ความรัก หรือการตัดสิน
จงลุกขึ้นจากหลุมกับดักเดี๋ยวนี้
หลายครั้งที่คริสเตียนมักทำตัวเองเป็นคนช่างวิเศษ ตัวเองสมบูรณ์และมักมองคนอื่นๆ เป็นคนไม่สมบูรณ์ทั้งที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีผู้ใดสมบูรณ์เลยสักคนเดียว การเตือนสติ และการกล่าวโทษตัดสิน แตกต่างกัน เตือนสติสำหรับผมเองคือเตือนกับเจ้าตัวด้วยท่าทีถ่อมสุภาพและด้วยความรัก และมุ่งหวังให้เกิดผลดี แต่การตัดสินนั่นคือการวิเคราะห์และมองที่กายภาพท่าทีภายนอก ตลอดจนการกระทำ ที่ไม่เป็นที่ถูกใจของตนเอง และตามหลักความน่าจะเป็น และทำการพิพากษาโดยคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้า (อาจจะไม่รู้ตัว)
พระเยซูทรงเตือนสาวกไม่ให้ตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่น ตัดสินคือ ลงความเห็น ชี้ขาด และวินิจฉัย หลายคนชี้ขาดโดยไม่ไตร่ตรองพี่น้อง และวินิจฉัยพี่น้องเอาตามใจตนเอง และกล่าวโทษหมายถึง แจ้งว่าคนคนนั้นกระทำผิดพูดง่ายๆคือฟันธงลงไปเลยว่า เธอน่ะผิดและไม่ดี
บางคนชอบตัดสินผู้อื่นทั้งที่ตัวเองมีข้อมูลไม่ครบถ้วนก็ทำการชี้ขาด มองเห็นแต่จุดเสียของคนอื่น มีอคติส่วนตัวและหมั่นไส้หรือไม่ชอบมานานอยู่แล้ว การมีอคติส่วนตัวย่อมทำให้ขาดความรักและเมื่อขาดความรัก ก็ขาดการเชื่อในส่วนดี อยากจะเห็นคนคนนั้นตกต่ำลง ท่าทีในแง่ลบนี้เองทำให้ตัวเองบิดเบือนความจริง เมื่อมีการพูดคุยเพราะจะนำเข้าไปสู่การตัดสิน
อย่าตั้งตัวเองเป็นผู้ตัดสินผู้อื่นไม่ว่าโลกนี้คุณเองจะดูดีเพียงไร แต่ตัวคุณเองก็ยังเอาไม่รอดด้วยซ้ำถ้าไม่มีพระเยซู มารมักชอบการตัดสินและกล่าวโทษ และผู้ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นทาสของมารซาตานเอง อย่าร่วมมือกับมารในการกล่าวโทษผู้อื่นเพราะนั่นอาจจะเป็นการทำร้ายพี่น้องคนหนึ่งที่ยังไม่เข้มแข็งนักให้เขาต้องล้มลง พระเจ้าให้เราเสริมสร้างซึ่งกันและกันไม่ใช่การทำลาย
คำพูดของผู้มีอิทธิพลในคริสตจักร ผู้มีอิทธิพลนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสมบูรณ์ในทางของพระเจ้านะครับ อาจเป็นแค่เปลือกนอกที่ส่ำสมมาก็เป็นไปได้ คำพูดของคนเหล่านี้อาจจะมีน้ำหนักต่อมนุษย์ด้วยกันที่จะทำร้ายและทำลายผู้ที่ถูกตัดสินอย่างไม่ยุติธรรมก็เป็นได้
มัทธิว [7:1] "อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
มัทธิว [7:2] เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
พระเยซูสอนเราให้สำรวจแรงจูงใจการการพูดในการคิดและความประพฤติในสมองอันน้อยนิดของตัวเองมากกว่าที่จะไปตัดสินแรงจูงใจของผู้อื่น ลักษณะคำพูด บุคลิกในตัวของผู้อื่นอาจะทำให้เราไม่พอใจและเมื่อมีโอกาสก็ใช้โอกาสนั้นในการทำลาย ส่วนมากนิสัยที่เราไม่พอใจคนอื่นนั้นเป็นนิสัยที่เราไม่พอใจในที่ตัวเองเป็นด้วย สิ่งที่เรายังแก้ไม่ได้คือสิ่งที่เราอยากเปลี่ยนในตัวคนอื่นมากที่สุด เป็นเรื่องง่ายที่เราจะขยายความผิดของคนอื่น ขยายความไม่พอใจและอคติในตัวของคนอื่น และปกปิดแก้ตัวส่วนไม่ดีของตัวเอง หากเราคิดอยากใส่ร้ายใคร หรือมองหาแต่จุดเสียของคนอื่น แล้วฟันธงฉับ ตัดสินลงไปเลยว่าเธอมันไม่สมควรและเธอมันแย่ อยากให้ลองพิจารณาตัวเองก่อนดีกว่าไหม ว่าสมควรไหมที่จะรับคำตัดสินนั้น แทนที่จะตัดสินและกล่าวโทษ ช่วยเหลือและหนุนน้ำใจ เตือนสติ ด้วยความรักน่าจะเหมาะกว่า อย่าตัดสินผู้อื่นด้วยแรงจูงใจของตนเองเพื่อจะถีบตัวเองให้สูงขึ้นเลย
มัทธิว [7:3] เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
มัทธิว [7:4] เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
มัทธิว [7:5] ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
มัทธิว [7:6] "อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
ผมยกตัวอย่างว่า ถ้าพี่น้องคนหนึ่ง มีหัวใจอยากจะมาคริสตจักรมาก แต่ไม่สามารถมาได้ทุกอาทิตย์หรือมาได้ตรงเวลา และเมื่อมาได้ก็มาด้วยหัวใจไม่ใช่การบังคับ เขาอ่านพระวจนะทุกวัน อธิษฐานทุกวัน และแสวงหาพระเจ้า ..แต่อนิจจา (ใช้คำนี้ได้ไหมนะ) ที่เขาโดนตัดสินจากการแอบสังเกตการณ์ว่า คนคนนี้ไม่มีหัวใจในการมาคริสตจักร วันอาทิตย์ก็มาสาย หรือ1 เดือนมา 3 ครั้งก็ใส่ไข่ว่า โอ๊ยแทบไม่เห็นมาเลย คนจำพวกนี้ไม่ได้มองที่ความตั้งใจ แต่มองแค่เปลือกนอก ไม่ได้มองทะลุเข้าไปข้างใน แบบนี้ล่ะพระเจ้าเพียงผู้เดียวที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า
"เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย" (ฮีบรู 4:12)
คุณเคยเล่นเกมจับผิดไหม เมื่อให้มองหาข้อดีของกันและกันทุกคนยากที่จะพูด และคิดด้วยเวลานาน บางทีก็โมเมความดีขึ้นมา แต่ก่อนหน้านี้เราให้พูดข้อเสียของกันและกัน และหลอกว่าพูดด้วยความรักเพื่อจะได้ไม่โกรธกันและ ห้ามโกรธกัน ทุกคนพูดได้แบบไม่หยุด และจดจำข้อเสียได้มากมาย ธรรมชาติของมนุษย์มักจะมองเห็นความผิดของผู้อื่นได้เร็วและชัดเจนกว่าความผิดของตัวเองเสมอ
อย่าทำตัวเองเป็นแม่ชี คนนึงที่ตัดสินกรรมและแก้กรรมของคนอื่น หาว่าคนอื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะชาติก่อนเป็นไอ้นั้นไอ้นี่ และตัดสินเขาว่าเขาเป็นแบบนี้ เพราะเหตุนี้ ..ไม่ต่างเลยถ้าเราตัดสินเพราะผลลัพธ์คือการตัดสินเหมือนกัน
คล้ายกับฟาริสีที่ภายนอกดูเป็นผู้เคร่งครัด และมีความรักซึ่งความจริงเสแสร้งให้ดูดี ดั่งมัทธิว 23:23-31
เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม
1 โครินธ์ [4:5] เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร
อยากพูดอีกครั้งว่า การมองแค่ผิวเผินโดยที่คุณไม่เคยคุยกับเขาเลย ไม่เคยรู้ปัญหาของเขาเลย ไม่เคยสนใจและหนุนใจเขาเลย และได้แต่แอบมองเหมือนขโมยและโจร เมื่อเขามาคริสตจักรก็จับกลุ่มซุบซิบว่าเขาจะทำอะไร คอยจับจุดที่ผิดและคิดว่าจุดนี้แหละฉันจะเอาไปเล่นงานเธอ บางทีก็กล่าวหาว่าเขามาเพราะมากิน ทั้งที่โดยสันดานแล้วเขาไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงบอกไงครับว่ามองแค่เปลือกนอก แต่ตัวเองกลับทำเสียเอง
การตัดสินเป็นเรื่องที่เย้ายวน ถ้าให้เป็นพี่เลี้ยงใครสักคนหรือให้เข้าไปหนุนใจใครสักคน หรืองานรับใช้ มักเป็นเรื่องยากสำหรับบางคนและน่าโอดครวญ แต่ถ้าให้คอยจับผิดใครหรือดูพฤติกรรมใคร หรือคอยสอดส่อง เรื่องแบบนี้ท้าทายและน่าเย้ายวนเป็นที่สุด ไม่ต้องจ้างทำฟรีๆยังเอาเลย คนแบบมักวิจารณ์พี่น้องว่าเป็นสาวกที่ดีของพระคริสต์หรือไม่ การมองจุดเสียและเอาไปพูดเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนลึกในการทำลาย ไม่ใช่สร้างสรรค์ นั่นหมายถึง คุณกำลังคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นและนั่นคือความยโส พระวจนะตอนหนึ่งบอกว่า อย่าคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น
โรม 12:10 จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว
คนที่มาคริสตจักรสายและมีพันธนะแต่มีหัวใจมาหาพระเจ้า พร้อมสละเวลา ยอมถูกข่มเหง ยอมถูกพูดเสียดสี ยอมเหนื่อยหนัก 2-3 เท่า เพื่อมาหาพระองค์ กับคนที่มาคริสตจักรเพื่อจะจับผิด นินทา กล่าวโทษ ลองคิดดูว่าใครแบกกางเขนของพระเยซูคริสต์มากกว่ากัน
ถ้าคุณเองเป็นผู้ฟังคุณจะเชื่อคนที่เอาเรื่องคนอื่นมาพูดและชอบนินทาคนอื่น หรือทำตัวเป็นด๊อกเตอร์จบสูงๆความรู้พระคัมภีร์เยอะๆและวินิจฉัยเอาแค่ที่เห็น หรือเลือกที่จะเดินเข้าไปหนุนใจ การหนุนใจคือการยืนเคียงข้างเพื่อนที่อ่อนกำลัง ประคับประคองเพื่อที่เขาจะเดินต่อไปได้ จนกว่าเขาจะแข็งแรง เป็นกำลังใจให้ เป็นที่ให้คำปรึกษา หรือเลือกที่จะเป็นซาตานที่หาเหยื่อและเมื่อพลาดเมื่อไหร่ก็คอยแต่จะกัดกิน
คำพูดนั้นจะไม่มีอิทธิพลกับเรา ถ้าเรายอมรับคำตัดสินและยอมติดคุกกับมันก็เท่ากับเราพ่ายแพ้ แต่เมื่อเราเองยอมที่จะเป็นประชากรของพระเจ้า เป้นคนของพระองค์ อำนาจความชั่วร้ายนั้น ก็ไม่อาจจะกร้ำกรายเราได้เลย การมองดูความเติบโตของคนนั้นไม่ใช่การมาร่วมกิจกรรมและมาคริสตจักรทุกอาทิตย์ ถ้าแบบนั้นก็ไม่มีความยุติธรรม แน่นอนการมาคริสตจักรสำคัญ แต่จงดูที่หัวใจ การเติบโตฝ่ายวิญญาณ ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มี 9 อย่าง คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน กาลาเทีย 5.22-26
อยากรู้จักชีวิตของใคร แทนที่จะถามมนุษย์ขี้เหม็นที่ไม่สมบูรณ์ด้วยกัน จงเข้าไปสัมผัสพุดคุย สามัคคีธรรม ด้วยความรัก เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า คริสตจักรจะเป็นที่ที่ปลอดภัยและน่าอยู่มากที่สุดสำหรับบรรดาประชาชาติ เพราะที่นี่มีความรัก
ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขออภัยถ้าถ้อยคำรุนแรง
บทความนี้ไม่มีเจตนาจะต่อว่าใครส่วนตัวด้วยความสัตย์จริงแต่ประสงค์เพื่อจะเตือนสติและหนุนใจซึ่งกันและกัน
ด้วยรักในพระคริสต์
Ktm.worship
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น