วันอังคารที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ผลของพระวิญญาณ

ผลของพระวิญญาณ


ชีวิตคริสเตียนที่จะเติบโตฝ่ายวิญญาณได้นั้น ไม่ได้หมายความว่าคุณจะ
ท่องพระคัมภีร์ได้หมดทั้งเล่ม คุณจะจบโรงเรียนพระคัมภีร์ หรือปริญญา
เอกด้านศาสนศาสตร์จากโรงเรียนพระคัมภีร์ จากต่างประเทศ คุณจะเป็น
ศิษยาภิบาล หรือผู้นำในคริสตจักร หรือหลายคนเรียนคุณว่าอาจารย์ แต่
ถ้าชีวิตคุณปราศจากผลของพระวิญญาณ คุณเองก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กทา
รกแรกเกิดที่เอาแต่ งอแง และตามใจเนื้อหนังของตัวเอง

ผมเองเคยได้ยินการสนทนาโต้จอบของคริสเตียนมากมาย ที่แม้จะแฝงท่าที
ของการล้อเล่น แต่ก็ดูเหมือนจะมีอารมณ์ปนออกมาด้วย จากหลายที่ที่ผมได้
พบเจอในหลายแห่ง เราต้องระมัดระวังในเรื่องขออารมณ์ในระหว่างการรับใช้
ร่วมกัน การโต้ตอบและการสื่อสารอะไรกันต้องทำด้วยความรักจริงๆ

เมื่อแม่ครัวทำอาหาร และมีพี่น้องติเรื่องของอาหาร สิ่งที่โต้ตอบออกไปคือ
"กินได้ก็กินกินไม่ได้ก็ไม่ต้องกิน" ผมไม่ได้มาให้ทุกคนตัดสินว่าใครผิดหรือใครถูก

หรือเมื่อพี่น้องถามว่าจะเอาน้ำจากไหน มาให้ชาวบ้านดื่มกินกัน คำตอบคือ
"เอาน้ำคลองมั๊ง !!!"

หรือ เราจะประกาศให้ชาวบ้านไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยมาทำกิจกรรมต่อดีมั๊ย
คำตอบคือ "ไปบอกทำไม หิวก็ไปหากินกันเองแหละ"

มีอีกหลายเรื่องที่เราต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ และแน่นอน เนื้อหนังและความพยา
ยามของเรา ไม่มีทางที่เราจะ รอดจากการโต้ตอบด้วยเนื้อหนังของเราเลย
แต่ผมเชื่อว่าเราทำได้

ฟีลิปปี 4:13
"ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้   โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า"

เมื่อทีมรับใช้ของเราออกไปรับใช้ในตำบลหนึ่ง แม้เราจะผ่านสนามมาเยอะและ
ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่พระเจ้ากำลังนำเราไปในระดับที่สูงขึ้นฝึกเราใน สนาม
ที่ยากขึ้น และมีแต่ปัญหามากมาย เจอในสิ่งที่ไม่เคยเจอ
เราเจอชาวบ้านคนหนึ่งที่นั่งรอคิวที่เรา นำหมอเกาหลี ไปรักษาและมีชาวบ้านจำ
นวนมากมารับการรักษา ชาวบ้านผู้ชายคนหนึ่งที่มีท่าทางเมามายลุกขึ้นเดินมา
หาเราและชี้หน้าด่าเราด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย และดูถูก แถมมีขู่ด้วยอำนาจที่
อยู่เบื้องหลัง เราจะทำยังไงกับสถานการณ์ตอนนั้น เราอาจมีความคิดที่จะเตะ
หรือไม่ก็หิ้วปีกไอ้บ้านี่ออกไป "อะไรกัน นี่เราเหนื่อยนะ เรามารักษาให้คุณฟรีๆนะ"

แถมทีมหมอเกาหลีที่มานี่ก็พึ่งลงจากเครื่องแล้วก็มาจากกรุงเทพ มาถึงก็เริ่มรักษา
เลยนะยังไม่ได้พักเลย

แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เราควรจะโต้ตอบเลย ผลของพระวิญญาณควรจะฝังอยู่ในชีวิต
ของเรา

กาลาเทีย 5:22-23
"ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น   คือความรัก   ความปลาบปลื้มใจ   สันติสุข  
ความอดกลั้นใจ   ความปรานี   ความดี   ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม  
การรู้จักบังคับตน   เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย"

1. ความรัก
พระเจ้าบอกให้เรารักแม้กระทั่งศัตรู ถ้าโดนตบแก้ม จงหันอีกข้างหนึ่งให้ตบ
พระคัมภีร์ข้อนี้แวบเข้ามาทันที นั่นหมายถึง เราต้องพร้อมจะอดทนแะรับฟัง
แม้จะโดนด่าต่อไปอีก  1 โครินธ์ 13:7
"ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น   และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ 
และมีความหวังอยู่เสมอ   และทนต่อทุกอย่าง"

แม้เค้าจะไม่น่ารักเอาซะเลย และมันยากที่จะรักคนที่มายืนชี้หน้าด่าเราได้ แต่เราต้อง
มีความหวังในระเจ้า และเราต้องอดทน เพราะความรักทนได้ทุกอย่าง

2. ความปลาบปลื้มใจ
มันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะปลาบปลื้มใจจากภายใน หลังจากที่เราโดนด่า ทั้งที่เรา
ตั้งใจจะให้คนพอใจ เพื่อที่เราจะปลาบปลื้มใจ แต่เมื่อมันผิดแผนไป เราจะทำเช่นไร ?
เราทำได้ เราต้องปลาบปลื้มจากภายในของเรา
เราเห็นตัวอย่างนี้ใน

กิจการ 13:50-52
"แต่พวกยิวได้ยุยงพวกสตรีมีศักดิ์ซึ่งเป็นคนต่างชาติที่ถือพระเจ้า   กับทั้งผู้ชายที่เป็นใหญ่
ในเมืองนั้น   ให้เคี่ยวเข็ญและไล่เปาโลกับบารนาบัสออกจากเมืองของเขา ฝ่ายเปาโล
กับบารนาบัสจึงตัดสัมพันธ์ด้วยสะบัดผงคลีดินที่ติดเท้าออก   แล้วก็ไปยังเขตเมืองอิโคนียูม
แต่พวกสาวกก็เต็มไปด้วยความชื่นชมปีติยินดีและพระวิญญาณบริสุทธิ์"

3. สันติสุข
พระเจ้าบอกเราว่า พระองค์ได้มอบสันติสุขให้แก่เรา แม่เราจะตกอยู่ในความโกรธ และอยาก
โต้ตอบ หรือบางคนอาจอยู่ในความกลัว และตกใจในสถานการณ์ พระเจ้าได้บอกเราว่า

"เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย   สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น   เราให้ท่านไม่เหมือน
โลกให้   อย่าให้ใจของท่านวิตก   และอย่ากลัวเลย"
ยอห์น 14:27

"เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน  เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา   ในโลกนี้ท่านจะประสบความ
ทุกข์ยาก  แต่จงชื่นใจเถิด   เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”
ยอห์น 16:33

4. ความอดกลั้นใจ
จงอดทนอดกลั้นไว้ ดีกว่าจะปล่อยความโกรธที่เป็นความบาปออกมา มารต้องการปลุกระดม
และกระตุ้นโทสะของเรา กระตุ้นลิ้นของเราให้ทำความบาป ในความทุกข์ยากนี้ พระเจ้าจะ
ได้รับเกียรติสูงสุด

โคโลสี 1:11
"ขอให้ท่านมีกำลังมากขึ้นทุกอย่างโดยฤทธิ์เดชแห่งพระสิริของพระองค์   ขอให้ท่านมีความ
ทรหดที่สุด   และความอดทนไว้นานด้วยความยินดี"

ในลูกา 10:36
"ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน   เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัย
ของพระเจ้าได้   แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น"
เราต้องมีความอดทน ไม่ใช่เป็นหน้าที่ หรือการฝืนใจ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
เรามีความรักต่อพระองค์ เรารู้ว่านี่คือน้ำพระทัยต่พระองค์ที่เราทำเพื่อพระองค์ผู้ที่เรารัก และ
พระองค์ทรงรักเรา และจะทรงประทานทุกสิ่งตามพระสัญญาเพื่อเรา

อิสราเอลไม่มีความอดทน และไม่มีผลของพระวิญญาณเลย สิ่งที่พวกเขาได้รับคือ การสูญ
เสียโอกาสในแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้

5. ความปราณี
ความคิดของเราที่โกรธ และแค้นอยากจะด่าหรือโต้ตอบอะไรออกไปให้มันสะใจเนื้อหนังของเรา
นั้น คือการขาดความปราณีอย่างสิ้นเชิง เราจะต่างอะไรกับโลก ถ้าเราไปยืนเถียงหรือทะเลาะกับ
ชาวบ้านคนนั้น เราต้องสำแดงพระเยซูที่อยู่ในเรา
เราต้องมีความเมตตา มีความอ่อนหวาน

โคโลสี 3:12,13
"เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้   เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก  
จงสวมใจเมตตา   ใจปรานี   ใจถ่อม   ใจอ่อนสุภาพ   ใจอดทนไว้นาน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่ง
กันและกัน   และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน   ก็จงยกโทษให้กันและกัน   องค์พระผู้เป็นเจ้า
ได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด   ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน"
เราต้องไม่แสดงความหยาบคายหรือแข็งกระด้าง แม้มันจะเป็นบุคลิกของเรา แต่เพื่อเห็นแก่
พระนามของพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความปราณี พระเจ้าให้เราสวมใส่เสื้อแห่งความปราณีไว้

6. ความดี
ความดี คำคำนี้ผมเชื่อว่าแม้ไม่ต้องอธิบาย เราก็รู้ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนไม่มี เยงแต่เราเลือที่ทำ
หรือไม่ทำ พระคัมภีร์ โคโลสี 1:10 บอกถึงการทำดีว่า
"เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัย
พระองค์   ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง   และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า"

เพื่อเราเองจะรู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม พระทัยของพระเจ้ามีแต่
ความดี เราต้องทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

กาลาเทีย 6:10
"เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส   ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง 
และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ"

7. ความสัตย์ซื่อ
สิ่งนี้เป็นสิ่งสำคัญที่มักทดลองเรา เราอาจมองภาพของการสัตย์ซื่อเกี่ยวกับเงินของ
และการงาน ที่ได้รับมอบหมาย เราต้องมีความรับผิดชอบ
แต่สำหรับตัวผมเองข้อนี้บอกถึง เราต้องสัตย์ซื่อต่อความเป็นคริสเตียน
เมื่อเรารับเชื่อ และเรายอมทิ้งทุกสิ่งเก่าๆ และตั้งมั่นจะไม่กลับไปหามันอีก
เรามีเจ้าชีวิตคนใหม่ ที่เกลียดความบาป ฉะนั้นเราต้องสัตย์ซื่อ ที่จะไม่แอบกลับ
ไปหาตัวเก่าๆของเราอีก

1 โครินธ์ 4:1-2
"ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์   และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า
ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน"
เราต้องเป็นคนที่วางใจได้

8. ความสุภาพอ่อนน้อม
ความสุภาพอ่อนน้อม นั้นทำยากกว่า ความโอ้อวด เย่อหยิ่ง อวดแบ่ง ไม่มีหัวใจที่ถ่อม
ไม่ยอมฟังคำอธิบายใดๆ เห็นแก่ตัวเอง พระคัมภีร์บอกเราว่า อย่าทำการชั่วตอบแทนการชั่ว
เมื่อเราต้องเจอกับคนชั่วๆ (ผมหมายถึงสิ่งที่เขาสำแดงออกมา) เราควรตอบสนองแบบไหน
พระเจ้าให้เราสวมความสุภาพอ่อนน้อม มันจะขัดกับเนื้อหนังของเรา ถ้าเราคิดว่ามันยัง
ขัดแย้งนั่นคือมันขัดกับเนื้อหนังของเราที่อยากจะโต้ตอบด้วยวิญญาณเดียวกัน ตรงกันข้าม
เราคิดว่าเราอ่อนแอและเสียหน้า แต่ถ้าเราตอบโต้ พระเจ้าคงบอกเราแน่ว่าเรานั่นแหละที่
อ่อนแอ เราต้องปรนนิบัติชาวบ้านด้วยความรัก แม้สาวกจะโดนหินขว้างออกมาทั้งที่เข้าไปรัก
ษาโรควางมือ ขับผี ทำประโยชน์สารพัด แต่ก็ยังไม่ละความพยายาม เลี่ยงที่จะเผชิญหน้า
แต่ไม่ได้พ่ายแพ้ สวมความสุภาพที่จะตอบโต้ด้วยบุคลิกแบบอย่างของพระเยซู
พระเจ้าบอกเราว่าพระองค์ ทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูก และทรงสอนมรรคาของพระองค์
แก่คนใจถ่อม เมื่อเราเรียนรู้และทำตามที่จะสวมความสุภาพ อ่อนน้อมและถ่มใจลง
เราจะเดิน ตามทางของพระเจ้าได้ถูกเส้นทาง
แม้มาตรฐานของโลก เราจะถูกกดให้ต่ำลง พร้อมกับความสะใจของผู้ที่กระทำต่อเรา
แต่ในทางของพระเจ้าพระองค์สัญญาว่า
"ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า   และพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น"

ผมเชื่อว่าเมื่อพระเจ้าให้เราทำเราจะทำได้แน่นอน ไม่มีใครทำไม่ได้ แต่เราจะทำหรือไม่
จงเอาแอกของเราแบกไว้   แล้วเรียนจากเรา   เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม  
และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ   และภาระของเราก็เบา”
มัทธิว 11:29

9. การรู้จักบังคับตน
การรู้จักบังคับตน บังคับตนเองคือบังคับเนื้อหนังของเราที่จะทำตามอย่างโลกนี้ ควบคุม
อารมณ์ ความอยาก ความต้องการ ร่างกาย ความคิด จิตใจ ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระ
วิญญาณบริสุทธิ์เราจะควบคุมตัวเราเองด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ควบคุมเรา
เราต้องให้กายนี้ยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์

สุภาษิต 16:32
"บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก  
และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเองก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้"

โรม 8:9
"ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้ว   ท่านก็มิได้อยู่ใต้เนื้อหนัง  
แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ   ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์   ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์"

เราประกาศโดยความเชื่อว่า เราไม่ได้อยู่ใต้เนื้อหนังแล้ว แต่เราเป็นของพระคริสต์

ขอบคุณพระเจ้าสำหรับวันนี้ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทำให้เราได้เติบโต และแข็ง
แรงขึ้นมากมาย หลายเท่า เราระงับได้ทุกอย่าง และสงบใจลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
บทเรียนนี้สำคัญมากนักสำหรับงานที่ใหญ่ขึ้นในอนาคต

ในการรับใช้ไม่ว่าที่ใดก็ตามผมหนุนใจเราทุกคนว่า
(ฟป.2.14) "จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน"
เมื่อเราต้องเจอกับปัญหาภายใน พระเจ้าสอนเราว่า อย่าใช้อารมณ์แก่กันและกัน
แม้การพูดเล่นโดยที่ไม่ดูสถานการณ์ก็อาจจะก่อให้เป็นเชื้อเพลิงได้ ในงานรับใช้
ใดก็ตามเราต้อง เห็นภาพว่านั่นคือสงครามฝ่ายวิญญาณจริงๆ ทุกอย่างต้องระมัด
ระวังเสมอ

(สภษ.21.23) "บุคคลที่รักษาปากและลิ้นของตน     ก็รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก" 
ปัญหาภายนอกที่เราต้องพบเจอ พระเจ้าให้เราสวมผลของพระวิญญาณ และยุทธภัณฑ์
ของพระเจ้า (เอเฟซัส 6:10-13) เพื่อเราจะพร้อมเสมอไม่วาจะพบเจอสถานการณ์ใดๆก็ตาม

ระวังคำพูดของเราให้ดี เพื่อเราจะพูดในสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธ์นำเราและเตือนเรา

ขอบคุณพระเจ้า

ktm.worship

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น