วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เธอนั่นแหละที่ผิด

เธอนั่นแหละที่ผิด
บทความหนุนใจ
คำๆนี้แม้จะไม่พูดตรงๆตัวแต่หลายคนก็คงได้รับคำๆนี้กรอกหูอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน และก็ลามมาถึงคริสตจักรด้วย ไม่ว่าอยู่ที่ไหนเราก็ไม่สามารถห้ามใครไม่ให้พูดได้เพราะนี่เป็นนิสัยหนึ่งที่บ่งบอกของการขาดซึ่งความรัก


คริสเตียนหลายคนยังติดนิสัยที่กล่าวโทษซึ่งกันและกัน เมื่อมีปัญหาใดเกิดขึ้น เขามักคิดว่าต้องมีคนที่ผิดและคนคนนั้นต้องไม่ใช่ฉัน และใครล่ะที่ผิด ก็เธอไงล่ะที่ผิด
เราเคยไหมที่ไวในการหาความผิดของคนอื่นและไม่เคยมีใครหรอกที่พูดเรื่องเสียและเลวร้ายของตนเองให้ผู้อื่นฟัง ไม่มี ความรักคือเชื่อในส่วนดี แต่หลายครั้งเราค้นหาความผิดของคนอื่นแม้มันจะซ่อนอยู่ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง บัญญัติข้อใหญ่ของพระเจ้า เรารักตัวเองอย่างไร เรารักตัวเองที่จะไม่เอาเรื่องไม่ดี น่าอาย หรือความผิดของตนเองมาพูดประจานตัวเองให้ใครฟัง แต่เรามักเอาเรื่องคนอื่นมาตัดสิน และทำตัวเป็นผู้พิพากษาแทนพระเจ้า เรารักเพื่อนบ้านไม่เหมือนรักตนเอง


บางครั้งการตัดสินโทษคนอื่นว่าผิด มักแฝงมากับการหนุนใจ ความห่วงใย การอยากตักเตือน หรือหวังดี (ที่จอมปลอม) ในบางประเทศการถ่ายภาพผู้ต้องหาที่ใส่กุญแจมือถือว่าผิดกฎหมาย เพราะเขาถือว่าผู้ต้องหาคนนี้ยังไม่ถูกตัดสินว่าผิด พระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินเอง
เราอาจจะเรียกคุยส่วนตัวและตักเตือนด้วยความรักแต่ไม่ใช่การชี้หน้ากล่าวโทษ


มีบทเฝ้าเดี่ยววันหนึ่งในมานา เล่าว่าผู้หญิงคนหนึ่งขับรถไปตามถนนยามเย็นใกล้ค่ำ ในขณะที่รถอีกคันหนึ่งวิ่งมาทางรถของเอแล้วเลี้ยวตัดหน้า จนเอต้องบีบแตรให้คนขับรถคันนั้นว่าเกือบจะเกิดอุบัติเหตุเพราะความประมาทของเขา


ไม่กี่นาทีต่อมาเธอจอดรถแล้วรถคันนั้นก็มาจอดข้างๆเอ เมื่อคนขับลงมาหาเอและพูดว่า คราวหน้าถ้าคุณจะบีบแตรใส่ใคร คุณควรจะแน่ใจเสียก่อนว่าเปิดไฟหน้ารถแล้ว


เธอมั่นใจว่าตัวเองถูกและเขาผิดจนมองไม่เห็นความผิดของตัวเอง เอต่างหากที่เกือบทำให้เกิดอุบัติเหตุ


บางครั้งในคริสตจักรเมื่อมีใครสักคนพลาดพลั้ง เพราะเราเป็นมนุษย์ นั่นเป็นเรื่องของเขาที่จะสารภาพกับพระเจ้าและเรามีหน้าที่เตือนด้วยความรักเท่านั้น หรือการหนุนใจ แต่หลายครั้งความผิดพลาดของคนอื่นกลายเป็นเรื่องสนทนาจากหนึ่งคนไปสองคน ไปสี่คน ไปแปดคน เป็นทวีคูณ ซึ่งวิธีนี้เหมาะกว่าเอาเวลาไปประกาศดีกว่าไหมที่จะทำตัวไร้สาระหรือมีเวลาว่างมากที่จะมานั่งจีบปากจีบคอเป็นผู้พิพากษา แต่ตัวเองกลับเป็นเสียเอง


เรื่องเล่าผู้หญิงคนหนึ่งเธอเป็นคนที่ไม่รู้ตัวว่าเป็นคนชอบพุดมาก เรื่องอะไรของชาวบ้านเธอรู้หมด เธอสามารถพูดเรื่องดีของคนให้เป็นเรื่องไม่ดีได้ การนินทาเป็นเหมือนลมหายใจของเธอ และวันหนึ่งเธอก็ถูกการตอบโต้ แต่แทนที่เอจะรู้ตัว กลับมองไม่เห็นความผิดของตนเองเหมือนการบีบแตรใส่รถที่เลี้ยวตัดหน้าทั้งที่ รถตัวเองไม่เปิดไฟ ก็คือทั้งที่ตัวเองก็เป็นคนเริ่มเสียงเอง


นิ้วที่ชี้กล่าวว่า เธอผิด แต่อีกสามนิ้วชี้กลับมาที่ตัวเองว่าที่แท้เราก็ไม่ต่าง นิ้วและปากมีความสัมพันธ์ ถ้าเรากล่าวโทษพร้อมชี้นิ้ว เท่ากับเราสาปแช่งตัวเอง แต่ถ้าเราให้อภัย รักและแถมโปรโมชั่นอวยพร แก้ผู้อื่น สี่นิ้วที่ชี้เข้าตัวก็จะนำการอวยพระพรจากพระเจ้ามาถึงเราด้วย
ไม่จำเป็นที่เราต้องทำทางกายภาพ แต่นี่เป็นภาพฝ่ายวิญญาณที่ผมเห็น


เราต้องไม่ไวในการตัดสินพฤติกรรม และชี้ข้อบกพร่องของผู้อื่นในมุมกล่าวโทษ ลองพิจารณาชีวิตของตนเองก่อนดีกว่า


ลูกา 6:36
ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา



พระเจ้าให้เรามีความเมตตา ชี้หน้าพิพากษาความผิดบางครั้งอาจจะเป็นการฆ่าคนบางคนเลยก็ได้


ลูกา 6:37
"อย่าวินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน


ลูกา 6:38
จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย และในตักของท่านจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น"



ถ้าเรามีหัวใจแห่งการให้อภัยแสดงว่าเราได้รับการอภัยจากพระเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะพระเจ้าตรัสว่า เมื่อเรายกโทษให้ผู้ใด พระเจ้าก็จะทรงยกโทษให้ผู้นั้น พระเจ้าเน้นเรื่องนี้มากพระเจ้าให้ความสำคัญแต่ บางครั้งคริสเตียนบางคนไม่ให้ความสำคัญ พระเจ้าเปรียบเรื่องนี้เท่ากับการยกหนี้เลยที่เดียว เมื่อนายยกหนี้ให้ แต่เรากลับมาชี้โทษความผิดคนอื่น


หรือเปรียบได้กับทะนานที่เรากำลังตวง ถ้าเรามัวแต่กล่าวโทษชี้ความผิด แทนที่จะเห็นอกเห็นใจ เราเองก็จะถูกกระทำเช่นนั้นด้วยเช่นเดียวกัน


พระเจ้าตรัสว่าจงให้ด้วยใจกว้างขวาง มิใช่แค่เงินทองแก่คนจนเท่านั้น แต่หมายถึงการให้อภัย การยกหนี้ให้แก่พี่น้อง พระเจ้าสัญญาว่าเมื่อเราเลิกที่จะกล่าวโทษและให้อภัย สิ่งเหล่านี้จะกลับมาหาเราแน่นอน จงมีความรักไม่ใช่การพิพากษา

ลูกา 6:39
พระองค์ตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นคำอุปมาด้วย ว่า "คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ

ลูกา 6:41
เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก



ในความหมายของพระเยซูไม่ได้หมายความว่าจะไม่สนใจหรือทำไม่รู้ไม่เห็นเมื่อพี่น้องทำความผิด แต่พระเยซูไม่ได้ให้เราไปกังวล และไปห่วงแต่ความบาปของคนอื่นจนก้าวเข้าไปสู่การกล่าวโทษตัดสิน จนลืมมองความบาปของตัวเอง หลายครั้งเราเองแก้ตัวที่ทำบาป แต่ชี้ไปที่ความผิดของคนอื่น บางครั้งเราเองก็มีท่อนไม้ที่ใหญ่กว่าผงในตาของพี่น้องของเราด้วยซ้ำ ถ้าเรามองเห็นท่อนไม้ในตาของเรา นั่นแหละเราถึงจะรู้สึกว่าเราไม่มีอะไรจะพูดเลย


ซาตานเองต้องการตั้งตัวเป็นพระเจ้าเมื่อยังเป็นทูตสวรรค์นมัสการ และตอนนี้มันต้องการล่อลวงเราให้ตั้งตัวเป็นพระเจ้าในการพิพากษาความผิดของคนอื่นด้วย


ไม่ว่าจะเป็นในคริสตจักรหรือนอกคริสตจักรในที่ทำงานหรือที่ไหน เราควรสำแดงความรักมากกว่าจะมองไปที่ความผิดของคนอื่นโดยที่รู้สึกว่าตัวเองดีกว่า เพราะนั่นคือวิญญาณศาสนาแบบ ฟาริสีที่คิดว่าตัวเองดีแต่คนอื่นมีแต่ความบาปและความผิด

ในหนังสือ ชัยชนะเหนือวิญญาณศาสนา ของ ทอมมี่ เฟ็มไรท์ ได้บอกว่า 1 ในวิญญาณศาสนาหลายอย่างนั้น วิญญาณพิพากษา หรือ Judgmental Spirit ก็เป็นหนึ่งในวิญญาณศาสนาด้วยเช่นกัน  วิญญาณพิพากษาตัวนี้ คือการคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ และไม่เพียงแต่รู้ว่าคนอื่นทำอะไร แต่ยังรู้เหตุผลที่ทำได้อีกด้วย มันดูหมิ่นคนอื่นจากความเคร่งครัดของบทบัญญัติ และมักจะภูมิใจในความชบอธรรมของตัวเอง


คนที่มีวิญญาณแบบนี้มักไม่รู้ความจริงอย่างถ่องแท้ เข้าสำนวนไทย ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด คือ ฟังไม่ได้ความชัดเจนแล้วเอาไปพูดต่อหรือทำผิดๆ หรือไม่รู้ตื่นลึกหนาบางแล้วเอาไปคิดผิดๆ พระเจ้าถึงบอกว่าพระองค์จะพิพากษาเองเพราะพระองค์รู้ทุกสิ่ง อย่าไม่เอาข้อมูลผิวเผินที่มองเห็นมาตัดสินกันและกัน และก็ชี้ว่าเขาทำผิดอย่างไร


โรม 12:10
จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว



และสำหรับผู้ใครที่กำลังท้อแท้ใจที่โดนกล่าวโทษ แม้จะผิดหรือไม่ผิด ขอให้รู้ว่าพระเจ้าคือผู้พิพากษาเรา ไม่มีผู้ใดแย่งสันติสุข ความชื่นชมยินดีไปจากเราได้ เขาเองต้องรับผิดชอบในการกระทำและคำพุดขอบงเขาต่อพระเจ้า ทั้งนี้ก็จงพิจารณาตัวเอง และพระเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเรา


บทความที่เกี่ยวข้อง  
http://missionkorat.blogspot.com/2011/04/blog-post_29.html


ด้วยรักในพระคริสต์
ขอพระเจ้าอวยพระพร
Ktm.worship

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น