ท่านทั้งหลายจงมีเกลือในตัว
มก. 9:50 เกลือเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหมดรสเค็มแล้วจะทำให้เค็มอีกได้อย่างไร ท่านทั้งหลายจงมีเกลือในตัวและจงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข”มีเกลือในตัวหมายถึงอะไร ? มีเกลือในตัวนั้นเป็นสำนวน ถ้าเป็นสำนวนไทย “เค็มเป็นเกลือ” เกลือคือความเค็ม (เค็มยิ่งกว่าเกลือ) อาจจะตีความหมายได้ถึง ความงก, ตะหนี่, ขี้เหนียว, ขี้งก ถ้าอย่างนั้นพระคัมภีร์สอนให้เราเป็นคนตระหนี่ ขี้เหนียวหรือไม่ ?
ในสำนวนนี้ พระคัมภีร์บันทึกว่า “จงมีเกลือในตัว” หมายความว่า "ความประพฤติที่ดี" เราต้องเป็นคนที่มีชีวิตใหม่ มีวิถีการดำรงชีวิตใหม่ พระวจนะบอกว่า "อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้"
รม. 12:2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม
เราทั้งหลายมีเกลือในตัวไหม ? นั่นคือการทำดีประพฤติดีตามคำสอนและการทรงนำของพระเจ้า (พระวิญญาณบริสุทธิ์) พระคัมภีร์บันทึกว่า "เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์"
มธ. 5:13 ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ แต่นั้นไปก็ไม่เป็นประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งเสียสำหรับคนเหยียบย่ำ
มธ. 5:16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
เราไม่ได้ทำดี เพื่อให้ตัวเองดูดี เพื่อให้คนยกย่อง พระคัมภีร์สอนว่า อย่าทำดีเพื่อเอาหน้า หรือโอ้อวดเพื่อตัวเอง แต่เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระเกียรติ นอกจากพระคัมภีร์จะเปรียบผู้เชื่อเป็นเกลือเพราะในสังคมโลกที่กำลังจะเน่าเฟะเกลือสามารถรักษาอาหารไม่ให้เน่าได้ ผู้เชื่อต้องเป็นผู้ที่ทำให้สังคมและโลกนี้ได้ตระหนักถึงความรับผิดชอบร่วมกัน และรักษาโลกนี้ไม่ให้เน่าเฟะ พระคัมภีร์ยังเปรียบผู้เชื่อเป็นเหมือนดั่งตะเกียงในโลกที่มืดมิด ตะเกียงจะส่องแสงสว่าง เพื่อคนจะเห็นพระเยซู ดังนั้นเราต้องประพฤติดีให้แตกต่างไม่เป็นของโลกแต่เป็นแสงสว่างของพระเจ้า
ลก. 14:34 เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าแม้เกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้
ลก. 14:35 จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ทำปุ๋ยก็ไม่ได้ แต่เขาก็ทิ้งเสียเท่านั้น ใครมีหู จงฟังเถิด"
การทำดีก็คือการประพฤติตามพระวจนะ เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้า ตอนท้ายของพระวจนะ "ใครมีหูจงฟังเถิด" เราจะพบประโยคนี้บางตอนในพระคัมภีร์ในภาษาฮีบรูคือคำว่า "เชมา" (Shama) ซึ่งหมายความว่า
- Hear ได้ยิน
- Understand เข้าใจ รู้เรื่อง
- obey เชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง หรือตอบสนอง
Shama จึงไม่ได้เป็นการได้ยินอะไรเรื่อย ๆ แต่เป็นการสะสมของข้อเท็จจริง มันเป็น ความเข้าใจที่ชาญฉลาดและ การเชื่อฟังคำสั่งที่ตามมา นำไปถึงซึ่งการประพฤติที่ดี
ทต. 2:7 ท่านเองจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกด้าน ในการสอนอย่างจริงใจ จริงจัง
มธ. 5:48 เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม
การทำดี หรือการประพฤติดี อาจแปลได้อีกว่า "การกระทำอันชอบธรรม"
รม. 6:16 พวกท่านไม่รู้หรือว่าถ้าท่านยอมตัวรับใช้เชื่อฟังใคร ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรม ?
เอเฟซัส บทที่5 บันทึกว่า "ดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง"
อฟ. 5:6 อย่าให้ใครล่อลวงท่านทั้งหลายด้วยคำพูดที่เหลวไหล เพราะสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้พระพิโรธของพระเจ้าจึงมาถึงพวกที่ไม่เชื่อฟัง
อฟ. 5:7 เพราะฉะนั้นอย่ามีส่วนร่วมกับเขาทั้งหลาย
อฟ. 5:8 เพราะเมื่อก่อนท่านทั้งหลายเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตอย่างคนของความสว่าง
อฟ. 5:9 (เพราะว่าผลของความสว่างคือทุกอย่างที่เป็นความดี ความชอบธรรม และความจริง)
ชาโลม
ktm.Emunah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น