กำจัดอุปสรรค 5 ค. เพื่อไม่เสียโอกาส
แกะบทความจาก คำเทศนา 25 กค 2010
http://missionkorat.blogspot.com/2010/07/25-2010.html
ในตอนที่ส่งผู้สอดแนมทั้ง 12 คนเข้าไปสอดแนมนั้น
มี 10 คนที่มีความคิดในด้านลบ จนทำให้อิสราเอล
เสียโอกาสในการเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า
เดือนนี้เป็นเดือน เผ่าสิเมโอน (คือการฟัง)
เมื่อเราเองต้องฟังอะไรบ่อยๆ เราก็จะปฏิบัติแบบนั้น
ฟังมากๆก็มักจะเป็นแบบนั้น
อย่าให้เราฟังคำพูดของมนุษย์ที่มาจากความคิดของมนุษย์
ที่แอบซ่อนอุบายของซาตาน ที่จะดึงเราให้ออกห่างจากพระประสงค์
ของพระเจ้า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องฟังพระคำจากพระเจ้า จริงๆ
เพราะหูก็ชิมถ้อยคำ อย่างกับเพดานปากชิมอาหาร
โยบ 34:3
ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง
เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน
แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธและกบฏ
เจ้าจะเป็นเหยื่อของคมดาบ
เพราะว่าพระโอษฐ์ของพระเจ้า
ได้ตรัสแล้ว
อิสยาห์ 1:19-20
บางครั้งเรารอคอยพระสัญญาของพระเจ้า
ระหว่างทางนั้นก็พบเจอกับอุปสรรคมากมาย
เมื่อเราเดินไปจ่อที่ปากทางเข้า และกำลังจะ
ได้รับชัยชนะ
เราก็เจอสกัดด้วยผู้สอดแนมทั้ง 10 คน
และวันนี้เราจะร่วมกันมั๊ย ..... ที่จะปิดปาก
ผู้สอดแนมทั้ง 10 และปิดหูเราเองจะเสียง
ของผู้สอดแนม ด้านลบเหล่านั้น
ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมที่เราควรจะยืน
ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนเรา อย่าให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขัดขวาง
ที่เราจะไปถึงเป้าหมายแห่งพันธสัญญา ของพระเจ้า อย่าเสียเวลาเลยครับ
อีกนิดเดียว
เดือนนี้เป็นเดือย อัพ ตามปฏิทินยิว ที่เราจะลิดเอาสิ่งที่ไม่ได้มาจาก
พระประสงค์ของพระเจ้า จากผู้สอดแนมทั้ง 10 คน ออกไป
5 ค. ที่ควรลิดทิ้ง
1.ความสงสัย (ขาดความเชื่อ)
กันดารวิถี 13:27-28
เขารายงานโมเสสว่า "เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์จริง แต่..
คนที่นั่นเข้มแข็ง เมือก็ใหญ่โต ป้อมกำแพงก็หนาแน่น และมีคนอานาค (มาจากคนเนฟิล)
เราเองเคยมีใจสงสัยหรือเปล่า บางครั้งเราอาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ปกติ
ไม่เห็นจะมีอะไร แล้วถ้ามันไม่มีอะไร จนกลายเป็นความเคยชิน
บางคนไม่สนใจฟังด้วยซ้ำ ผมยกตัวอย่างมานี่ก็ให้เราเห็นถึงความชินชา
และถ้าเราสงสัยจนเคยชินล่ะครับ จะมีผลกระทบต่อ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามั๊ย
ความสงสัย สงสัยจังทำไมๆๆ ทำไมต้องแบบนั้น ทำไมต้องแบบนี้ (ผมมิได้มีเจตนาว่าการ สงสัยผิดนะครับ)
คำจำกัดความของสงสัยคือ รู้สึกประหลาดใจ กริยาหมายถึง อาการที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ หรือยืนอยู่ที่สองข้าง ว่าจะเลือกข้างไหนดี
ให้เราเองที่จะฝึกมอบเรื่องราวไว้กับพระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าจะกระทำทุกสิ่งให้เกิดผลดี
ความสงสัยนี่เองทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ตัดสินใจไม่ได้ นำไปสู่ความสับสน ไม่รู้จะตัดสินใจยังไง
และความรู้สึกแบบนี้เองทำให้เราไม่ได้รับคำตอบของการอธิฐานโดยความเชื่อ (สงสัยคือขาดความเชื่อนั่นเอง)
พระคัมภีร์บอกว่าสั่งภูเขาให้ลอยไปในทะเลมันก็จะไป หรือ เมื่ออธิฐานจงเชื่อว่าจะได้รับ
มาระโก 11:23-24
“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดจะสั่งภูเขานี้ว่า จงลอยไปในทะเล และมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้นก็จะเป็นตามนั้นจริง เพราะฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าจะได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น”
พระเยซูไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เราอธิฐานขอแล้ว ให้เราต้องมานั่งสงสัย ว่าจะได้หรือไม่ พระองค์จะได้ยินเราหรือเปล่า
พระองค์ฟังเรามั๊ยแต่พระเจ้าตรัสว่า สิ่งใดท่านอธิฐานขอ
เมื่อเปโตร จะเดินบนน้ำไปหาพระองค์ เปโตรมีความเชื่อตอนนั้น
เมื่อเปโตรลงเดินไประหว่างนั้นเมื่อเข้าเห็น ลมพัดแรง
และเขาตกใจกำลังจมลง จึงร้องให้พระเยซูช่วยด้วย
พระเยซูยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้และบอกว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ
ในยากอบ 1:6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ตอนนี้เองเราจึงควรจดจ่อที่พระเจ้า ลมแรง คลื่นที่ถาโถม เปรียบกับปัญหาต่างๆ
ถ้าเราพึ่งกำลังเราเอาตัวไปเทียบกับปัญหา ปัญหาก็ใหญ่
แต่ในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ปัญหาก็เล็กนิดเดียว
ในมัทธิวเอง 17:14-20
ให้ท่านพิจารณาดู มีชายคนหนึ่งมาคุกเข่าขอให้พระเยซูให้รักษาบุตรที่เป็นลมบ้าหมู เพราะสาวกรักษาไม่ได้
พระองค์ให้พาเด็กนั้นมา สาวกถามว่า ทำไมพวกเขาขับผีนั้นออกไม่ได้ สิ่งที่พระเยซูตอบคือ "เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย"
คนชอบธรรมจะมีชีวิตด้วยความเชื่อ
ตัดสินใจเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าเองมีแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม คือ
ความคิดที่สงสัย และขาดความเชื่อ
พระเยซูชี้ให้สาวกเห็นว่า แม้จะเผชิญกับปัญหาสุดจะขยับเขยื้อน
ให้เราเบนสายตาจากปัญหามามองที่พระคริสต์ เพื่อให้มีความเชื่อมากขึ้น
2. ความสับสน
กันดารวิถี 13:30-31
คาเลบบอกว่า "เราควรขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่"
แต่มีเสียงคัดค้านว่า .. "เราสู้เขาไม่ได้หรอก เขาแข็งแกรงกว่าเรา"
ผมว่าสงสัยกับ สับสนนั้นเกี่ยวข้องกัน อาจจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกันก็ได้
สับสนนั้นอาจจะมีความหมายในการเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาโดยตลอด ตัดสินใจอะไรที่แน่นอนไม่ได้
คิดอย่างแต่ทำอีกอย่าง เคยหรือไม่ครับ ? ขาดความมั่นใจ
ยกเรื่องร้านอาหาร
บางครั้งเราสับสนและตามมาด้วยการหาเหตุผล ในความหมายของสับสนคือ ทำการใคร่ครวญหาเหตุผล
บางครั้งสิ่งนี้เราอาจจะพยายามตีความวิเคราะห์ พระวจนะสิ่งที่พระเจ้าพูดว่าสมเหตุสมผลมั๊ย
และถ้าไม่สมเหตุสมผลของเราล่ะครับ เราก็เกิดความไม่มั่นใจ
ซาตานต้องการแย่งชิงน้ำพระทัยของพระเจ้าไป นี่เป็นช่องทางโจมตีของซาตาน
ถ้าพระเจ้าให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง แต่มันดูไม่เข้าท่าล่ะครับ มันดูไม่เหมาะสมล่ะ
มันไม่น่าเป็นไปได้ มันไม่ควรทำ เราคิดแบบนี้มั๊ย...
ผมอยากหนุนใจว่าพระเจ้าจะนำเราไปในที่ที่เหมาะสมเสมอๆ มาตรฐานของโลกเอง ความคิดของโลกเอง
ความสมเหตุสมผลของโลกเอง ต่างกันกับพระทัยของพระเจ้า
อย่าให้เราเอาความสับสนสงสัย มาคิดแทนพระเจ้า ถ้าเราต้องเสียสละอะไรไป ต้องแลกกับสิ่งที่เรารัก
ต้องเสียเวลา แลกกับความสุขสบายที่เรามี เราจะวิเคราะห์อย่างไร
เราอาจมองว่า ชีวิตเก่าๆเดิมๆก็ดีอยู่แล้ว
1โครินธ์ 2:14
แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ
ความคิดของมนุษย์นั้น ชอบการดูสมเหตุสมผล มีที่มาและที่ไป มันจะให้ความรู้สึกที่ดี ถ้าเราเข้าใจอะไร คิดอะไรได้ แบบสมเหตุสมผล
3.ความเท็จ (นินทา ว่าร้าย ตัดสิน)
กันดารวิถี 13:32-33 , 14:4
แล้วพวกเขาก็กระจายข่าวในแง่ร้ายในอิสราเอล (ฉบับเดิม เขาได้กล่าวร้าย)
ว่าเป็นแผ่นดินที่กินคน (คนเรามักหวั่นไหว ในคำพูดแง่ลบ)
เราเป็นเหมือนตั๊กแตน
14:4 แล้วเขาก็พูดต่อๆกันไป ว่าจะเลือกผู้นำคนใหม่
การจะยุยงให้เกิดการกบฎนั้น มักจะมีข้อมูลที่เติมแต่งไม่จริงในแง่ลบ
การนินทาว่าร้าย กล่าวโทษ หรือการตัดสิน
กันดารวิถี 23:19
เพราะพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา
พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์ มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้ว
ไม่ทรงกระทำ หรือทรงสัญญาไว้แล้วไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น
อิสยาห์ 57:11 ,13 ตอนท้าย
เจ้าครั่นคร้ามและเกรงกลัวใคร เจ้าจึงได้มุสาอยู่นั่นเอง
แะไม่นึกถึงเรา และไม่เอาใจใส่เราสักนิด
เรามิได้ระงับปากอยู่เป็นเวลานานแล้วดอกหรือ (คิดว่าพระองค์เงียบอยู่นาน)
อย่างนั้นซีเจ้าจึงไม่ยำเกรงเรา
ท้าย 13 แต่ผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในเราจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และจะได้
ภูเขาบริสุทธิ์ ของเราเป็นมรดก
มัทธิว 5:18 NIV
เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป
แม้อักษรที่เล็กที่สุด ตัวหนึ่ง หรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหาย
จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน
1 ยอห์น 3:6 วิญญาณแห่งความเท็จ NIV
คนที่มาจากโลกจะพูดมุมมองของโลก และโลกก็ฟังเขา ส่วนเรามาจากพระเจ้า
ผู้ใดรู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าเป็น พระวิญญาณแห่งความจริง
หรือวิญญาณแห่งความเท็จ
เราต้องชนะเสียงเหล่านั้น เรามาจกพระเจ้าและต้องมั่นใจว่า
พระองค์ผู้ทรงอยู่ในเรา ยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก
มัทธิว 7:1-3
อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าพระไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
เราเองเคยกล่าวโทษกันหรือไม่ครับ ผู้ที่มีสิทธิ์ปรับโทษได้มีแต่พระเจ้าเท่านั้น
เราเคยกล่าวโทษใครหรือไม่ ? ถ้าแบบนั้นเราตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเองหรือไม่ ?
พระเจ้าเจิมตั้งโมเสส และก็มีเพียงพระเจ้าองค์เดียวที่จะปลดโมเสส
ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น
บ่าวคนนั้นจะดีหรือจะล่มจมก็สุดแต่นายของเขาและเขาก็จะได้ดีแน่นอน
เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้
เราเองเป็นคนของพระเจ้า ถึงแม้เราจะมีผิดพลาด จะมีจุดออ่น
พระเจ้าทำให้เราชอบธรรมได้ อย่าให้เราตัดสินซึ่งกันและกันเลย
แม้เราจะเคยนินทา หรือกล่าวโทษ สิ่งนี้ก็ไม่สามารถทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนได้
โรม 2:1
เหตุฉะนั้นมนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา
บางครั้งเราเห็นด้วยเมื่อฟังคำกล่าวโทษ และนินทา
แต่จะตกใจมั๊ยถ้า ถ้าเค้าหันมาแล้วบอกว่าท่านก็พอกัน
เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าบางอย่างไม่ชอบธรรมหรือไม่ถูกต้อง
และเราต้องพูดนั้น ควรมีความระมัดระวัง
ถ้าเราต้องพูด เราต้องทำด้วยท่าทีที่ถ่อมใจและด้วยความรัก
ผมเคยนั่งคิดเล่นๆว่า เวลาเรานินทาใครนั้น เอ...เขาก็ไม่ได้ยินนี่นา และใครล่ะที่ได้ยิน
เราเองทั้งนั้น ตั้งแต่โดนยัดเยียดความคิด รับมันไว้ เอามาประมวลผล
และเค้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรานินทา
ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองเลย
เวลานินทาคนที่ได้ยินก็คือเราเอง
เราต้องร่วมมือกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พระองค์ทำการในเรา
ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก
ให้ความรักนั้นเป็นเกราะป้องกันเราจากการโจมตี
และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ
4.ความกระวนกระวาย กังวล
กันดารวิถี 14:1-2
เขาร้องไห้กันระงมทั่วอิสราเอล และบ่นกับโมเสสและอาโรน
"เราน่าจะตายในอียิปต์ หรือตายในถิ่นทุรกันดารนี้"
พวกเขากำลังกระวนกระวาย
พระคัมภีร์ที่พูดถึงความกระวนกระวาย เช่นใน
มัทธิว 6:25
เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม…….
ความวิตกกังวล นอกจากจะทำลายสุขภาพแล้วยังริดรอนความเชื่อของเราด้วย
1 เปโตร 5:7
จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย
กระวนกระวายคือรู้สึกอึดอัด และทุกข์ใจ เราเองไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดเลยในชีวิต จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้เรา
เชื่อว่าพระเจ้าจัดเตรียมคุณภาพชีวิตของเราให้ยิ่งใหญ่พอ
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะกระวนกระวาย ไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย เหมือนเดิม หรือแย่ลง
บางครั้งเราก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้
ละความกระวนกระวาบ "ละ"คือโยนทิ้งไป
พระเจ้าเองรู้ถึงปัญหาของเราและพระองค์ก็รู้ถึงวิธีที่จะจัดการกับมันได้
ถ้าเรากระวนกระวายก็เท่ากับว่า เราพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวของเราเอง
เราจะต่อสู้กับความกระวนกระวายได้อย่างไร
เราอาจจะกระวนกระวายเรื่องสุขภาพ เรื่องเงินทอง บ้าน รถ
ให้เราเปลี่ยนเป็นคำอธิฐาน
หยุดที่จะแช่อยู่อย่างนั้นและอธิฐาน
หยุดที่จะร้องไห้และบ่น
ถ้าเราเองยังพึ่งพาตัวเอง เราก็ยังไม่ได้วางใจในพระเจ้าอย่างเต็ม 100%
พระองค์คอยเราอยู่ที่จะช่วยแบกภาระ
อย่าให้เรายอมจำนนต่อสถานการณ์ปัญหา
แต่ให้ยอมจำนนต่อพระเจ้า
สติปัญญาของโลกนี้ต่างกับพระปัญญาของพระเจ้ามากนัก
พระเยซูบอกเราว่า เรามอบสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ ยอห์น 14:27
เราจะพบเจอสันติสุขที่พระเยซูบอกเราตอนไหน ตอนเจอพายุร้าย พระเยซูไม่ได้มาเพื่อจะทำให้ความลำบากหมดไปจากเรา
แต่เราจะมีวิธีการใหม่ๆเพื่อให้เรารับมือกับพายุที่ถาโถมมาได้
จงแบกแอกแล้วเรียนจากพระเยซูคริสต์
จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
มัทธิว 11:29
พระเยซูไม่เคยกังวล เราเองก็ไม่ต้องกังวล หรือกระวนกระวายใจ
เมื่อเราเจอกับสถานการณ์ หรือมีความกระวนกระวายใจ เราจะพบวิธีการใหม่ๆที่จะรับมือได้โดยพระเยซูคริสต์
ทั้งหมดนี้ให้เราเรียกหา เชิญพระองค์มาเพื่อช่วยเรา
ยอห์น 14:26
แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าจะทรงส่งมาในพระนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่ท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน
5.ความเพิกเฉย เฉยเมย
กันดารวิถี 14:3
ทำไมพระเจ้าพาเรามาตาย ยังดินแดนนี้ด้วยคมดาบ
ลูกเมียเราต้องตกเป็นเชลย เราออกจากที่นี่กลับไป
อียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ ?
เขาไม่ต้องการทำอะไรแล้ว และอยากไปอยู่แบบเดิมๆ
ความหมายของเฉยเมย เพิกเฉย หมายถึง ความรู้สึกที่ขาดใจปรารถนา มีความเฉื่อยชา อุ่นๆ และเกียจคร้าน
บางครั้งเราอาจจะพยายามอ่านพระวจนะ ฟังคำสอน คำเทศนาต่างๆ แต่ไม่ทำะไรเลย
หัวใจแบบนี้เมื่อมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเข้ามา บางครั้งก็จะไม่ต่อสู้เลย เราต้องป้อนความคิดที่ถูกจนเต็มเสมอ
เพื่อจะแย้งกันได้ ขอให้พระวิญญาณ เตือนเรา
บางครั้งผมเองมีความคิดเช่นว่า เมื่อมีความคิดผิดๆเข้ามา ก็แช่มันไว้ซะเฉยๆ เพราะเราคิดว่า
เราไม่ได้ทำก็ไม่เห็นจะต้องจัดการก็ได้
บาป 2 ชนิด
1.บาปที่เราลงมือกระทำ
2.บาปเพิกเฉยนี่แหละครับ
บาปเฉยเมยคือ ไม่ยอมคิด หรือทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ขอโทษ ไม่สารภาพ เฉยๆซะแบบนั้น
มีความคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
เพราะคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร
- ไม่รู้ตัวว่าผิด
- ไม่ยอมรับว่าผิด
เราสามารถเอาชนะความเฉยเมยนี้ได้ โดยเอาชนะที่ความคิดก่อน
เรามีตะลันต์เรื่องไหนแต่เราไม่ทำ ความสามารถเราก็ไม่เติบโต
ยิ่งไม่อยากทำอะไร ก็จะมีความรู้สึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เราอาจจะดูในพระคัมภีร์เรื่องของตะลันต์ คนที่ได้ตะลันต์เดียวเรียนนายว่า ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน มัทธิว 25:14-30
คนที่ได้เงินตะลันต์เดียว ขุดหลุมซ่อนเงินของตนเองไว้
นายกลับมาก็ชี้แจงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน
เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่าน
ไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิดนี่เงินของท่าน
ผมขอนุญาติยกตัวอย่างเรื่องการออกกำลังกายนะครับ คนที่ไม่เคยวิ่งเลยนานๆ เมื่อวิ่งครั้งแรกจะรู้สึกทรมานมาก แต่ถ้าผมอยู่เฉยๆก็ไม่รู้สึกทรมานใช่ไหมครับ
แต่สุขภาพจะไม่สมบูรณ์เท่าออกกำลังกาย ตัวอย่างสั้นๆ ก็คือ ถ้าเรายังเฉยเมยก็ยิ่งแย่ลง
(ผมวิ่งไม่ได้หรอกมันไกลเกินไป)
โรม 12:2
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม
คริสเตียน และผู้เชื่อทุกคน แม้กระทั้งผู้ที่ไม่เชื่อ ต่างก็มีความต้องการปรารถนาชีวิตที่ดี
แต่ถ้าเราเอาแต่เฉยเมย แต่ก็อยากให้มีอะไรดีๆเกิดขึ้น....????
สิ่งที่เราจะได้รับในอาณาจักรของพระเจ้า ในอนาคต ขึ้นอยู่กับ
สิ่งที่เราครอบครองในปัจจุบัน
คุณไม่ใช่ผู้เล็กน้อย
บางอย่างอาจจะยาก แต่เราค่อยๆคืบคลานและยึดคืนมาได้
การเอาชนะความเฉยเมย
- ตระหนักยอมรับว่าระบบของโลกปัจจุบันนั้นชั่วร้าย
- ยืนหยัดต่อสู้กับวิญญาณของโลกนี้
- เกลี่ยดชังสิ่งที่ชั่ว รักสิ่งที่ชอบธรรม
- เปลี่ยนแปลงความคิดให้สอดคล้องกับพระเจ้า …อ่านพระวจนะ
ช่วงท้าย
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเผชิญกับกำแพงที่ใหญ่ ศัตรูที่เข้มแข็ง ยักษ์ต่างๆมากมายที่ทำให้เรา
หันออกจากพระประสงค์ของพระเจ้า และน้ำพระทัยของพระองค์
ผมหนุนใจว่าเราจะไม่ฟังเสียงเหล่านั้นอีกต่อไปที่ทำให้เราเดินเพี๊ยนออกจากทางของพระเจ้า
อิสยาห์ 45:2-3
พระเจ้าได้ตรัสว่า
พระองค์จะนำหน้าเราไป ปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ
เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก
พระองค์จะยกทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด
(ให้เราเรียกเอา ไม่ใช่เงินเพียงเท่านั้น นั่นไม่สิ่งที่เราจะจดจ่อแต่เราจดจ่อที่พระสัญญาของพระเจ้าที่เราจะไปให้ถึง เราเรียกเอาสุขภาพที่ดี ชีวิตที่ดี สันติสุขต่างๆมา)
ขุมทรัพย์ที่เร้นลับให้แก่เจ้า
พระคัมภีร์ใคร่ครวญ
จงชำระตัวให้สะอาดเถิดเอาการกระทำชั่วๆของเจ้า
ออกไปให้พ้นตาเรา เลิกทำผิดเสียเถิด
อิสยาห์ 1:16
หากเจ้าเต็มใจเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีที่สุดจากผืนแผ่นดิน
แต่หากเจ้ายังคงดื้อดึงหรอกบฏ เจ้าจะเป็นเหยื่อคมดาบ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้ดังนั้น
อิสยาห์ 1:19-20
ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น