วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จากนินทาสู่การอธิฐาน

จากนินทาสู่การอธิฐาน


ผมลองนั่งคำนวนเล่นๆจากการสังเกตุคนรอบข้างและเฉลี่ยออกมาว่า
อย่างน้อย ใน 1 ปีคนเรานี่มีการนินทา วิพากวิจารณ์ ถึง 15 วัน นี่คือ
ค่าเฉลี่ยอย่างน้อย คนนินทามักเหมือนไม้ขีดไฟ เมื่อเขาเข้าไปพูดคุย
กับคนที่มีเชื้อเช่นกันย่อมลุกติดไฟจนยากที่จะระงับเพลิงได้

ผมเขียนบทความเรื่องการนินทาไว้แล้วจึงจะไม่ยกพระคัมภีร์มา
อ้างอิงอะไรมากมายแต่มุมมองหนึ่งที่เราจะเปลี่ยนคำนินทาจากปาก
นั่นคือการภาวนาและอธิฐานเผื่อคนคนนั้นที่อาจจะมีเหตุให้เราต้อง
นินทาเราน่าจะอธิฐานเผื่อเขามากกว่า

บัญญัติของพระเจ้าที่มอบให้เราคือ "อย่าเป็นพนานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน"
อพยพ 20:16
การเป็นพยานเท็จหมายถึงการโกหกในศาลพระเจ้ารู้ว่าอิสราเอลจะอยู่
ไม่ได้ ถ้าไม่มีระบบศาลที่ยุติธรรมที่ปราศจากสินบน
เราก็ควรซื่อสัตย์ทั้งต่อหน้าส่วนตัวและต่อหน้าผู้อื่น การไม่เล่าเรื่องทั้งหมด
พูดความจริงครึ่งเดียว และบิดเบือนความจริง หรือแต่งเรื่องขึ้นเอง
พระเจ้ากำลังเตือนเราไม่ให้หลอกลวง แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นหนทางวิถีชาวโลก
แต่เราซึ่งมีพระเจ้าเป็นคนของพระองค์ต้องไม่ประพฤติเช่นนั้น

บัญญัติข้อนี้เราใช้กับการนินทาด้วย แม้บัญญัตินี้จะเน้นไปที่การให้การเท็จ
ใส่ร้ายเพื่อนบ้านในชั้นศาล เพราะการนินทาก็เปรียบกับการละเมิดกฎ
แห่งความรักที่มีต่อเพื่อนบ้าน

การนินทามักเป็นความรู้สึกที่ไม่ถ่อม หรือความถ่อมเทียมเท็จที่อยาก
ให้คนรอบข้างเป็นดั่งใจตัวเองต้องการ หรือเป็นอย่างที่ตัวเองต้องการ
ให้เป็น นั่นมันคือการพิพากษา

การนินทาเป็นความปรารถนาโดยธรรมชาติที่อยากรู้สึกดีกว่าคนอื่น
ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มหรือได้รับการยอมรับ


มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะต่อสู้กับการนินทา แต่ถ้าเราเลือกที่จะรักผ่าน
ทางการอธิฐาน ชีวิตของเราเองก็จะมีแต่ความรักสันติสุข

"คนใดที่เป็นพยานเท็จกล่าวโทษเพื่อนบ้านของเขา  
ก็เหมือนกระบองศึก  หรือดาบ"
สุภาษิต 25:18




บทความใกล้เคียง

http://missionkorat.blogspot.com/2010/06/blog-post_734.html

จัดการคำติเตียน

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ26 มีนาคม 2554 เวลา 19:02

    ถ้าทุกคนได้อ่าน คงลดการนินทาลงได้ สังคมไทยก็จะได้ ไม่ดูต่ำต้อยกว่าคนป่า หาหัวเผือก ประทังชีวิต

    ขอบคุณพระเจ้า

    ตอบลบ