ถ้าเราพูดถึงศาสตราวุธ และชัยชนะก็ย่อมแน่นอนที่ต้อง เกี่ยวข้องกับ สงครามอย่างแน่นอน
เราอาจจะมีความคิดที่ว่า พูดเรื่องสงครามกันอีกแล้ว เราไม่ชอบสงคราม อยู่แบบสงบๆ
แต่เมื่อเราตัดสินใจ เชื่อในพระเจ้าแล้ว เราก็เข้าสู่สงคราม เพราะเราจะถูกโจมตีทันที
คำว่าสงคราม คือเมื่ออีกฝ่ายรุกคืบเข้ามา
และถูกรุกราน อีกฝ่ายย่อมต้องเตรียมจัดทัพเพื่อปกป้องประเทศของตัวเอง
เราเป็นชนชาติของพระเจ้า และเราต้องรู้ที่จะทำสงคราม
เอเฟซัส 6:12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ
เราจะเห็นภาพได้ว่า เราอยู่ในสภาวะของสงคราม เพราะซาตานมุ่งมั่นที่จะทำลายผู้ที่เชื่อในพระเจ้า
แต่พระเจ้าเอง พระองค์ต้องการให้เราแน่ใจในชัยชนะ
ซาตานพยายามทำให้เราล้มลง พ่ายแพ้ไป และหันเราออกจากทางของพระเจ้า
เรามักถูกซาตานจู่โจมทุกเวลา เช่นความคิดของเรา
ยอห์น 8:44
มันเป็นพ่อของการมุสา เราได้ยินพระองค์สอนและประสงค์ให้เรารักกันและกัน
แต่ซาตานเองมักจะเอาเรื่องไม่จริงของผู้อื่นมาปั่นในหัวของเรา และเราก็เชื่อในสิ่งนั้น
เพราะมารจะเอาทั้งเรื่องจริงปนกับเรื่องโกหกเสมอ
และเมื่อเราต้องรับใช้ร่วมกัน รวมตัวกัน เป็นหนึ่งเดียว คริสตจักรเองก็มักจะโดนจู่โจม
ด้วยวิธีเหล่านี้ เพราะซาตานไม่ชอบการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย จึงต้องขัดขวาง
ใส่ความคิด ไม่พอใจ จับผิด ตัดสิน ระแวงกันและกัน
สงสัยในกันและกัน หมั่นไส้ซึ่งกันและกัน ความกลัว
และการใช้เหตุผล ทฤษฏีของโลกนี้ในการวิเคราะห์
ซาตานรู้ว่าเราชอบและไม่ชอบอะไร รู้ว่าเราอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบไหน
เรากลัวอะไร มันช่างเป็นสงครามที่ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ
บางคนอาจจะไม่เจอสงครามเลย เพราะชีวิตเป็นไปตามใจของซาตานอยู่แล้ว
2 โครินธ์ 10:4-5 เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
อาวุธนี้ไม่ใช่อาวุธของโลกที่กำลังตกต่ำลงทุกวัน
เราเองไม่จำเป็นต้องแสวงหาการต้อสู้ด้วยตัวเราเอง เพดราะมันไม่มีประโยชน์พระเจ้าทรงมี
อาวุธอันทรงอานุป็นนัภาพที่พร้อมที่จะให้เราใช้ ไม่มีศาสตรวุธใดจะเท่าเทียมได้เราสามารถ
รับเอาศาสตราวุธนั้นได้ ถ้าเพียงเราเลือกที่จะรับ
ศัตรูในสงครามของเราคือซาตาน โรม 12:2
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
การปฏิเสธแบบอย่างของโลกนี้ ไม่ใช่แค่พฤติกรรมภายนอกเท่านั้น
ไม่ใช่การพยายามด้วยตนเอง แต่หมายถึงภายในที่หยั่งรากลึกลงไป
คือยอมจำนน และรับการเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณภายในเราเท่านั้น
ที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่ สอนเราใหม่ ให้แนวทางแก่เรา
เมื่อเราต้องออกสงครามเราจำเป็นต้องมีอาวุธ
จงรับเอาศาสตราวุธ
ศาสตราวุธของเราคืออะไร ?
1.อาวุธแห่งพระวจนะ พระคำของพระเจ้า
ถ้าเราเปรียบพระวจนะก็คือพระแสงดาบของพระเจ้า
(ให้ชูพระวจนะ) ใครพกมาบ้างครับ พระคัมภีร์รุ่นใหม่บางเฉียบ
คงไม่เป็นภาระมากนักที่เราจะพกเอาพระวจนะของพระเจ้ามา
หนังสือเรียนหนักว่าพระวจนะเสียอีก
คอมพิวเตอร์หนักกว่าพระวจนะเสียอีก
แต่หลายคนมาหาดาบ เอาดาบหน้า
เมื่ออกสงคราม ไม่มีใครให้เรายืมดาบ
พระวจนะอยู่ที่ไหน … อยู่ในมือของพี่น้อง เราเองไม่ต้องบากบั่น
มุ่งหน้าออกป่า ข้ามน้ำ ข้ามภูเขาเพื่อหาดาบเล่มนี้ ดาบนี้อยู่ที่ไหนครับ
เราไม่ต้องไปแย่งชิงดาบนี้กับซาตาน เพราะมันไม่สนใจดาบนี้
เราไม่ต้องต่อสู้กับใคร เพื่อแย่งชิง เหมือนดาบ 7 สีมณี 7 แสง
ดาบในมือท่านคือดาบที่วิเศษที่สุดครับ (อาเมน)
การใช้ชีวิตแบบสบายๆ เมื่อถูกให้อ่านพระวจนะ
ก็เหมือนยาขม ยาพิษ บ่นโอดโอย ..ว่าน่าเบื่อมีแต่พงศ์พันธ์ ยากจริงๆ
แต่..เวลาอ่านนิยาย อ่านการ์ตูน หรือดูซีรี่เกาหลีดูได้เป็นชุดๆ จนดึกจนดื่น
ดูละคร ดูหนัง กลับมีเวลา แต่อ่านพระคัมภีร์บอกว่า ไม่มีเวลาเลย..
ต้องถามตัวเองว่าทำไม สิ่งเหล่านี้ดึงดูดเราได้มากกว่า
บางทีจำชื่อดาราได้ ไกลไปถึงวงตระกูล พ่อแม่ ปู่ย่าตายายไปเลยก็มี
แต่ชื่อบุคลในพระคัมภีร์ มีประวัติอะไร โอย งง ไม่รู้เรื่อง พงศ์พันเยอะม๊ากก
ใน 1 วันเรามีเวลาในการฝึกฝนมาแค่ไหน เรามีเวลาให้พระเจ้า ถึง 30 นาทีไหม
บางคนอาจจะมีทั้งวัน บางคนไม่ถึง 30 นาที แล้วเวลาที่เหลือเราให้เวลากับอะไร
บางคนเป็นงานประจำที่ทำ บางคนเป็นธุรกิจ คอมพิวเตอร์ 5 ชม
ละคร 2 ชม หนัง ภาพยนตร์ 2 ชม ไม่ใช่ว่าเราทำสิ่งใดไม่ได้เลย เราเป็นนักรบไม่ใช่นักบวช
และเราก็ต้องมีช่วงเวลาพักผ่อน แต่ถ้าเรารู้ว่าเราอยู่ในสงคราม เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
1 โครินธ์ 10:23 เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น
บทที่ 6:12 ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้
แต่ข้าพเจ้าไม่ให้สิ่งใดมาเป็นเจ้านาย
เราต้องไม่ให้สิ่งใดมาเป็นรูปเคารพ สิ่งที่เราจะวัดได้คือ เราให้เวลาสิ่งไหนมากกว่ากัน
บางครั้งหน้า โดม ที่แสดงเป็นผีดิบน่ะ พลอย เฌอมาล ปลายฉัตร ลอยมา โอยนังนี่น่าตบจริงๆ
เห็นไหมครับ ใส่ความคิดจอมปลอม ดูเป็นเรื่องไม่มีอะไร แต่มันมี
แล้วเราจะเอาอะไรล่ะ ไปต่อสู้ในสงครามล่ะครับแบบนี้ ถ้ารักไม่วันตาย หน้าโดม ปกรลัม ยังลอยอยู่ในเวลานี้ ซาตานรู้ดีว่าเรื่องใดรบกวนเราได้มากที่สุด มันก็จะทุ่มเทเวลาในสิ่งนั้น เพื่อเราโดยเฉพาะ
เมื่อเราดูมาก และรู้สึกว่า เราต้องติดตามและขาดไม่ได้ เมื่อนั้นเท่ากับว่าเรานมัสการมันแล้ว
พระคำของพระเจ้าคือความคิดของพระองค์ที่บันทึกไว้เพื่อเรา
จะได้ศึกษาและดำเนินตาม ให้เราได้ไตร่ตรอง
เป็นแนวความคิดของพระเจ้า ที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆ
ทำลายป้อม และความคิดจอมปลอมที่ตั้งตัวขัดขวาง
เราพร้อมจะใช้ดาบแห่งพระวจนะ ขลิบเอาความบาป เอาเนื้อหนังออกไปจากชีวิตเราหรือยัง
เราต้องภาวนาพระคำของพระเจ้า ภาวนาในภาษากรีกคือ
การเอาใจใส่ เข้ามาใกล้ ฝึกฝน หรือการรำพึง และอีกคำยังหมายถึง
การเคี้ยวเอื้องด้วย ผมเคยยกตัวอย่าง วัวที่กินหญ้าและเคี้ยวอย่างช้าๆ
คายออกมา และกินซ้ำเข้าไปอีก เพราะว่ามันจะได้ประโยชน์และคุณค่าสูงสุด
ต่อน้ำนมที่จะมีสารอาหารทีมากมาย
โยชูวา 1:8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี
เราจึงต้องอ่านพระวจนะอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราอยู่ในโลกนี้
ก็เหมือนเดินในความมืด ที่มืดสนิท แต่พระวจนะเป็นอาวุธที่
จะช่วยเราต่อสู้แม้ในความมืด พระวจนะเป็นแสงส่องสว่างให้เราเดินไปได้อย่างถูกทาง
เมื่อเราขับรถตอนกลางคืน เราก็ต้องมีไฟหน้ารถ
เมื่อไฟดับเราต้องมีไฟฉาย ถ้าไม่มีเราก็จะเดินสะดุดโต๊ะและเก้าอี้
แต่ในสงคราม เราอาจจะเดินเหยียบเอากับดัก นั่นหมายถึงชีวิต
สดุดี 119:105 พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์
ถ้าเราดูโยชูวา สำหรับโยชูวาความสำเร็จคือการทำตามพระวจนะ ของพระเจ้า
ตามมาตรฐานของโลกเราอาจจะดูไม่ดีพร้อม ไม่สมบูรณ์ทุกอย่าง มีข้อติมากมาย
การศึกษาไม่สูง ความสามารถอะไรก็ไม่มี
… แต่เราจะประสบความสำเร็จในสายพระเนตรของพระเจ้า
การอ่านพระวจนะเป็นอะไรมากกว่าหน้าที่
มากกว่าเป็นกฎข้อบังคับ มากกว่าเป็นข้อท่องจำ แต่ไม่เคยนำมาใช้
เราอาจจะท่องจำพระวจนะได้มากมาย แต่ไม่ได้นำมาใช้เลย
เรามีอาวุธแต่เราใช้ไม่เป็น
อาวุธแห่งพระวจนะนี้จะช่วยเราแยกความดีและความชั่ว
ดาบเล่มนี้จะมีประโยชน์มากแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ เรามีดาบสวย และแพงมากแค่ไหน
แต่อยู่ที่เราฝึกฝนและใช้งานมากเพียงไร
ประโยชน์ 4 อย่างของพระวจนะ
-พระวจนะจะวางโครงสร้างความคิด
สนามรบคือความคิด ในสมองที่ถูกโจมตี และซาตานพยายามจะตั้งป้อม
แต่ถ้าเรามีป้อมแห่งพระวจนะแล้วเราก็จะมั่นคง อย่าปล่อยให้มัน
ว่างเปล่าแต่จงแทนที่ด้วยพระวจนะ ถ้าโครงสร้างความคิดของเราไม่ถูกต้อง
เราก็จะดำเนินชีวิตแบบไม่ถูกต้อง ความเชื่อจะกำหนดสิ่งที่เราปฏิบัติ
พระวจนะบอกว่า จงรักเพื่อนบ้าน เชื่อในส่วนดี อดทนต่อกันและกัน
รักซึ่งกันและกัน หนุนใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเราไม่มีอาวุธแห่งพระวจนะ
เราก็จะมีการวิเคราะห์ว่าควรจะรักเขาไหม เขาทำเกินไปไหม
เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว เขาดันทุรังจริงๆ และฉันก็หมดเวลาให้อภัยเธอแล้ว
และมองหาจุดเสียมากกว่าจุดดี
-พระวจนะช่วยในการตักเตือน
พระวจนะจะบอกว่าตรงไหนถูก ตรงไหนไม่ถูก เลี้ยวตรงไหนผิดตรงไหนถูก
และจะบอกสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่สุดในชีวิตของเรา
-พระวจนะช่วยในการแก้ไข
ดาบแห่งพระวจนะนี้ยังช่วยในการทำความสะอาดได้อีกด้วย
เพราะชีวิตเราเองก็เหมือน ห้องเก็บของมีอะไรก็ยัดเข้าไปสะสมไว้
(เคยสะสมของไว้ไหมครับ แล้วมารู้ตัวอีกที มันเยอะจนเรารู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้า ถ้าต้องจัดการด้วยตนเอง) มีหลายอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์เลย
พระวจนะจะช่วยเรา ไม่ต้องเลือกของ ไม่ต้องเสียดาย
เพราะพระวจนะจะฟันประตูนั้นจนขยะทะลักออกมาและกำจัดมันทิ้งไป
สิ่งไร้สาระในชีวิตจะถูกเปิดเผยออก และเราจะมีห้องที่สะอาด (อาเมน)
-พระวจนะช่วยฝึกฝน
พระเจ้าใช้อาวุธนี้นอกจากจะแก้ไขส่วนไม่ดีแล้ว พระวจนะ
จะเตรียมเราให้พร้อมทุกอย่าง ถ้าเราอยากเป็นนักรบที่มีประสิทธิภาพแล้ว
เราต้องสำรวจว่าเราได้ทำสิ่งใดที่เป็นการเตรียมตัวเอง
เราทำสิ่งสารพัดได้ ผมไม่ได้บอกว่าห้ามดูหนัง ห้ามดูละคร
แต่ถ้าเราชอบและให้เวลามากกว่าการศึกษาพระวจนะ พี่น้องครับ
ผมเกรงว่ามันจะไม่ทันเวลา เพราะสงครามกำลังเข้มข้น ผมเคยติดหนัง
และไม่ได้อ่านพระวจนะมากนัก แต่ตอนนี้1 เดือนบางทีดูไม่ถึง 2 เรื่อง หรือเรื่องเดียว
และผมก็ยังอยู่ดี ไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ขาดการดูหนัง และมีเวลาอ่านพระวจนะมากขึ้น
ฟิลิปปี 2:16 จงยึดมั่นในพระวาทะแห่งชีวิต เพื่อข้าพเจ้าจะมีที่อวดในวันของพระคริสต์ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งเปล่าๆและไม่ได้ทำงานโดยเปล่าประโยชน์ NIV แทนพระวาทะว่า พระวจนะ
เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อม
ขอให้พระวจนะเป็นสิ่งที่หวานเหมือนน้ำผึ้งสำหรับพี่น้องนะครับ
สดุดี 119:103 พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์
แทนที่ความคิด คิดแบบระเยซู พระวจนะ ลูกา 4:1-12
มารจึงทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
ตอนนี้มารมักทำให้การทดลองของมันน่าดึงดูดเสมอ
ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้
แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไป สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์เห็น
แล้วมารได้ทูลพระองค์ว่า "อำนาจทั้งสิ้นนี้ และศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรนั้นเราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่ามอบเป็นสิทธิ์ไว้แก่เราแล้ว และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น
เหตุฉะนั้นถ้าท่านจะกราบนมัสการเรา สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด"
ตอนนี้มารพยามยามให้พระเยซูหลีกเลี่ยงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มันจึงติดสินบน
เราเองอาจจะเจอการทดลองแบบนี้ ว่าไม่ต้องอ่านพระวจนะ ไม่ต้องมีพระวจนะ ชีวิตก็สุขสบายได้
การงานดีได้
ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว
แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร(ประมาณ 30 เมตร) แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด
เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ป้องกันรักษาท่านไว้
และ เหล่าทูตสวรรค์ จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน
ซาตานมักทดสอบเราให้สงสัยในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า เราเราคิดว่าเราทำเองได้
ด้วยกำลังของตัวเอง
ฮีบรู 4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
คำเผยพระวจนะของ ไอลีน ฟิชเชอร์บอกว่า พระองค์ผู้ที่อยู่ในท่านเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
ถ้าเรามีดาบแห่งพระวจนะ เราเองจะจับมันวางไว้ในที่ๆมันควรจะอยู่คือ ใต้เท้าของเรานั่นเอง
พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า "มีคำกล่าวไว้ว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน
พระเยซูชนะการทดลองก็เพราะพระองค์ใช้อาวุธแห่งพระวจนะ (อาเมน)
2.อาวุธแห่งการสรรเสริญ นมัสการ
บางครั้งร้องเพลงคาราโอเกะคล่องแบบหลับตาร้องไม่ต้องดูเนื้อ
บางเพลงฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะได้สาระอะไรมาก อกหัก จะตายอย่างเดียว
แหกปากร้อง ออกท่าทาง ออกสเตปเต็มที่ไม่อายใคร
เราต้องไม่ลืมว่า มาร รู้ดีว่าเราชอบอะไรและไม่ชอบอะไร อยู่ในอารมณ์ไหน
เพลงไหนโดนใจเรา และสถานการณ์ที่เราเจออยู่ บางเพลงก็มีคำแช่งสาปอยู่ในนั้น
ละครบางเรื่อง ฆ่าฉัน ฆ่าเธอ ผมไม่รู้ว่ามีประโยชน์มากแค่ไหน
แต่พอมานมัสการ กลับยืนหุบปากนิ่ง
มือแนบลำตัวแบบเคารพธงชาติตอน 8 โมงเช้าหน้าเสาธง
นมัสการไปตดไม่ทันหายเหม็นก็ออกไปข้างนอก ถ้าสุดวิสัยเช่นมีลูกก็อีกเรื่อง
บางครั้งเราอาจจะสายตาสั้นมากจนมองจอเนื้อเพลงไม่เห็น
ก็เลยชักมือถือรุ่นใหม่ออกมา อันนี้ไม่รู้มีเทคโนโลยีใหม่ไหมที่ ส่งเนื้อเพลงเข้ามือถือ
พอถึงช่วงอาจารย์เทศนา ดังหน่อย ก็บอกว่า “เฮ้อ ข่อยรับ บ๊ออ ด๊ายย”
แต่คอนเสิร์ตไอ้ที่แหกปาก ว๊ากๆ กลับว่าดีไปนั่น
เรากำลังอยู่ในสงคราม ถ้าเราเป็นนักรบที่ไม่เตรียมพร้อม เราจะเป็นอย่างไรในสงคราม
เราได้รู้แล้วว่า เดือนนี้คือ นิสาน และเผ่ายูดาห์
ยูดาห์ = การสรรเสริญ การสรรเสริญ นมัสการเป็นการเคลื่อนทัพ
เห็นไหมว่าเรายังไม่พ้นจากสงครามจริงๆ เราอยู่ในสงคราม (มีนักรบที่ไหน รบไปแล้วยังยิ้มได้)
พระเจ้าเองพระองค์ทรงแสวงหาผู้ที่นมัสการ อ.จิ๋ว สอนเราว่า ทำอะไรก็ให้นมัสการไปก่อน
ยูดาห์ไปก่อน Judah go first การนมัสการเป็นการเคลื่อนทัพ
การออกสงครามและนำหน้าด้วยการสรเสริญ นมัสการ เป็นการทำให้
ซาตานพ่ายแพ้ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าอาวุธใดๆ
นั่นคือการสรรเสริญจากหัวใจของเรา ไม่ใช่แค่การร้องเพลง และการขยับปาก
บิล ย้อน เผยพระวจนะว่า การนมัสการของเราจะทำให้สิ่งชั่วช้าระเหยไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เจ้านมัสการพระองค์จะพาเราไปสู่ระดับใหม่เอี่ยมอันเป็นเหตุให้บัลลังก์ของพระองค์ลงมา และเป็นการขับไล่ฝูงมารด้วย
เมื่อเราสรรเสริญเราได้ประกาศถึงอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้า
และปลดปล่อยสิ่งต่างๆ ในย่านฟ้าอากาศ
สดุดี 149:6-9
ขอให้คำสรรเสริญพระเจ้าติดปากของพวกเขา
และดาบสองคมอยู่ในมือของพวกเขา เพื่อแก้แค้นประชาชาติต่างๆ
เพื่อลงโทษชนชาติทั้งหลาย เพื่อพันธนาการเหล่ากษัตริย์
ของเขาด้วยโซ่ตรวน และพันธนาการเจ้านายของพวกเขาด้วยโซ่เหล็ก
เพื่อจัดการกับเขาตามคำตัดสินที่เขียนไว้ นี่คือศักดิ์ศรีของประชากรทั้งปวง
ของพระองค์ จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
นี่เป็นเวลาที่พระเจ้าจะพิพากษาคนชั่ว และรบกับคนอธรรม
คำเผยของอ.ชัคเพียซ ครั้งก่อนๆ เราจำได้ไหม การสรรเสริญแบบรุนแรง
ซึ่งหมายถึงการกระทำที่เป็นการทำลายล้าง การสรรเสริญเป็นการนำเรา
ไปยึดคืน สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้สำหรับเรา คืนจากมือของศัตรู
ตัวอย่างการสรรเสริญแบบรุนแรง
-กำแพงเมืองเยรีโค โยชูวา 6
-กิเดโอน แสดงออกการสรรเสริญแบบรุนแรงต่อคนมีเดียน ผู้วินิจฉัย 7
-เปาโล และสิลาส แสดงออกการสรรเสริญแบบรุนแรง จนคุกสั่นสะเทือน
และหลุดจากพันธนาการ กิจการ 16:33
เราเองเป็นเหมือนทหาร ที่รวมตัวกันเป็นกองทัพของพระเจ้าในโลกนี้
และเราได้เข้าสู่สงคราทุกรอบด้าน ทั้งด้านความคิด และฝ่ายวิญญาณย่านฟ้าอากาศ
ร่วมกับกองทัพทูตสวรรค์ และเมื่อใดที่ฟ้าสวรรค์ได้เปิดออก การสรรเสริญจะปลดปล่อย
พระพรอันยิ่งใหญ่มากมาย การอัศจรรย์ใหม่แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มาสู่แผ่นดินโลกนี้ (อาเมน)
จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เพื่อจะปลดปล่อยบรรยากาศการสรรเสริญ
ซึ่งจะปราบศัตรู คือซาตานให้ย่อยยับ ลงแทบเท้าของคุณได้ (อาเมน)
ถ้าเราดูชีวิตของ กษัตริย์ดาวิด ดาวิดปรารถนาสิ่งใดมาที่สุด ??
การเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า ความร่ำรวยหรือเปล่า อำนาจบารมีหรือเปล่า
ชื่อเสียงเกียรติยศหรือเปล่า
คำตอบของดาวิดอยู่ใน สดุดี 27
ดาวิดปรารถนาดำเนินชีวิตอยู่ ต่อหน้าพระเจ้าทุกวันๆ ตลอดชีวิต
เราต้องไม่เป็นผู้เชื่อที่แสวงหาแต่ตำแหน่งหน้าที่การงาน
เราต้องไม่เป็นผู้เชื่อที่มีเวลาให้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ขาดการนมัสการ
การเลือกดำเนินชีวิตอยู่ในการสรรเสริญในแต่ละวันนั้น
เราจะพบกับความชื่นชมยินดี กับความสัมพันธ์ชั่วนิรันดร์
“ไม่ว่าอยู่แห่งหนไหน ข้าจะนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าจะนมัสการ”
อยากเป็นเช่นดาวิดไหมครับ เป็นนักรบที่เก่งกล้าในสงคราม
ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนในยุคนั้น หรือนักรบคนใด เก่งกล้าเท่ากษัตริย์ดาวิด ไม่มีเลย
กุญแจ คือ การสรรเสริญ การนมัสการ เข้าสู่ความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
เป็นผู้ที่นมัสการอย่างแท้จริง
ยอห์น 4:23-24 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
เราคิดว่าการอ่านพระวจนะมักต้องต่อสู้อย่างหนัก
แต่ซาตานพยายามขัดขวางการ
สรรเสริญ นมัสการของผู้เชื่อมากกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะนี่คืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุดที่มันกลัว
ยิ่งเวลาไหนเราเหนื่อย เบื่อหน่ายไม่อยากนมัสการ
นั่นแหละครับ เรายิ่งต้องนมัสการ
อาวุธแห่งชัยชนะของเราคือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
เราจะรับเอาอาวุธนี้ได้อย่างไร ? อุปสรรคในการสรรเสริญ และนมัสการ
อย่ายอมให้สิ่งใดเป็นอุปสรรคในการนมัสการ ถ้าเรารู้ว่ามันพยายามขัดขวาง
ก็เท่ากับมันกำลังกลัว
-หัวใจที่ยอมจำนน
ลูกา 9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
การเอาชนะตัวเองก็คือการขับเอาเนื้อหนังออกไป และให้พระเยซูคริสต์เข้ามาแทนที่
เรานั่งบนบัลลังก์ใจของเรามานานพอหรือยัง เวลานี้ให้เราให้พระเยซูคริสต์
ครอบครองบัลลังก์ใจของเราแทนที่ จงยอมจำนนต่อพระเจ้า
-หัวใจที่ไม่สารภาพ
ความบาปใดที่เรายังไม่สารภาพ เราอย่าทึกทักเอาเองว่า พระเจ้าจะลืมมันไป
ผมยกตัวอย่างของเด็ก เมื่อเขาทำความผิด และพ่อแม่ก็ไม่ตักเตือนว่าผิด
ไม่บังคับให้เขารับรู้ว่าผิดและขอโทษ เด็กก็จะทำเลยตามเลย
บางทีเรียกว่าทำเนียน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไหลตามน้ำไป
เมือเขาโตขึ้น ก็อาจจะติดเป็นนิสัยส่วนที่เสียไป
เช่นเดียวกันครับ เมื่อเราทำบาป และเมื่อเรานมัสการพระเจ้า
เราจะไปพบพระเจ้าทั้งที่ยังมีตัวถ่วงอยู่หรือ เราจะเข้าพบพระเจ้าได้หรือ
เรายังไม่วางภาระบาปและสลัดมันออกไปเลย
แต่เราต้องสารภาพและกลับใจทันที ไม่มีผลัดวันประกันพรุ่ง
ไม่มีการขี้เกียจ ไม่มีทำเนียน เลยตามเลย (อาเมน)
-ท่าทีที่ผิด
มัทธิว 5:23-24 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน
ความสัมพันธ์ที่แตกร้าว ระว่างเรากับพี่น้อง
จะขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
เราจึงต้องแก้ไขปัญหาก่อน มาตรการวิเคราะห์อาจจะคิดว่า
เล็กน้อยน่า ไม่เป็นไร หรือ โอ๊ย เขาไม่คิดอะไรหรอก เราต้องไวนะครับ
ท่าทีของเราที่มีต่อพี่น้อง ก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าด้วย
ในการสงคราม กองทัพไหนไม่สามัคคี ไม่มีทางชนะ
ถ้าเรายังมีท่าทีที่ผิด พระวิญญาณทรงสียยพระทัย
จงจัดการกับท่าทีที่ผิดก่อน (อาเมน)
-ความไม่เชื่อ
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน คุณสมบัติที่เราต้องมีคือความเชื่อ
ไม่ใช่ความสงสัย นี่เป็นอุปสรรคในการนมัสการ เราต้อง
มีความเชื่อ เชื่อในช่วงเวลาที่ดีกับพระเจ้า
เราจำช่วงเวลา พันธกิจ หายโรคโดยความเชื่อได้ไหม
เมื่อเรามีความเชื่อ และเริ่มที่จะนมัสการ บางคนถึงกับ
หายโรคทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาของการวางมือด้วยซ้ำ
ถ้าเรายังยึดติดที่ว่า นมัสการไปก็ส่วนนมัสการ และรออาจารย์วางมือ
ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่เป็นท่าทีที่ขาดความเชื่อ
จะเกิดอะไรขึ้นกับซาตาน ถ้าผู้เชื่อจำนวนมาก
ร่วมกันเปล่งเสียงสรรเสริญด้วยความเชื่อ มันคือพลังที่มากมายจริงๆ
ซาตานไม่เคยกลัวผู้สังเกตการณ์ ซาตานไม่กลัวคนนั่งจับผิด
ซาตานไม่กลัวคนที่เอาแต่คุยตอนนมัสการ ซาตานไม่กลัวคนที่นั่งเล่นมือถือตอนนมัสการ
ซาตานไม่กลัวคนที่มายืนเคารพธงชาติ ในห้องนมัสการ
แต่ซาตานกลัวเสียงของผู้เชื่อที่เปล่งออกมา
จากหัวใจที่นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (อาเมน)
เพลง ในพระนามพระเยซู เราทำลายป้อมปราการด้วยคำสรรเสริญ
3.อาวุธแห่งการอธิษฐาน
อาวุธแห่งการอธิษฐาน ของนักรบอธิษฐานวิงวอน
เชื่อว่าที่นี่มีนักรบแห่งการอธิษฐานวิงวอน และเป็นนักรบชั้นยอดมากมาย (เอเมน)
เรื่องการอธิษฐาน ผมเชื่อว่า พี่น้องในที่นี้ เป็นนักรบ นักอธิษฐานวิงวอน มืออาชีพ
ผมคงไม่ลงรายละเอียดมากนัก แต่อยากหนุนใจซึ่งกันและกันว่า
เมื่อเราออกพันกิจ ช่วงนี้เป็นช่วงของ อัศจรรย์หายโรคโดยความเชื่อ
พี่น้องครับ กฎของการหว่านสิ่งใดได้สิ่งนั้น หว่านมากได้มาก
ยังเป็นกฎที่ไม่เสื่อมคลาย
เจมส์ ดับเบิ้ลยู กอลล์ เผยว่า ขอทรงสอนข้าพระองค์ให้อธิษฐาน
2 โครินธ์ 2:11 เพื่อว่าเราจะไม่เสียทีซาตาน เพราะรู้ทันอุบายของมัน
ถ้าเราลงทุนหว่าน โดยอดอาหารและอธิษฐาน มันจะมีพลังอย่างมากมาย
มัทธิว 17:21 บอกไว้ว่า แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร
ให้เราติดอาวุธโดยการอธิษฐาน ถ้าพระวจนะเป็นดาบ
คำอธิษฐานของนักรบ ก็เปรียบได้กับ ขีปนาวุธ ที่สามารถสั่งกดรีโมท แล้วบอม ระเบิดป้อมปราการของซาตานได้ ตูมม
ในสงครามฝ่ายวิญญาณก็เช่นกัน พระเจ้าได้ประทานโอกาสแห่งชัยชนะให้แก่คน
ของพระองค์ที่มีอานุภาพอย่างยิ่ง สิ่งนั้นคือ การอธิษฐาน
การอธิษฐานเปรียบเสมือน ขีปนาวุธ ที่ยิงออกไปก่อนเพื่อทำการเคลียร์พื้นที่
ก่อนที่นักสู้ของพระเจ้าที่สวมยุทธภัณฑ์จะลงไปต่อสู้อีกครั้ง สงครามนี้จะง่ายขึ้น
ในพระธรรมเเอฟซัสในบทที่ 6:18-20 นี้เปาโลได้กล่าวถึงเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณที่คริสเตียนต้องเผชิญ นั่นย่อมสะท้อนว่า คนของพระเจ้าต้องเป็นนักสู้
โคโลสี.4:12 เอปาฟรัส “เขาได้ปล้ำสู้อธิษฐาน” เพื่อท่านเสมอ คำว่า สู้รากศัพท์มาจากคำว่า “ความเจ็บปวด การปล้ำสู้ ความพยายามดิ้นรนอย่างสุดขีด ซึ่งมักใช้กับคนที่ต้องการทำงานหนักจนหมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถทำอะไรได้อีก ดังนั้นการอธิษฐานต้องใช้กำลัง คือการทำสงคราม
การอธิษฐานจึงเป็นศาสตราวุธแก่เราที่ทำลายป้อมได้ 2คร.10:3-4 เราต้องมุ่งหมายสู่ชัยชนะ การอธิษฐาน ต้องอุทิศตน “ไม่ใช่เพียงความคิด เพ้อฝัน ไม่ขึ้นกับอารมณ์ ความสะดวกสบาย ความอยากจะอธิษฐาน
ให้เลือกได้ไม่มีใครอยากเข้าสงคราม แต่ถ้าจำเป็นที่จะอยู่ในสงคราม ต้องฝึกฝนด้วยความลำบาก บากบั่น”
2 พงศ์กษัตริย์ 6
15 เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี"
ผมเดาว่า คนใช้คนนี้คงไม่ใช่นักอธิษฐานแน่นอน โอยยย แย่แล้ว นายท่าน
จะทำยังไงกันดี โดนล้อมหมดแล้ว
เอลีชาเลยตอบว่า "อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา"
แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น" และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา
พี่น้องครับ ผมหนุนใจว่า ถ้าพระเจ้าทรงโปรด ถ้าใครเห็นภาพอะไร
อธิษฐานให้เราเห็นด้วยกันบ้างนะครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สุดแล้วแต่พระองค์
18 และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานพระเจ้าว่า "ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย" พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามคำอธิษฐานของเอลีชา
เมื่อเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก และรู้สึกว่าไม่อาจจะเอาชนะได้
จงจำไว้ว่าเรายังมีอาวุธ คือคำอธิษฐาน เรายังมีขีปนาวุธอยู่ (อาเมน)
จงมองด้วยสายตาแห่งความเชื่อ นักอธิษฐานต้องมีสายตาแห่งความเชื่อ
พระเจ้าพร้อมจะประทานการช่วยเหลือ ลองสำรวจดูว่าเรามีปัญหาอะไรไหม
ที่ทำให้เราไม่อยากจะอธิษฐาน ไม่พร้อมจะอธิษฐาน
บางทีปัญหาที่เราเจออยู่ อาจจะอยู่ที่สายตาฝ่ายจิตวิญญาณของเรา
ไม่ใช่ปัญหาที่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า
เราสามารถร้องทูลต่อพระเจ้าได้ เพราะในความเป็นมนุษย์ เรายังคงมีเนื้อหนัง ยังอ่อน
กำลังได้ และเราก็อาจจะถูกทดลองได้โดยง่าย พระเยซูเองก็เจอมาแล้ว แต่พระองค์สอบผ่าน
ก็ด้วยพระวจนะและคำอธิษฐาน
ดังนั้นเราเองก็ควรจะเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อไม่เปิดโอกาสนั้นแก่ซาตาน
มาระโก [14:38] ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง"
พลังของการอธิษฐานมีอำนาจมากพอที่จะกระชาก อุ้งมือของซาตานที่ครอบงำมนุษย์นั้นออกได้
ยากอบ บันทึกว่า คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลได้
พระคัมภีร์บอกว่าซาตานเหมือนกับสิงห์ที่วนเวียน รอที่เมื่อไหร่ที่เหยื่อเผลอมันก็จะเล่นงาน
กิจการ 9:40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า "ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น" ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง
พี่น้องครับ เราได้อาวุธนี้มาแล้ว (อาเมน) คนตายฟื้น ด้วยคำอธิษฐาน
ด้วยการป่าวประกาศพระวจนะ
ด้วยการสรรเสริญ ส่งเสียงแตร
ด้วยการอธิษฐานวิงวอน และยึดคืน
อาวุธนี้ได้ง้างอุ้งมือของซาตานออก และกระชากยึดกลับคืนมา (อาเมน)
เดือนแห่งการไถ่นี้ เราจะฟาดฟัน สาสตราวุธนี้ ใส่ซาตาน
และยึดทุกสิ่งกลับคืนมา
เอากลับคืนมา (อาเมน)
เดือนแห่งการเริ่มต้นการอัศจรรย์นี้ จะเป็นการอัศจรรย์ แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (อาเมน)
เราพร้อมจะออกรบกับพระเจ้าของเราหรือยังครับ นักรบทั้งหลาย (อาเมน)
เมื่อพระเจ้าเสด็จออกรบเราต้องพร้อมเสมอ
2พงศาวดาร 14:12 เมื่อเราพบกับสงครามที่ยากจะเอาชนะได้ เรายังมีขีปนาวุธฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเจอกองทัพที่ใหญ่โตจงอธิษฐาน ถ้าเราเอาความสามารถของเราเทียบกับปัญหา เราก็จะท้อ
แต่ถ้าเรามีอาวุธแห่งคำอธิษฐาน ปัญหานั้นก็จิ๊บจ๊อยมาก
เศราห์ยกทัพมหึมาจาก คูชมาที่มาเรชาห์ใหญ่กว่าอาสามาก แต่เมื่ออาสาอธิษฐาน ชาวคูซก็พ่ายแพ้และถอยหนีไป
เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้ พันปี หมื่นปี แบบหนังจีนที่อวยพรกัน แต่เราอยู่แค่ประเดี๋ยวเดียว
ทหารไม่ต้องรบตลอดไป เมื่อเราฝึกฝน อดทน และเป็นนักรบที่มีประสิทธิภาพ เราเองจะมีชัยชนะ
ประเทศไทยจะเป็นไท สมชื่อ
แผ่นดินโลกจะเป็นของพระองค์ ข่างประเสริฐจะออกไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก
ถ้าเรายังนิ่งนอนใจ ไม่ฝึกฝนอาวุธที่พระเจ้ามอบให้กับเรา เราอาจจะตายในสงครามครั้งนี้
ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะตายไป
จงบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย มันอาจจะไม่สดใสเหมือนพรมแดงที่ปูอยู่ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง เมื่อเรา
ฝึกปรือและรับเอาศาสตราวุธจากพระเจ้าแล้ว เราจะมีชัยชนะแน่นอน พระเจ้าพระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่เคยแพ้ เราอยู่ฝ่ายพระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพร
ktm.worship
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น