ห่วงใยจริงหรือ ?
หลายครั้งจริงๆที่ผมได้ยินคนที่เข้ามาคุย มาพูดหรือโทรมาหาผม และได้พูด
คุยถึงความทุกข์ยากของอีกคนหนึ่ง หรือไม่ก็ความเจ็บป่วยของเค้าอย่างรู้ละ
เอียดทุกซอกทุกมุมเลยก็ว่าได้
ครั้งหนึ่งที่พี่น้องคนหนึ่งเจ็บป่วยจากโรคร้ายชนิดหนึ่ง และเราก็อธิฐานกัน
ด้วยความเชื่อในกลุ่มคนเล็กๆที่เป็นนักอธิษฐานวิงวอน ซึ่งไว้ใจและเชื่อใจได้
แต่กลับมีบุคคลภายนอกคนหนึ่งซึ่งรู้เรื่องราวของอาการเจ็บป่วยของพี่น้องคน
นี้ได้อย่างละเอียดยิบที่เดียว แต่ทำเป็นไม่รู้อะไรและโทรมาถามความเคลื่อน
ไหวเพิ่มเติมซะอีก
เราเองต้องระวังท่าทีของเราเองว่าเราอยากรู้ข้อมูลมากมายไปเพื่ออะไร ? บาง
คนอาจมีเหตุผลว่าเพื่อจะเป็นข้อมูลในการอธิษฐาน เราห่วงใยพี่น้องจริงๆ หรือ
เป็นเพียงแค่ความอยากรู้อยากเห็น หรือการซ้ำเติม
หลายครั้งที่ผมสังเกตุว่า เมื่อเราได้ยินความทุกข์ยากของคนอื่น ผมมักต้องตอบ
คำถามหรือได้ยินคำถามที่สนใจในรายละเอียดที่ว่า อะไร เพราะอะไร ที่ไหน เมื่อ
ไหร่ ทำไมล่ะ เป็นไงมาไง และอีกมากมาย
เราตั้งคำถามมากมาย มากกว่าจะสนใจว่าเค้าต้องการความช่วยเหลืออย่างไร
เราจะหนุนใจได้อย่างไร จะช่วยเหลือเค้าได้อย่างไร
ยอห์น 9:1-12
1เมื่อพระองค์เสด็จดำเนินไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด 2และพวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” 3พระ
เยซูตรัสตอบว่า “มิใช่ว่าชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขาได้ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอด เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา 4เราต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่
มีผู้ใดทำงานได้ 5ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก” 6เมื่อตรัสดังนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด 7แล้วตรัสสั่งเขาว่า “จงไปล้าง
โคลนออกเสียในสระสิโลอัมเถิด” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็เห็นได้ 8เพื่อนบ้านและบรรดาคนที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนขอทานมาก่อนก็พูดกันว่า “คนนี้ใช่ไหมที่เคยนั่งขอทาน” 9บางคนก็พูดว่า “
ใช่คนนั้นแหละ” คนอื่นว่า “ไม่ใช่ แต่เขาเหมือนคนนั้น” ตัวเขาเองพูดว่า “ข้าพเจ้าคือคนนั้น” 10เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร” 11เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซูได้ทำโคลนทาตาของข้าพเจ้า
และบอกข้าพเจ้าว่า 'จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างโคลนออกเสีย' ข้าพเจ้าก็ได้ไปล้างตา จึงมองเห็นได้” 12เขาจึงถามว่า “ผู้นั้นอยู่ที่ไหน” คนนั้นบอกว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ
พระคัมภีร์ในตอนนี้ เราเห็นว่าเมื่อสาวกได้พบชายตาบอดที่เป็นขอทาน สิ่งที่พวกเค้า
ตั้งคำถามอยากรู้คือ "เขาตาบอดเพราะเหตุใด ?" คำถามที่ถามคือ "พระอาจารย์เจ้า
ข้า ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือบิดามารดาของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด" เราต้อง
ตระหนักว่านี่เป็นคำถามของสาวกที่แตกต่างกับพระทัยของพระเยซูในตอนนั้นมาก
มันเป็นคำถามที่แอบแฝงและซ่อนใจที่มีความต้องการจะพิพากษา ตัดสิน อยากจะรู้
ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบ หรือจะโทษใครดีสำหรับเรื่องนี้ เพื่อตนเองจะรู้สึกดีขึ้น
ผมไม่ได้หมายความว่า นี่เป็นคำถามที่ผิด แต่เราต้องระวังท่าทีของเราต่างหากที่เรา
อาจจะเผลอมีท่าทีการตั้งคำถามที่ผิด มันเป็นคำถามของสาวกวกที่ออกมาจากใจ
จริงๆ เพราะทุกสิ่งเริ่มต้นออกมาจากใจ เราจึงควรระวังสิ่งที่อยู่ภายในให้ดี
แต่ขอบคุณพระเจ้า เรามีแบบอย่างที่ดีนั่นคือพระเยซู เราได้เห็นแบบอย่างที่ดีต่อ
การตอบสนองของพระองค์ด้วยความเมตตา พระองค์ไม่ได้กล่าวโทษใคร หรือหา
สาเหตุ และต้นเหตุว่าใครผิหรือใครถูก แต่พระองค์ได้ช่วยเหลืออย่างเต็มที่
พระองค์รักษาตาเขาจนหาย พระองค์ตรัสตอบสาวกว่า "แต่เขาเกิดมาตาบอด
เพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา" พระเจ้าจะได้รับการยกย่อง
สรรเสริญในกิจครั้งนี้ผ่านการสัมผัสด้วยความเมตตาของพระเยซู
ถ้าตอนนี้เรายังใครครวญอยากจะรู้ถึงความทุกข์และปัญหาของใครด้วยท่าที
ภายในที่ผิดๆอยู่ ลองมองพระเยซูเป็นต้นแบบแล้วเดินตามวิธีของพระองค์
ให้เราก้าวข้ามความสงสัยไปยืนที่ความต้องการของคนคนนั้นและช่วยเหลือเค้า
ยังมีความเจ็บปวดที่รอให้เราสำแดงและสัมผัสอยู่ด้วยความรักและเมตตาของ
พระเยซู
สุดท้ายนี้หนุนใจอีกครั้งว่า ไม่ใช่เราไม่รู้ปัญหาใดๆเลย เพราะถ้าเราไม่รู้ถึงปัญหา
และที่มาที่ไปเราก็คงไม่สามารถที่จะแก้ปัญหานั้นได้
แต่เราต้องไม่อยากรู้ด้วยท่าทีที่คอยซ้ำเติม และรอดูการล้มของเค้า หรือรอดูการคาด
หวังให้เค้าได้รับผลอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็รอดูว่าเค้าจะเป็นแบบที่เราตัดสินไว้หรือ
ไม่ พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐที่มีจรรยาบรรณมากที่สุด ที่ไม่เกี่ยงการรักษาคนไข้
ว่าจะดี จะร้าย จะชั่วหรือเลวแค่ไหน
ขอบคุณพระเจ้า ในความรักของพระองค์
ktm.worship
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น