วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระจนะบุฟเฟ่ต์


วันหนึ่งผมได้รับเชิญไปกินเลี้ยงงานวันเกิดพี่คนหนึ่งที่ห้าง
หนึ่งเป็นร้านอาหารเปิดใหม่ ที่มีคนต่อคิวรอเป็นหางว่าวมี
แต่คนรอที่จะเข้าเพราะเป็นช่วงโปรโมชั่นสุดพิเศษ ที่มา
สามคนแถมอีกหนึ่งคนและเป็นบุฟเฟ่ต์ด้วย คือกินเท่าไร
ก็ได้ไม่จำกัดจะยัดเท่าไรก็ได้ตราบที่จะยัดเข้าไปไหวภาย
ในกำหนดเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง

เอาล่ะครับทีนี้ก็เป็นช่วงของการทำเวลา ภาพพจน์ต่างๆ
คงต้องเก็บเอาไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าตะกละแต่ด้วยเวลาที่จำกัด
และอาหารที่มากมายที่เราอยากชิม จึงต้องรีบกินเพราะ
ต้องทำเวลาจนแน่นท้อง กินอาหารหลายอย่างมากจนไม่รู้
ว่าอะไรรสชาติเป็นยังไง ถามว่าอะไรอร่อยไหมก็ตอบยาก
เพราะรีบกินรีบทานจนไม่ทันได้สังเกตุหรือแช่อยู่กับรสชาติ
นั้นๆ

บางครั้งเราก็ทานอาหารแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราต้องเฝ้า
พระเจ้าตอนเช้า เรากำหนดเวลาให้กับพระองค์ ประมาณว่า
พระเจ้าข้าพระองค์มีเวลาเท่านี้นะ เราเฝ้าเดี่ยวแบบอาหาร
บุฟเฟ่ต์คือรีบกินๆและก็กิน ยัดๆเข้าไปและกลับไม่ค่อยได้
เรียนรู้อะไรเลย

เช่นเดียวกันอาหารฝ่ายวิญญาณก็ต้องการการเคี้ยวอย่างช้าๆ
เพื่อสุขภาพ และเพื่อประโยชน์อย่างเต็มที่

เราเคยเห็นวัวที่เคี้ยวหย้าไหมที่เราเรียกว่าวัวเคี้ยวเอื้อง มัน
จะไม่เดินไปเดินมาในระหว่างการกิน มันจะยืนอยู่นิ่งๆ และ
เคี้ยวหญ้าอย่างช้าๆ ย้ำๆ และคายออกมาและเคี้ยวกลับเข้าไป
ใหม่อีกครั้งหนึ่ง หนึ่งคำของมันใช้เวลาในการเคี้ยวนานมาก
ด้วยเหตุนี้ วัวจึงมีน้ำนมที่มีประโยชน์และมีคุณค่า

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบได้กับอาหารฝ่ายวิญญาณที่เราต้อง
ด้านกายภาพถ้าเราไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอร่างกายของ
เราจะเป็นเช่นไร คริสเตียนหลายคน พระวจนะนั้นช่างขมเสียจริง
และเขาก็จะงอแงเหมือนเด็กบางคนที่ไม่ชอบกินผัก การกินพระ
วจนะนั้นจึงเหมือนสิ่งที่ขมและไม่อยากจะสัมผัส

สมัยนี้อาหารเพื่อสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และหลาย
คนก็พยายามดูแลสุขภาพและขวนขวายที่จะหาอาหารเพื่อสุขภาพ
เพื่อตัวเอง แต่ทางตรงกันข้าม ร่างกายฝ่ายวิญญาณกับได้รับแต่
สารอาหารที่ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เลย และไม่ได้รับความใส่ใจที่จะ
ดูแลด้วยซ้ำ

1 เปโตร 2:2
เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอัน
บริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความ
รอด


เราต้องดื่มนมเพื่อที่เราจะมีร่างกายและสุขภาพที่ดีและสมบูรณ์
สดุดี 19:10 กล่าวว่าพระวจนะนั้นหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
แต่บางครั้งทำไมพระวจนะนั้นกลับขมอย่างกับบอระเพ็ด
แต่เปโตบอกเราว่า เราควรจะปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณคือ
พระวจนะมันเป็นรสนิยมที่ต้องปลูกฝังในเรา

เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ในฝ่ายวิญญาณ พระวจนะ
ไม่ใช่เพื่อให้หัวของเราเต็มด้วยพระวจนะข้อเท็จจริงแะความรู้
แต่ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต

อย่าให้เราอ่านพระวจนะหรือเฝ้าเดี่ยวและให้จบไปเร็วๆโดยที่ใน
หัวเรามีโปรแกรมต่างๆรอต่อคิวอยู่เพียบ ผมไม่ได้พูดให้คุณ
โต้แย้งว่า "ก็เธอไม่ยุ่งแบบฉันนี่" แต่ผมอยากหนุนใจว่าให้
เราใคร่ครวญพระวจนะซ้ำไปซ้ำมา และเราจะได้รับสิ่งใหม่ๆ
ในพระคัมภีร์ ดาวิดบันทึกว่า "ข้าพระองค์จะภาวนาข้อบังคับ
ของพระองค์ และจับตาของข้าพระองค์อยู่ที่วิถีทั้งหลายของ
พระองค์"
สดุดี 119:15
อย่าให้เราอ่านพระคัมภีร์แบบกินบุฟเฟ่ต์ แต่ควรกินอย่างช้าๆ
เพื่อให้ได้รับรู้ถึงรสชาติอย่างพิถีพิถัน นั่นแหละเราจะได้ประโยชน์
และคุณค่าทางอาหารแบบเต็มที่ เพื่อสุขภาพที่ดีฝ่ายวิญญาณของเรา

และเมื่อเรามีสุขภาพที่ดีและสมองที่ดีเหมือนโฆษณาแบรนด์ซุปไก่
เราจะสามารถแยกแยะความดีและความชั่ว สิ่งที่บ่งบอกความเป็นผู้
ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่การที่เราท่องพระวจนะได้เป็นเล่มๆ ไม่ใช่
การที่เรามีความจำที่ดีกว่าคนอื่น บางคนอาจจะอ่านพระวจนะและท่อง
แต่ก็ไม่สามารถจำได้ดีเท่ากับบางคนที่นานๆทีอ่านด้วยซ้ำ บางคน
ท่องได้แค่ข้อเดียว แต่บางคนอาจจะท่องๆได้หลายข้อ นั่นไม่ใช่ตัววัด
ถึงความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะจบ ด๊อกเตอร์ศาสนศาตร์ หรือไม่จบ
อะไรเลย แต่สิ่งสำคัญคือมันอยู่ที่ว่าเราใช้พระวจนะนั้นมากเพียงไร
ต่างหาก

"พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์
ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการ
อบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้า จะพรักพร้อมที่จะกระทำการดี
ทุกอย่าง"
2 ทิโมธี 3:16-17


ปีหน้านี้ 2011 เราต้องใจหรือยังว่าเราจะอ่านพระวจนะให้จบกี่รอบ



ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น