดต่อชีวิตเรามากแค่ไหน หรือเราอยากได้อยากดูเพราะกิเลสตัณหาที่มาจากเนื้อหนังของเราเอง มาจากความโลภหรือความอยากได้และอิจฉาในสิ่งซึ่งคนอื่นมีหรือไม่ ถ้าใช่นั่นคือความโลภ เราซื้อของที่แพงเกินไปและใช้ได้คุ้มค่าหรือไม่ คำว่าคุ้มค่าไม่ใช่การเล่นที่ไร้สาระจนคุ้มค่า จริงอยู่มันเป็นเงินของคุณคุณจะทำอะไรก็ได้ แต่ถ้าเราเชื่อในการอวยพระพรของพระเจ้า ทรัพย์นั้นไม่ใช่สนองความต้องการของตนเอง แต่เพื่อการแจกจ่าย
ลูกา 12:33-34 ท่านทั้งหลายจงขายของที่ท่านมีอยู่และทำทาน จงกระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่รู้หมดสิ้น ที่ขโมยมิได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวแมลงมิได้ทำลายเสีย เพราะว่าทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ไหน ใจของท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย
จุดหมายปลายทางเราไม่ได้อยู่ที่วัตถุและเงินทอง ถ้าเรามองสิ่งเหล่านี้เป็นปลายทางของเราซึ่งต้องหาเงินได้เงินและซื้อของที่อยากได้เงินจะเป็นกับดักที่ทำให้เราขาดจากพระเจ้า และเงินทองวัตถุจะกลายเป็นรูปเคารพของเรา พระเจ้าประทานทรัพย์ให้กับเราเพื่อให้เราใช้ตามวัตถุประสงค์ของพระองค์ พระประสงค์ของพระเจ้าคือพันธกิจของพระองค์ จงให้ด้วยใจกว้างขวาง
ยอห์น 6:27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว"
ผมไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกใช้วัตถุนิยมทุกอย่าง หรือกลับไปใช้มือถือจอขาวดำ นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่จงสำรวจชีวิตของเราว่าเราเป็นคริสเตียนเพื่ออะไร เราติดตามพระเยซูคริสต์เพื่ออะไร ความแตกต่างของการเป็นคริสเตียนอยู่ที่ไหน เราเชื่อพระเจ้าเพราะพระพรและการร่ำรวยหรือไม่ หลายคนทำธุรกิจบางอย่างและถูกกระตุ้นด้วยว่า ภายในเดือนเดียวคุณจะมีเงินหลายหมื่น ภายใน 1 ปีคุณจะมีเงินเดือนหลายแสน และถ้าทำงานได้ตามเป้าคุณจะได้รถ และได้ท่องเที่ยวต่างประเทศ เป้าหมายของมนุษย์คือการแข่งขันเพื่อจะได้มาซึ่งวัตถุนิยม ซึ่งเป็นอาหารที่อร่อยแต่เป็นแค่อาหารชั่วคราวไม่ใช่อาหารนิรันดร์
ในมานาตอนหนึ่งได้กล่าวว่าเมื่อเราอยากรู้ว่าเราวัตถุนิยมขนาดไหน ลองสมมุติว่า มีคนจะให้เงินคุณ 30,000 บาท ถ้าคุณนำคนมาถึงพระคริสต์ (หมายความว่าก่อนนี้เราไม่ประกาศและไม่นำคน) คุณจะพยายามออกเป็นพยานให้มากกว่าเดิม หรือจากไม่เคยเป็นพยานนำคน คุณจะรีบกระโดดออกมาเป็นพยานอย่างแข็งขันเลยหรือไม่ มันเป็นไปได้ไหมที่เราจะทำเพื่อที่จะได้เงิน
เราไม่ได้ทำเพราะว่าเป็นถ้อยคำของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระเจ้า อะไรเป็นแรงกระตุ้น ความรักที่เรามีต่อเงินมากกว่าความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและดวงวิญญาณคนอื่นหรือไม่
ยอห์น 6:35 เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือท่านที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้แก่โลก"
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย
ยังไงเราก็ต้อรับประทานอาหาร แต่เราจะเลือกทานอาหารแบบไหนที่มีประโยชน์เรารู้ดีว่าการบำรุงอาหารเนื้อหนังนั้นเปล่าประโยชน์แต่เราก็ยังรับประทานมันเข้าไปโดยไม่รู้ตัวและเพลิดเพลิน เราไม่ได้อยู่เพื่อจะกินแต่เรากินเพื่อจะอยู่และกินอาหารที่ให้ประโยชน์ฝ่ายวิญญาณในแต่ละวัน เราสามารถเลี้ยงอาหารฝ่ายวิญญาณ และดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเรียกพระองค์เองว่า เราเป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ แต่อาหารนั้นจะเข้าสู่ร่างกายของเราได้ก็ต่อเมื่อเรารับประทานเข้าไป เราเป็นคนเลือกเองเรามีเสรีภาพในการรับประทานอาหาร และถ้าเรารับประทานแต่อาหารที่ไม่มีประโยชน์ร่างกายของเราก็จะอ่อนแอลง นั่นหมายถึงจิตวิญญาณก็จะอ่อนแอลง ความสัมพันธ์กับพระเจ้าห่างไกล ซาตานก็เป็นเหมือนเช่นมารที่คอยหลอกเราไม้มีความสุขในการกินอาหารที่ไร้สาระ และเมื่อเราห่างไกลออกจากพระเจ้าเมื่อไหร่ มันก็จ้องตะปบเราเมื่อนั้น
จงรับประทานอาหารแห่งชีวิต ไม่ใช่อาหารที่ทำลายชีวิตจงเชิญพระเยซูเข้ามามีส่วนในการดำเนินชีวิตกับเรา จงเข้าสนิทและเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์เราจึงจะมีชีวิตฝ่ายวิญญาณ
ยอห์น 6:47-48 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ที่วางใจในเราก็มีชีวิตนิรันดร์ เราเป็นอาหารแห่งชีวิต
พระองค์ย้ำอีกครั้งว่า เราเป็นอาหารแห่งชีวิต เราจะกินพระเยซูเข้าไปได้อย่างไร เราเคยสงสัยเหมือนผู้คนที่ได้ฟังข้อความนี้ไหม อาหารเราต้องกินทุกวันๆ ถ้าเราจะบอกว่าวันนี้ขอพักไม่กินอาหารเราก็คงหิวและอ่อนเพลียแน่ๆ พระองค์เสนออาหารนี้คืออาหารฝ่ายวิญญาณแก่พวกเขา ซึ่งจะทำให้เขาอิ่มเอมอย่างเต็มที่และนำพวกเขาไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ในข้อ 51 พระองค์บอกว่า เราเป็นอาหารที่ให้ชีวิตที่ลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ผู้นั้นจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป อาหารนี้คือเนื้อของเรา ซึ่งเราจะให้เพื่อชีวิตของโลก
หลายคนสงสัยว่าจะกินเนื้อนี้เข้าไปได้อย่างไร
ในข้อ 53 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อ และไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน
ข้อ 55-56 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่กับเราและเราอยู่กับเขา
หลายครั้งเราฟังดูแล้วสิ่งนี้ดีมากแต่หลายคนไม่เข้าใจและตีความผิดเพี๊ยนไปแบบคนในยุคนั้น บางครั้งอาจจะดูเหมือนว่าอาหารที่ดีนั้น อาจจะไม่อร่อยนัก ภาพนี้เป็นภาพที่เปาโลใช้ใน พิธีมหาสนิท คือการเข้าส่วนและร่วมในพระกายพระองค์ เมื่อต้องพบกับบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้เราเติบโตขึ้น แต่ต้องแลกด้วยการเลิกหรือสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง หลายคนอาจจะท้อใจและไม่อยากรับประทานอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์นี้และยอมที่จะรับประทานอาหารแบบเดิมต่อไป เหมือนเด็กที่ชอบขนมที่ไม่มีประโยชน์และก็ร้องจะเอาแต่ขนมแต่ไม่ชอบที่จะกินผักที่เหม็นและขม แต่ว่ามีประโยชน์และทำให้แข็งแรง
เราอาจจะอยู่ในยุควัตถุนิยม อาหารนี้ไม่ผิดที่เราจะรับประทาน แต่ถ้าเรารับประทานจนมากเกินไปนั่นอาจจะนำไปสู่ความตาย ซาตานฉลาดและโกหกเก่ง มันตั้งใจวางกับดักเหล่านี้เพื่อมนุษย์โลกและคนของพระเจ้าจะเดินเข้ามาลิ้มลอง และเกิดการติดใจและติดกับ เมื่อนั้นความสนุกสนานอาจจะทำให้เราหันเหและเบี่ยงออกจากทางแห่งความไว้วางใจในพระเจ้า เมื่อเรารู้ข้อนี้แล้วอย่าเสียดายและหาข้ออ้างหรือเหตุผลที่จะขวนขวายสิ่งเหล่านั้นมาเพื่อสนองต่อความต้องการและเลี้ยงดูเนื้อหนังจนอ้วนพี แต่จิตวิญญาณผอมแห้งและหมดกำลัง ความจำเป็นที่เราอ้างกับความอยากที่เรามีมันอาจจะเป็นเส้นบางๆที่กั้นอยู่ ผมเพียงแต่ได้ถ้อยคำที่จะหนุนใจพี่น้องที่รักในพระคริสต์เพื่อเราจะเดินและก้าวต่อไปและได้รับอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ร่วมกัน ผมเองก็ยังต้องก้าวข้าวสิ่งนี้ไปให้ได้ด้วยเช่นกัน
ผู้ที่วางใจในพระเยซูก็มีชีวิตนิรันดร์ เพราะพระองค์เป็นอาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ เชิญพระองค์เข้ามา ดื่มและรับประทานพระองค์ หิวพระองค์กระหายหาพระองค์ และพระองค์บอกว่าพระองค์ก็ดำรงอยู่ในเรา เมื่อนั้นเมื่อเราเชื่อและวางใจและหันกลับจากอาหารซึ่งไร้สาระ เราเองก็มั่นใจในชีวิตนิรันดร์ที่พระองค์มอบให้เรา
ขอบพระคุณพระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพร
Ktm.worship
ขอบคุณพระเจ้าวันนี้หนูได้อาหารชัวิตละนั้นคือ พระวจนะ !!!
ตอบลบอาเมน ขอบคุณพระเจ้าครับ
ตอบลบ