คุณทาน ยา (ยากอบ) แล้วหรือยัง ?
ครั้งหนึ่งผมไม่สบายและไปหาหมอ แน่นอนผมได้รับยากลับมา ในซองยาระบุว่าเราต้องทานยาให้เป็นเวลาเพื่อเราจะหายจากโรคที่เป็น
วันนี้คุณคิดว่าป่วยอยู่ไหม แน่นอนเมื่อเราเชื่อทันใดนั้นเราก็ได้รับความรอด แต่เราต้องไม่ลืมว่าเรายังต้องใช้ชีวิตท่ามกลางโลกที่เต็มไปด้วยความโสมม ราคะตัณหา เนื้อหนังของโลกนี้ ความสกปรกต่างๆอยู่ ซึ่งแม้เราจะมีสุขภาพที่ดีเพียงใดแต่ถ้าเรายังประมาทแล้วปล่อยปละละเลยสุขภาพฝ่ายวิญญาณของเราไป เราก็อาจจะเจ็บป่วยและตายได้ในที่สุด
พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดีและพระองค์ก็ได้ประทานยาแก้ไว้ให้เราเพื่อจะต้านเชื้อไวรัสที่กำลังจะลุกลามจนทำให้เราตายได้ อยู่ที่ว่าคนบางคนนั้นไม่ชอบที่จะไปหาหมอที่จะวินิจฉัยโรค และเมื่อไม่ได้รับการวินิจฉัยก็ไม่ได้รับการรักษา บางคนกลัวที่จะรับรู้ว่ากำลังจะเจ็บป่วยทั้งที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว แต่ไม่อยากที่จะยอมรับและรับฟัง เราต้องยอมจำนน
พระวจนะของพระเจ้านอกจากเป็นอาวุธแล้วยังเป็นยาและเป็นหมอที่ตรวจภายในของเราด้วย
ฮีบรู 4:12
เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
นี่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงคำตรัสของพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นถ้อยคำที่มีชีวิตเพราะออกมาจากพระโอษฐ์ขององค์เจ้าชีวิต สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นดุจเดียวกับมีดในมือของหมอผ่าตัด ศัลยแพทย์ เปิดเผยให้เห็นว่าเราเป็นใคร และเราไม่ใช่ใคร สามารถวินิจฉัยสิ่งที่อยู่ในเราว่าดีหรือร้าย ไม่เพียงแต่เราต้องอ่านและฟังแต่เราต้องยอมจำนนให้พระวจนะขัดเกลาชีวิตของเราด้วย เหมือนหมอต้องให้คนไข้เซนชื่อก่อนทำการรักษา เราต้องยอมจำนนและยอมต่อพระเจ้า
เรามียาแก้บาปของพระเจ้า ยานั้นมีหลายตัวที่แก้โรคแตกต่างกัน วันนี้เราทานยาแก้บาปหรือยัง
ยาแก้บาปที่ผมจะกล่าวถึงในวันนี้คือยา (กอบ) หรือพระธรรมยากอบนั่นเอง
จุดประสงค์ของพระธรรมยากอบคือ เพื่อที่จะเตือนและหนุนใจคริสเตียนเกี่ยวกับการทดลองในโลกนี้ และผู้ที่อาจจะหลงไปทางฝ่ายโลกโดยไม่รู้ตัว คำว่าไม่รู้ตัวอาจจะหมายถึงโดยไม่ระวังตัว ไม่รู้ตัวว่าทำบาป หรือไม่ว่ารู้แต่ยังไม่อยากจะยอมรับ
ก่อนที่จะทำการรักษามันก็ต้องมีการสอบประวัติกันก่อนนะครับพี่น้องที่รักทั้งหลาย ลองตอบคำถามต่อไปนี้ในใจด้วยความซื่อสัตย์นะครับ
1.เราถูกทดลองเรื่องความลำเอียงต่อคนมั่งมีหรือไม่
2.ถูกทดลองโดยการควบคุมวาจาไม่ได้หรือไม่ คือควบคุมลิ้นไม่ได้
3.ถูกทดลองในเรื่องกิเลสตัณหาหรือไม่
4.ถูกทดลองในการเอารัดเอาเปรียบคนจนหรือพี่น้องหรือไม่
5.ถูกทดลองในการขาดความเชื่อเมื่อถูกคนอื่นเอารัดเอาเปรียบหรือไม่
ถ้ามีคำตอบข้อไหนใช้จงปฏิบัติตามพระวจนะที่เป็นเหมือนผู้รักษาเรานะครับ เหมือเราเชื่อหมอนั่นแหละ
1.อ่านพระวจนะ อ่านไปเถอะ
2.กระทำการดี พระเจ้าให้เรากระทำการดี ไม่ใช่เพื่อจะรอด แต่เรารอดเพื่อที่จะกระทำการดี
3.จะพูดอะไรฟังเสียงเตือนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และพูดด้วยสติปัญญาของพระเจ้า
4.ร้องไห้ด้วยความถ่อมใจ
5.อธิษฐานด้วยความเชื่อ
ลองอ่านพระวจนะตอนนี้ทั้งหมดนะครับ ไม่ยาวเกินไปหรอกและคุ้มค่ามากที่จะอ่าน ใน
ยากอบ 1:1-23
ยากอบ [1:1] จาก ยากอบผู้รับใช้ของพระเจ้าและของพระเยซูคริสตเจ้าถึงคนสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่นั้น
ยากอบนี้ไม่ใช่ยากอบที่เป็นอัครทูตแต่เป็นยากอบน้องขอพระเยซู ในยุคนั้นการกดขี่ข่มเหงเพิ่มมากขึ้น คริสเตียนกระจัดกระจายไปพระธรรมยากอบจึงเป็นจดหมายฝากที่เขียนขึ้นเพื่อผู้เชื่อในยุคนั้นที่จะได้รับการหนุนใจ
ยากอบ [1:2] ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี
ยากอบ [1:3] เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง
ยากอบ [1:4] และจงให้ความมั่นคงนั้นบรรลุผลอันสมบูรณ์ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
ข้อ 2-3 เมื่อเราเผชิญการทดลองต่างๆยากอบบอกว่าเราย่อมได้ประโยชน์จากการทดลองเหล่านั้น การถือเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ได้หมายถึงการเสแสร้งทำตัวให้มีความสุข แต่หมายถึงการมองภาพในแง่บวก การทดลองจะก่อให้เกิดประโยชน์ในชีวิตของเราก็ต่อเมื่อเราผ่านมันไปได้ จงเปลี่ยนอารมณ์ความยากลำบากเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ เพราะมันสามารถสอนเราให้อดทนและบากบั่นต่อไปได้ เราต้องมั่นคงในสถานการณ์ความยากลำบากหรือปัญหาที่โถมเข้ามาในชีวิตของเรา
เราจะรู้ถึงความผิดปกติได้ก็ต่อเมื่อเรากำลังเผชิญสถานการณ์ความยากลำบาก การกดดันจากสิ่งรอบข้าง เราสามารถทำดีได้เมื่อชีวิตเราราบรื่น แต่ถ้าเราเจอความไม่ยุติธรรมจากคนอื่น เราจะยังสามารถกระทำการดีต่อเขาได้หรือไม่ แทนที่เราจะเอาแต่โอดครวญ หรือบ่น ท้อใจ ท้อถอย จงมองว่านี่เป็นโอกาสทองต่างหากที่เราจะให้เป็นการเรียนรู้และโอกาสที่เราจะเติบโตขึ้น การเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาสได้มาถึงแล้ว
พระเจ้าไม่ทิ้งเราให้ต่อสู้ตามลำพังแน่นอนเชื่อเถอะ เพราะพระเจ้าสัญญาแบบนั้น ในสดุดี 91 จงอดทนต่อไปพระเจ้าอยู่ใกล้เรา
ยากอบ [1:5] ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญาก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้า ผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ
พระเจ้าเป็นพระเจ้าแห่งพระปัญญาด้วย ปัญญาที่ฉลาดที่สุดในจักวาลรวมอยู่ที่พระองค์พระองค์เป็นเจ้าของ จงขอสติปัญญาจากพระเจ้าเพื่อนำทางในการตัดสินใจของเราเพราะพระองคืบอกว่า ผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ
ยากอบ [1:6] แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา (อ่านจนถึงข้อ 22 นะครับ)
ยากอบ [1:7] ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ยากอบ [1:8] เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น
ยากอบ [1:9] ให้พี่น้องที่ต่ำต้อยโอ้อวดในการที่พระเจ้าทรงเชิดชูเขา
ยากอบ [1:10] และคนมั่งมีก็จงโอ้อวดเมื่อตกต่ำลง เพราะว่าเขาจะต้องล่วงลับไปดุจดอกหญ้า
ยากอบ [1:11] เพราะเมื่อตะวันขึ้นความร้อนอันแรงกล้าก็กระทำให้หญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็ร่วงหล่น และความงามของมันสูญสิ้นไป คนมั่งมีก็จะเสื่อมสูญไปกลางคันเช่นกัน
ยากอบ [1:12] คนที่อดทนต่อการทดลองใจก็เป็นสุข เพราะเมื่อปรากฏว่าผู้นั้นทนได้แล้วเขาจะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์
ยากอบ [1:13] เมื่อผู้ใดถูกล่อให้หลง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า "พระเจ้าทรงล่อข้าพเจ้าให้หลง" เพราะว่าความชั่วจะมาล่อพระเจ้าให้หลงไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ทรงล่อผู้ใดให้หลงเลย
ยากอบ [1:14] แต่ว่าทุกคนก็ถูกล่อให้หลง เมื่อกิเลสของตัวเองล่อและชักนำให้กระทำตาม
ยากอบ [1:15] ครั้นตัณหาเกิดขึ้นแล้วก็ทำให้เกิดบาป และเมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็นำไปสู่ความตาย
ยากอบ [1:16] พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า อย่าหลงผิดไปเลย
ยากอบ [1:17] ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง
ยากอบ [1:18] โดยทรงตั้งพระทัยแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดโดยสัจจวาทะ เพื่อเราทั้งหลายจะได้เป็นอย่างผลแรกแห่งสรรพสิ่งซึ่งพระองค์ทรงสร้าง
ยากอบ [1:19] ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ
ยากอบ [1:20] เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า
ยากอบ [1:21] เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้
ยากอบ [1:22] แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง
ยากอบ [1:23] เพราะว่าถ้าผู้ใดฟังพระวจนะ และไม่ได้ประพฤติตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตัวในกระจกเงา
การฟังและอ่านพระวจนะเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่การนำไปปฏิบัตินั้นสำคัญยิ่งกว่า ผลสอบนั้นอยู่ที่ท่าทีและการประพฤติรวมถึงการสนองตอบต่อสถานการณ์นั้นๆ เราได้นำสิ่งที่เรียนรู้ไปปฏิบัติหรือเปล่า
คนที่ป่วยฝ่ายวิญญาณไม่ได้หมายถึงคนที่เชื่อใหม่ หรือคนที่รู้พระคัมภีร์น้อย มันไม่แน่เสมอไปหรอก แม้เราจะจบศาสนศาสตร์คริสเตียนระดับด๊อกเตอร์ แต่ไม่ประพฤติและสนองตอบ เราก็เป็นคนป่วยคนหนึ่งที่ไม่ยอมรับความจริงว่าป่วย
จงน้อมรับเอายาแห่งพระวจนะนี้ ไม่เพียงแต่เราทั้งหลายจะหายดี แต่เราทั้งหลายจะกลับมาแข็งแรงยิ่งกว่าเดิม และไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มีประโยคหนึ่งที่ผมอยากหนุนใจตัวเองรวมถึงพี่น้องที่รักทุกคนว่า
“ความเชื่อที่ไม่ถูกทดลอง ก็ไม่มีวันเติบโตได้”
ด้วยรักในพระคริสต์
ขอพระเจ้าอวยพระพร
Ktm.worship
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น