วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

วาจาถวายเกียรติ



วาจาถวายเกียรติ


ผมเคยได้ยินและพบเห็นคริสเตียนหลายคน ซึ่งคิดว่าการพูดลับหลังบางครั้งก็ไม่ใช่


เรื่องที่ผิด หรือบางคนโกหกเมื่อจำเป็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด และสามารถยอมรับได้ในบาง


สถานการณ์ เพราะเค้าให้เหตุผลว่า บางครั้งก็อาจจะเป็นการระบายความในใจและ


ความอัดอั้นตันใจก็ได้


คริสเตียนหลายคนก็พูดจาไม่เหมาะสม และให้สมกับเป็นคริสเตียน เช่น กู มึง แม่ง


อะไรวะ และอีกมากมาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเขียน


แม่ง เป็นคำย่อมาจากคำว่า แม่มึง หรือแม่มึงอ่ะ เป็นคำใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สมัย


ผมยังเรียนตอนประถม คำนี้ฮิตมากๆ แม่ ไม่ใช่คำหยาบ ส่วนมึง บางคนก็ว่าไม่หยาบ


แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อผมใช้คำๆนี้ออกมา เพื่อด่าเพื่อนๆ เพราะผมรู้สึกพ่ายแพ้ต่อคนๆนั้น
และเอาสิ่งที่เค้ารักมากๆ มาดุถูกเพื่อให้เค้ารู้สึกเจ็บ จริงๆแล้วรากของคำนี้ก็ไม่ได้มีที่มา


ที่ดีเลย หรือมาทดแทนคำว่า มันอยู่ไหน กลายเป็น แม่งอยู่ไหน อยากให้เราระมัดระวังที่


จะเข้าสู่อาณาจักรของซาตานโดยไม่รู้ตัว
กู ใช้แทนชือคนที่พูด ในพจนานุกรม ปัจจุบันถือว่าไม่สุภาพ
มึง มักใช้ในเพื่อสนิท หรือผู้ใหญ่พูดเด็กรุ่นหลัง ในพจนานุกรม เป็นคำไม่สุภาพเช่นกัน
ผมเองไม่ได้ยึดพจนานุกรมเป็นมาตฐาน แต่ในเมื่อมีคนที่อาจจะเจ็บกับคำพูดเหล่านี้ เรา


ควรหรือที่จะพูดออกมา เราควรย้อนดูว่าเราเห็นแก่ตัวหรือไม่ ?


คำพูดเหล่านี้แน่นอนในอดีตสมัยยังขี่เกวียนอยู่ก็ไม่ใช่คำหยาบคายแต่ประการใด และ


คนที่ใช้คำเหล่านี้ก็จะมีเหตุผลเป็นของตัวเองว่า นี่ไม่ใช่คำหยาบคายแต่ประการใด ไม่


เห็นจะเสียหายตรงไหน ? หรือเพื่อที่จะเข้ากับโลกหรือเข้าถึงกลุ่มคนบางกลุ่มได้บาง
ครั้งก็ต้องใช้คำเหล่านี้ จิตใจภายในสำคัญกว่าคำพูด ทำไมต้องมองที่ภายนอกเท่านั้น
ท่านล่ะครับคิดว่าสมเหตุ สมผลหรือไม่ ? โดยเฉพาะภายในคริสตจักร


บางคนอาจจะยึดติดกับความเป็นตัวเองมาก ว่า "ผมเป็นผม ฉันเป็นฉัน" ดูเหมือนจะมั่น


อกมั่นใจแต่จริงแล้วเป็นเพียงข้ออ้างที่จะไม่ยอมปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง ซึ่งมัก


จะเข้าใจว่าการยอมปรับปรุงข้อบกพร่องนั้นเป็นเรื่องเสียงเชิง หมดฟอร์ม แต่ในทาง
กลับกัน สิ่งนี้กลับเป็นชัยชนะ แะความกล้าหาญ คนที่กล้าหาญเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ


อย่าให้เราอ้างว่า "ผมเป็นของผมแบบนี้" ถ้าใครรับไม่ได้ก็แล้วไป (ไม่แคร์)
นี่เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่เปิดใจให้กว้างและออกจะดูใจแคบ ทั้งกับตนเอง และผู้อื่นด้วย


นอกจากนี้คำพูดที่เมื่อพูดออกไปแล้วทำให้ผู้อื่นรู้สึกเจ็บ และสร้างบาดแผลให้เค้าโดย


ไม่รู้ตัวนั่นก็คือ คำพูดที่เชือดเฉือน คำพูดที่ประชด คำพูดที่ส่อเสียด และคำพูดที่ล้อเลียน


ผมขอยกตัวอย่างในสมัยเรียนอีกเช่นกัน มีเพื่อนคนหนึ่งมีตาที่ไม่สมประกอบ เราเรียก


เค้าว่า "ไอ้เหล่" อีกคนขาไม่สมประกอบ เราเรียกเค้าว่า "ไอ้เป๋"
คำพูดเหล่านี้แน่นอนเค้าอาจปิดบังไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่แน่นอน เค้าย่อมรู้สึก


ไม่ดีแน่นอน ผมขอยกตัวอย่างแค่นี้นะครับ


โรม 14:21-22
"เป็นการดีกว่าที่จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือทำสิ่งใด ซึ่งเป็นเหตุ


ให้พี่น้องล้มลง (ฉบับเดิมใช้คำว่าสะดุด) ดังนั้นสิ่งใดๆก็ตามที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง


เหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่อง ระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษ


ตนเองในสิ่งที่เขาเห็นชอบ"
บางสิ่งบางอย่างแม้ว่าเราจะเชื่อว่าไม่ผิด แต่สิ่งเหล่านั้นต้องเป็นสาเหตุให้พี่น้องต้อง


สะดุดหรือรับไม่ได้ และต้องล้มลง เราก็ควรหลีกเลี่ยง
ผมไม่ได้หมายความว่าต้องหลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่าง เราเองเลือกได้ที่จะพูดหรือไม่พูด


เพื่อเห็นแก่พี่น้อง


โรม 12:2
"อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง จิตใจของท่านใหม่


แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่า สิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือ


พระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์"


1 โครินธ์ 10:23-31
"เราได้รับอนุญาติให้ทำทุกสิ่งได้แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับการอนุ


ญาติให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น" (23)


"ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น" (24)


"เหมือที่ข้าพเจ้าเองพยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้าน เพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาผล


ประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาผลประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขารอด" (23)


มาตรฐานทางด้านภาษาและคำพูดของสังคมนี้ได้เสื่อม และถอยหลังลงทุกวัน
เราเองที่เป็นผู้เชื่อไม่จำเป็นต้องถอยหลังและเดินตามโลกนี้ไปด้วย อย่าให้เราประพฤษติ


ตามอย่างโลก แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง เราเองควรมีความระมัดระวังในเรื่องของการ


ดำเนินชีวิต และคำพูด เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า


เอเฟซัส 15:5 ได้เตือนเราให้ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยคำ


หลอกลวงและหลุมพลาง
(19) "จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และบทเพลงฝ่ายวิญญาณ จงร้อง


แะบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า"


พระประสงค์ของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงพอพระทัย เมื่อเราใช่ลิ้นของเราด้วยความเข้าใจ
สุภาษิต 10:19 (ฉบับเดิมสมาคม)
"การพูดมากก็จะสะสมการทรยศ แต่เขาผู้ยับยั้งริมฝีปากของตนเป็นผู้หยี่งรู้"


เมื่อเราจะพูดอะไรออกมานั้นควรจะกรั่นกรองก่อนที่จะพูดเพราะว่าถ้าเรารักษาและให้


ความสำคัญของปากและลิ้นของเรา พระคัมภีร์บอกว่า "ผู้ที่รักษาปากและลิ้นของตนก็


รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก"
เราควรเลือกที่จะพูดคำพูดที่สุภาพและอ่อนหวาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเราที่จะ


เตือนเราและสอนเราว่าควรจะพูดแบบใด และสิ่งไหนไม่ควรพูด
มนุษย์เรานอกจากต้องการอาหารฝ่ายการแล้ว อาหารหูและจิตใจนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วย


เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างไม่ใช่เพื่อการทำลาย
สุภาษิต 15:1
"คำตอบอ่อนหวานช่วยระงับความโกรธ แต่ถ้อยคำเผ็ดร้อน (กักขฬะ) ยั่วโทสะ"


สุดท้ายนี้ผมหนุนใจท่านขออภัยที่ท่านอาจจะไม่เห็นด้วย กับบทความนี้ แต่ถึงยังไงเรา


สามารถระงับได้ และอดได้ที่จะไม่พูดคำที่ไม่สมควร ให้เราถ่อมใจแบบพระเยซูคริสต์


คือยอมทุกอย่าง ลดตัวลง เพื่อส่วนรวม นั่นคือพระกายเดียวกัน ไม่ใช้แค่เพียงคำพูดที่ไม่


สมควรเท่านั่น แต่ การแสดงออกที่ไม่สมควรด้วย


ขอบคุณพระเจ้า

ktm.worship 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น