วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2553

ฝ่าวิกฤติความคิด เข้าสู่ชีวิตที่มีชัยชนะ







ฝ่าวิกฤติความคิด เข้าสู่ชีวิตที่มีชัยชนะ


วันนี้ได้หยิบบทความที่เคย ศึกษามาอีกรอบ แล้วมาพิมพ์ ทำให้ได้เห็น และพระเจ้าก็บอกอะไรเพิ่มเติมอีกมากมาย
ขอบคุณพระเจ้าจริงๆนะครับ แม้จะไม่มีคนเข้ามอ่าน แต่ก็ ได้เป็นการเอามาทบทวนและใครครวญอีกรอบ


วิกฤติความคิดของเรานั้นวันนี้เราจะมาดูกันว่า มีอะไรบ้างที่เป็นตัวขวางกั้นเราอยู่
บางส่วนผมก็ได้หยิบยกมาจากบทความของ อ.จอย ไมเออร์ นะครับ


1.ขี้สงสัย ขาดความเชื่อ
เราเองเคยมีใจสงสัยหรือเปล่า บางครั้งเราอาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ปกติไม่เห็นจะมีอะไร แล้วถ้ามันไม่มีอะไร จนกลายเป็นความเคยชิน
เมื่อไม่นานมานี้ประมาณ มกราคม กุมภาพันธ์ 53 ได้มีกางวางระเบิดใน กทม ซึ่งเป็นเรื่องน่าตกใจมากมาย
ไม่เคยพบไม่เคยเห็นอะไรกันนี่ นี่มันในเมืองนะ วางได้ทุกวี่ทุกวัน แม้จะเป็นการสร้างสถานการณ์ก็ตาม
แต่มาถึงวันนี้ ข่าวการวางระเบิดกลายเป็นเรื่องที่ชินชา บางคนไม่สนใจฟังด้วยซ้ำ ผมยกตัวอย่างมานี่ก็ให้เราเห็นถึงความชินชา
และถ้าเราสงสัยจนเคยชินล่ะครับ จะมีผลกระทบต่อ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามั๊ย


ความสงสัย สงสัยจังทำไมๆๆ ทำไมต้องแบบนั้น ทำไมต้องแบบนี้ (ผมมิได้มีเจตนาว่าการ สงสัยผิดนะครับ)
คำจำกัดความของสงสัยคือ รู้สึกประหลาดใจ กริยาหมายถึง อการที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ หรือยืนอยู่ที่สองข้าง ว่าจะเลือกข้างไหนดี


ให้เราเองที่จะฝึกมอบเรื่องราวไว้กับพระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าจะกระทำทุกสิ่งให้เกิดผลดี
ความสงสัยนี่เองทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ตัดสินใจไม่ได้ นำไปสู่ความสับสน ไม่รู้จะตัดสินใจยังไง


และความรู้สึกแบบนี้เองทำให้เราไม่ได้รับคำตอบของการอธิฐานโดยความเชื่อ (สงสัยคือขาดความเชื่อนั่นเอง)


พระคัมภีร์บอกว่าสังภูเขาให้ลอยไปในทะเลมันก็จะไป หรือ เมื่ออธิฐานจงเชื่อว่าจะได้รับ มาระโก  11:23-24
พระเยซูไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เราอธิฐานขอแล้ว ให้เราต้องมานั่งสงสัย ว่าจะได้หรือไม่ พระองค์จะได้ยินเราหรือเปล่า
พระองค์ฟังเรามั๊ยแต่พระเจ้าตรัสว่า สิ่งใดท่านอธิฐานขอ จงเชื่อว่าจะได้รับ เราเองจะได้รับในฐานะที่เราเป็นคริสเตียนผู้เชื่อ
ไม่ใช่มีแต่ความสงสัย
ความสงสัยแน่นอนสิ่งนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าแน่ๆ พระเจ้าก็ไม่ได้ประทานให้เรา และไม่ประสงค์ให้เรามีด้วย
ผมอยากหนุนใจว่า ความสงสัยมักจะตรงข้ามกับพระวจนะ เราต้องเข้าใจและสะสมพระวจนะ เพื่อจะได้แยกแยะออก
อย่าสงสัยเลยครับ พระเยซูได้ทำการซื้อเราไว้แล้ว โดยการสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นจากความตาย


เมื่อได้อ่านในพระคัมภีร์ และเห็นว่าตอนหนึ่งเมื่อเปโตรจะเดินบนน้ำไปหาพระองค์ เปโตรมีความเชื่อตอนนั้น
เมื่อเปโตรลงเดินไประหว่างนั้นเมื่อเข้าเห็น ลมพัดแรง และเขาตกใจกำลังจมลง จึงร้องให้พระเยซูช่วยด้วย
พระเยซูยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้และบอกว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ


ในยากอบ 1:7 ตอนหนึ่ง
แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา
ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย


ตอนนี้เองเราจึงควรจดจ่อที่พระเจ้า ลมแรง คลื่นที่ถาโถม เปรียบกับปัญหาต่างๆ
ในมัทธิวเอง 17:24-32
ให้ท่านพิจารณาดู มีชายคนหนึ่งมาคุกเข่าขอให้พระเยซูให้รักษาบุตรที่เป็นลมบ้าหมู เพราะสาวกรักษาไม่ได้
พระองค์ให้พาเด็กนั้นมา สาวกถามว่า ทำไมพวกเขาขับผีนั้นออกไม่ได้ สิ่งที่พระเยซูตอบคือ "เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย"
คนชอบธรรมจะมีชีวิตด้วยความเชื่อ
ตัดสินใจเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าเองมีแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม คือ
ความคิดที่สงสัย และขาดความเชื่อ


2.ใจที่สับสน
ผมว่าสงสัยกับ สับสนนั้นเกี่ยวข้องกัน อาจจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกันก็ได้
สับสนนั้นอาจจะมีความหมายในการเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาโดยตลอด ตัดสินใจอะไรที่แน่นอนไม่ได้
คิดอย่างแต่ทำอีกอย่าง เคยหรือไม่ครับ ? ขาดความมั่นใจ


เมื่อผมเรียนที่มหาวิทยาลัย มีเรื่องสงสัย สับสนเล็กๆมาเล่าสู่กันฟังว่า ผมเดินไปที่ร้านอาหาร และคิดอยู่นานว่าจะทานอะไรดี
มันดูเหมือนยากมากๆ จะทานกระเพราะหมู ก็เบื่อ จะทานข้าวมันไก่ก็กลัวอ้วน เอ้าที่นี้ยังไงดี ???
เอาล่ะ ทานราดหน้าดีกว่า ระหว่างเดินไป เห็นอย่างอื่นก็ งงอีก


บางครั้งเราสับสนและตามมาด้วยการหาเหตุผล ในความหมายของสับสนคือ ทำการใคร่ครวญหาเหตุผล
บางครั้งสิ่งนี้เราอาจจะพยายามตีความวิเคราะห์ พระวจนะสิ่งที่พระเจ้าพูดว่าสมเหตุสมผลมั๊ย
และถ้าไม่สมเหตุสมผลของเราล่ะครับ เราจะเพิกเฉยมั๊ย


ซาตานต้องการแย่งชิงน้ำพระทัยของพระเจ้าไป นี่เป็นช่องทางโจมตีของซาตาน
ถ้าพระเจ้าให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง แต่มันดูไม่เข้าท่าล่ะครับ มันดูไม่เหมาะสมล่ะ
มันไม่น่าเป็นไปได้ มันไม่ควรทำ เราคิดแบบนี้มั๊ย...


ผมอยากหนุนใจว่าพระเจ้าจะนำเราไปในที่ที่เหมาะสมเสมอๆ มาตรฐานของโลกเอง ความคิดของโลกเอง
ความสมเหตุสมผลของโลกเอง ต่างกันกับพระทัยของพระเจ้า


อย่าให้เราเอาความสับสนสงสัย มาคิดแทนพระเจ้า ถ้าเราต้องเสียสละอะไรไป ต้องแลกกับสิ่งที่เรารัก
ต้องเสียเวลา แลกกับความสุขสบายที่เรามี เราจะวิเคราะห์อย่างไร
1โครินธ์ 2:14-16 ในตอนหนึ่งพูดว่า แต่มนุษย์ฝ่ายวิญญาณวิจัยสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะวิจัยคนนั้นได้
เพราะว่าใครเล่าจะรู้พระทัยของพระเจ้าเพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้ แต่เราก็มีพระทัยพระคริสต์
NIV บอกว่า ผู้ปราศจากวิญญาณไม่อาจรับสิ่งที่มาจากพระวิญญาณ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องโง่เขลา และเข้าไม่
เข้าใจสิ่งเหล่านั้น (ลองอ่านดูนะครับ)


ความคิดของมนุษย์นั้น ชอบการดูสมเหตุสมผล มีที่มาและที่ไป มันจะให้ความรู้สึกที่ดี ถ้าเราเข้าใจอะไร คิดอะไรได้
แบบสมเหตุสมผล


3.นินทา ว่าร้าย
การนินทาว่าร้าย กล่าวโทษ หรือการตัดสิน
อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน มัทธิว 7:1
เราเองเคยกล่าวโทษกันหรือไม่ครับ ผู้ที่มีสิทธิ์ปรับโทษได้มีแต่พระเจ้าเท่านั้น เราเคยกล่าวโทษใครหรือไม่ ?
ถ้าแบบนั้นเราตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเองหรือไม่ ?


ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น บ่าวคนนั้นจะดีหรือจะล่มจมก็สุดแต่นายของเขาและเขาก็จะได้ดีแน่นอน
เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้


เราเองเป็นคนของพระเจ้า ถึงแม้เราจะมีผิดพลาด จะมีจุดออ่น พระเจ้าทำให้เราชอบธรรมได้
อย่าให้เราตัดสินซึ่งกันและกันเลย
แม้เราจะเคยนินทา หรือกล่าวโทษ สิ่งนี้ก็ไม่สามารถทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนได้
และเค้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรานินทา ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองเลย
เราต้องร่วมมือกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พระองค์ทำการในเรา


และเราจะเปลี่ยนได้ยังไงล่ะ หัวใจหรือพระทัยของพระเจ้าเป็นแบบไหน
ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก ให้ความรักนั้นเป็นเกราะป้องกันเราจากการโจมตี


4.เพิกเฉย เฉยเมย
ในบริบทตอนนี้ พระวจนะของพระเจ้าเองได้เตือนให้เราตื่นตัว เฝ้าระวังอยู่เสมอๆ
1 เปโตร 5:8
ท่านทั้งหลายจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกิน


ความหมายของเฉยเมย เพิกเฉย หมายถึง ความรู้สึกที่ขาดใจปรารถนา มีความเฉื่อยชา อุ่นๆ และเกียจคร้าน
บางครั้งเราอาจจะพยายามอ่านพระวจนะ ฟังคำสอน คำเทศนาต่างๆ แต่ไม่ทำะไรเลย


หัวใจแบบนี้เมื่อมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเข้ามา บางครั้งก็จะไม่ต่อสู้เลย เราต้องป้อนความคิดที่ถูกจนเต็มเสมอ
เพื่อจะแย้งกันได้ ขอให้พระวิญญาณ เตือนเรา
บางครั้งผมเองมีความคิดเช่นว่า เมื่อมีความคิดผิดๆเข้ามา ก็แช่มันไว้ซะเฉยๆ เพราะเราคิดว่า
เราไม่ได้ทำก็ไม่เห็นจะต้องจัดการก็ได้


บาป 2 ชนิด
1.บาปที่เราลงมือกระทำ
2.ก็คือบาปเฉยเมยนี่แหละครับ


ขอเน้นอีกครั้งนะครับว่า บาปเฉยเมยคือ ไม่ยอมคิด หรือทำในสิ่งที่ถูกต้อง
เราอาจจะทำลายความสัมพันธ์อันดีโดยพูดแบบไม่ใช้ความคิด
ไม่ขอโทษ ไม่สารภาพ เฉยๆซะแบบนั้น
มีความคิดว่าตัวเองไม่ได้ททำอะไรผิด
เพราะคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร
**เราอาจจะวิเคราะห์ถูก แต่สิ่งที่ทำนั้นผิด**


เราสามารถเอาชนะความเฉยเมยนี้ได้ โดยเอาชนะที่ความคิดก่อน
เรามีตะลันต์เรื่องไหนแต่เราไม่ทำ ความสามารถเราก็ไม่เติบโต
ยิ่งไม่อยากทำอะไร ก็จะมีความรู้สึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เราอาจจะดูในพระคัมภีร์เรื่องของตะลันต์ คนที่ได้ตะลันต์เดียวเรียนนายว่า ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน
มัทธิว 25:14-30
ผมขอนุญาติยกตัวอย่างเรื่องการออกกำลังกายนะครับ คนที่ไม่เคยวิ่งเลยนานๆ เมื่อวิ่งครั้งแรกจะรู้สึกทรมานมาก
แต่ถ้าผมอยู่เฉยๆก็ไม่รู้สึกทรมานใช่ไหมครับ


แต่สุขภาพจะไม่สมบูรณืเท่าออกกำลังกาย ตัวอย่างสั้นๆ ก็คือ ถ้าเรายังเฉยเมยก็ยิ่งแย่ลง


โรม 12:2
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม


คริสเตียน และผู้เชื่อทุกคน แม้กระทั้งผู้ที่ไม่เชื่อ ต่างก็มีความต้องการปรารถนาชีวิตที่ดี
แต่ถ้าเราเอาแต่เฉยเมย แต่ก็อยากให้มีอะไรดีๆเกิดขึ้น....????


ผมเคยเฉยเมยเรื่องการอ่านพระวจนะ เพราะง่วงนอน เหนื่อย แต่เมยเราสลัดเนื้อหนังความขี้เกียจออก
ลุกมาอ่านตี 5 แรกๆ ทรมานนะครับ เพราะนอนดึกด้วย แรกๆ บางทีอ่านไปก็หลับ
แต่ผมหนุนใจว่าเราได้คืบคลานเข้าไปและยึดมันมาคืนทีละนิดๆแล้ว


พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเรา ขอบคุณพระเจ้าครับ








โรม 2:1


ผมเคยนั่งคิดเล่นๆว่า เวลาเรานินทาใครนั้น เอ...เขาก็ไม่ได้ยินนี่นา และใครล่ะที่ได้ยิน
เราเองทั้งนั้น ตั้งแต่โดนยัดเยียดความคิด รับมันไว้ เอามาประมวลผล
ใช้เหตุผลของโลก ใส่ความโกรธ ความอิจฉาหน่อยๆ และเปล่งเป็นเสียงออกมา
คนที่ได้ยินก็คือเราเอง น๊านนน..


ให้เราดำเนินชีวิตนี้โดยมีความคิดอย่างหัวใจของพระเยซู
แล้วเราเองจะได้ก้าวเข้าสู่มิติ แห่งการดำเนินชีวิตที่ใหม่ไปหมดทุกด้าน


5.ใจกระวนกระวาย ความกระวนกระวาย
พระคัมภีร์ที่พูดถึงความกระวนกระวาย เช่นใน
มัทธิว 6:25 ฟิลิปปี 4:6  1 เปโตร 5:7
จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย


กระวนกระวายคือรู้สึกอึดอัด และทุกข์ใจ เราเองไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดเลยในชีวิต จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้เรา
เชื่อว่าพระเจ้าจัดเตรียมคุณภาพชีวิตของเราให้ยิ่งใหญ่พอ
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะกระวนกระวาย ไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย เหมือนเดิม หรือแย่ลง


บางครั้งเราก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้
ละความกระวนกระวาบ "ละ"คือโยนทิ้งไป พระเจ้าเองรู้ถึงปัญหาของเราและพระองค์ก็รู้ถึงวิธีที่จะจัดการกับมันได้
ถ้าเรากระวนกระวายก็เท่ากับว่า เราพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวของเราเอง
เราเย่อหยิ่งหรือไม่ หลายคนยากที่จะยอมรับตรงนี้
อย่าเชื่อในโลกนี้ เพราะสติปัญญาของโลกนี้ต่ากับพระปัญญาของพระเจ้ามากนัก
พระเยซูบอกเราว่า เราได้มอบสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้
ยอห์น 14:27


เราจะพบเจอสันติสุขที่พระเยซูบอกเราตอนไหน ตอนเจอพายุร้าย พระเยซูไม่ได้มาเพื่อจะทำให้ความลำบากหมดไปจากเรา
แต่เราจะมีวิธีการใหม่ๆเพื่อให้เรารับมือกับพายุที่ถาโถมาได้
จงแบกแอกแล้วเรียนจากพระเยซูคริสต์
มัทธิว 11:29


พระเยซูไม่เคยกังวล เราเองก็ไม่ต้องกังวล หรือกระวนกระวายใจ
เมื่อเราเจอกับสถานการณ์ หรือมีความกระวนกระวายใจ เราจะพบวิธีการใหม่ๆที่จะรับมือได้โดยพระเยซูคริสต์


ktm.worship 

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบพระคุณพระเจ้า เป็นข้อความที่หนุนใจมากๆ ผมอยากอ่านทุกวันเลย จะเข้ายังไงถึงจะได้รับข้อมูลตลอด

    ตอบลบ
  2. ผมก็พึ่งฝึกหัดทำครับ ขอบคุณพระเจ้าที่ประสบการณ์ชีวิตนี้ ได้เป็นประโยชน์กับคุณบ้าง แค่นี้ก็ขอบคุณพระเจ้ามากครับ ยังไงจะหาวิธีแจ้งให้นะครับ ตอนนี้ ต้องออกไปลุยงาน "หายโรคด้วยความเชื่อก่อน"

    ตอบลบ