วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การให้อภัย

การให้อภัย 
คือหนึ่งในหัวใจของพระเจ้า

เอ่ยถึงเรื่องการให้อภัย หลายคนคงคิดในใจว่า เรื่องแบบนี้ที่คริสตจักรฉันมีสอนทุกอาทิตย์ ในชั้นเรียนคริสเตียนศึกษา ก็มีสอนแทบทุกชั้นเรียน แม้แต่ชั้นเรียนเด็กรวี ครูเด็กก็มักสอนเสมอว่า เด็กๆต้องเป็นคนที่รู้จักให้อภัยนะค๊า

เราเองได้ยินเรื่องการให้อภัยเสมอๆในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ก็สอนให้เราให้อภัย การให้อภัยเป็นสิ่งที่สำคัญ บางครั้งเราอาจจะเจ็บกับคนบางคน คนที่ไกลตัวนี่ไม่เท่าไร แต่บางครั้งคนใกล้ตัว หรือคนที่เรารักทำให้เราบาดเจ็บนี่น่ะสิ มันเจ็บลึกและยากที่จะให้อภัย


เราต้องรู้ว้าการไม่ให้อภัยเป็นการเปิดประตูที่กว้างให้กับซาตานเข้ามาเพื่อจะขยายอิทธิพลในชีวิตของคริสเตียน พระคัมภีร์หลายตอนหนุนใจและเตือนเราให้มีความรักและยกโทษให้กันและกันเพื่อป้องกันไม่ให้ซาตานเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตเรา


ในมัทธิว 18:21 เป็นต้นไปพูดถึง คำอุปมาเรื่องเจ้าหนี้ที่ไม่ยอมให้อภัย
เมื่อเปโตรถามพระเยซูว่าเมื่อมีคนทำผิดต่อเรา เราควรยกโทษให้กี่ครั้งดี เจ็ดครั้งหรือ เลขเจ็ดบ่งบอกถึงความบริบูรณ์ เจ็ดครั้งพอไหม เป็นจำนวนการยกโทษที่เปโตรคิดไว้ แต่พระเยซูตรัสตอบเปโตรว่า ไม่ใช่เจ็ดครั้ง แต่ เจ็ดสิบคูณเจ็ด


หมายความว่าเราเองไม่ควรคอยจดจำว่าเรายกโทษให้ใครไปกี่ครั้งแล้ว แต่พระเยซูสอนเราว่า เราควรยกโทษให้คนที่กลับใจแล้ว ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็จงยกโทษเสมอไป


ในคำอุปมา เมื่อกษัตริย์องค์หนึ่งจะสะสางบัญชีกับข้าราชบริพาร เมื่อคนเป็นหนี้หมื่นตะลันต์ (ราวหลายสิบล้านบาท)ถูกนำตัวมาพบเพราะเขาไม่สามารถชำระหนี้ ข้อแม้คือขายสิ่งของหรือยึดทรัพย์ แต่เมื่อข้าราชบริพารคนนี้คุกเข่าขอร้อง กษัตริย์สงสารจึงยกหนี้ให้และปล่อยตัวไป


แต่เมื่อเขาออกมาพบเพื่อนของเขาซึ่งเป็นหนี้ อยู่ร้อยเดนาริอัน เขาจับเพื่อนเค้นคอและขู่ให้ชดใช้หนี้ แม้เพื่อนคนนั้นจะคุกเข่าขอร้องก็ตาม


ในสมัยก่อนการไม่ชดใช้หนี้ เจ้าหนี้สามารถจับลูกหนี้ทำงานชดใช้จนกว่าจะใช้หนี้ครบ
พระเจ้าเองทรงเห็นเรามีหนี้มากมายมหาศาลมากจนแม้ชีวิตก็ชดใช้ไม่ได้ แต่พระองค์ยกหนี้ของเราให้หมดแล้ว พระองค์ชำระหนี้แทนเรา เพราะค่าจ้างของความบาปคือความตาย พระเจ้าได้มาตายชดใช้หนี้แทนเรา มันเป็นการชดใช้หนี้ที่มากมายมหาศาลจริงๆของคนทั้งโลก เราขอบคุณพระเจ้าที่เราได้รับการยกหนี้


แต่หลายคนกำลังจมอยู่กับการไม่ให้อภัยและเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน หลายคริสตจักรมีข้ออ้างมากมายซึ่งจะมีความเกลียดชังพี่น้องและไม่เข้าร่วมโดยอ้างเหตุผลอื่น แต่ซ่อนไว้ซึ่งความเจ็บปวดนี่เป็นกลอุบายหนึ่งของซาตานที่ต้องการแยกพระกายพระคริสต์ออกจากพระเยซูและแตกแยกกันเอง หลายคนหรือแม้แต่ในระดับคริสตจักร มีการไม่ลงรอยกัน ความเห็นไม่ตรงกัน มีความขัดแย้งซึ่งกันและกัน และเกิดความไม่พอใจกันโกรธกัน และเลิกที่จะร่วมมือรับใช้ด้วยกัน ไม่ว่าเราจะมีเหตุผลอะไรก็ตามไม่มีเหตุผลไหนสำคัญเท่ากับการที่พระเจ้าบอกเราว่าให้ให้อภัย


บาปที่บางคนหรือเหตุการณ์บางอย่างที่คนทำให้เราเจ็บปวด ไม่ได้มากไปกว่าบาปที่เราทำเสียเองด้วยซ้ำ พระเยซูโปรดชดใช้หนี้ให้เราหลายล้านบาท แต่เราเองกลับไม่ยอมยกหนี้ให้เพื่อนบ้านพี่น้องที่เป็นหนี้เราไม่กี่ร้อยบาท


เพราะว่าพระเจ้าทรงอภัยบาปผิดทั้งหมดทั้งสิ้นของเราแล้ว เราไม่ควรจะผูกใจโกรธไม่ให้อภัยคนอื่น เมื่อใดที่เราไม่ให้อภัยคนอื่นเรากำลังวางตัวอยู่นอกความรักของพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก


จงใช้ความรักและเป็นความรักของพระเจ้าที่อยู่ในเรา เราไม่สามารถยกหนี้มากมายให้ใครได้เพราะมันเกินกำลังของเรา แต่ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่มากมายนัก จงใช้ความรักของพระเจ้า


ลูกา 17:4 แม้เขาจะผิดต่อท่านวันหนึ่งเจ็ดหน และจะกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดหนนั้น แล้วว่า "ฉันกลับใจแล้ว" จงยกโทษให้เขาเถิด"


จงกล้าที่จะยกโทษให้กับคนที่กลับใจและกล่าวคำขอโทษ แม้เขาจะไม่กล่าวคำขอโทษเราเองก็ต้องยกหนี้ยกโทษให้กับเขา


1 เปโตร 3:8-9 ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้ามจงอวยพรแก่เขา ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงเรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพระพร


พระคัมภีร์ตอนนี้หนุนใจเราไม่ให้ทำการร้ายตอบแทนการร้าย หลายครั้งอารมณ์ของเรามักระเบิดออก ความโกรธนั้นไม่ได้บาป แต่ที่โกรธแล้วบาปเพราะเมื่อโกรธก็เป็นการเปิดช่องว่างให้ซาตานครอบครองและควบคุมให้ตอบแทนและโต้ตอบด้วยสิ่งที่ไม่ได้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เราอาจจะโต้เถียงกันด้วยอารมณ์และถ้อยคำที่ไม่สมควรเป็นต้น


ไม่เพียงแค่นั้นพระคัมภีร์บอกอะไรที่สวนกระแสมากๆคือ จงอวยพรแถมเข้าไปเป็นโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม เพราะนี่ต่างหากคือน้ำพระทัยของพระเจ้า


เอเฟซัส 4:32 และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้ท่านในพระคริสต์นั้น


การที่เราให้อภัยคนอื่นจริงอยู่พระวจนะบอกว่าเมื่อเราภัยยกโทษกับผู้ใดพระเจ้าก็จะทรงโปรดยกหนี้ให้เราด้วย แต่นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ของการยกโทษ พระเจ้าไม่ได้ยกโทษให้เราเพราะเรายกโทษให้คนอื่น แต่เพราะความรักของพระองค์ และพระองค์ให้เราเข้าใจและมีหัวใจแบบพระองค์คือหัวใจที่มีความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และยกโทษให้กับคนอื่น


เมื่อเราเองได้รับการยกโทษ เราก็ควรส่งต่อไปสู่ผู้อื่นที่ยังมีหนี้อยู่เหมือนเราที่เคยมี และได้รับการยกโทษ ผู้ใดที่ยังไม่ยกโทษเขาก็ยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระคริสต์ ลองคิดดูสิครับ
พระเจ้ายกโทษให้แม้คนที่เยาะเย้ยพระองค์และประหารพระองค์บนกางเขน
เราต้องสำแดงความรักและสำแดงพระเจ้าที่อยู่ในเราคือพระเจ้าที่ให้อภัย เหมือนหญิงโสเภณีคนหนึ่งที่ประชาชนจะฆ่านางเสียให้ได้ แต่พระเยซูผู้เดียวที่ปกป้องและให้อภัยและไม่เอาโทษเธอเลย การให้อภัยอาจจะทำให้คนๆหนึ่งหลุดจากพันธนาการหรือได้รับชีวิตใหม่ได้


2 โครินธ์ 2 :10-11 ถ้าพวกท่านจะยกโทษให้ผู้ใด ข้าพเจ้าก็จะยกโทษของผู้นั้นด้วย ถ้าข้าพเจ้ายกโทษของคนใดๆข้าพเจ้าได้ยกโทษของคนนั้น เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายต่อพระพักตร์พระคริสต์ เพื่อไม่ให้ซาตานมีชัยเหนือเรา เพราะเรารู้กลอุบายของมันแล้ว


มัทธิว 6:14,15 เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน


บางครั้งมันเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่เราจะขอการยกโทษจากพระเจ้า แต่กลับยากที่จะยกโทษให้กับคนอื่น เมื่อเราขอการยกโทษจากพระเจ้าครั้งใด ลองถามตัวเองดูสักหน่อยว่า เรายกโทษให้กับคนที่ทำผิดต่อเรา หรือทำให้เราเจ็บหรือยัง


มัทธิว 5:44 แต่เราสั่งให้ท่านรักศัตรู และอธิฐานภาวนา ให้ผู้ที่กระทำผิดต่อท่าน


ฟาริสีในพระคัมภีร์ผู้ที่เคร่งครัดแต่เปลือกนอก สอนให้คนเรารักแต่คนที่น่ารัก หรือรักแต่คนที่รักตอบ และจงเกลียดศัตรู แต่พระเยซูเรียกเราไม่ให้แก้แค้น นี่เป็นการป้องกันเราไม่ให้พยายามค้นหาความยุติธรรมด้วยกำลังของตนเอง จงอธิษฐานเผื่อศัตรูและเอาชนะความชั่วด้วยความดี
คนที่จะทำเช่นนี้ได้มีเคล็ดลับคือถวายชีวิตให้กับพระเจ้า ให้พระเจ้าครอบครองชีวิตของเรา เราต้องพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะช่วยเราให้สามารถรักคนที่ไม่น่ารักได้เลย


ลูกา 6:37 อย่า วินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขาและท่านทั้งหลายจะ ไม่ถูกกล่าวโทษ  จงยกโทษให้เขาและเขาจะยกโทษให้ท่าน


บางคนไม่เพียงไม่ให้อภัยกลับวินิจฉัยตัดสินโทษของพี่น้องพระเยซูให้เห็นภาพของการตวงทะนาน เมื่อเราตวงด้วยทะนานใดเราเองก็จะเจอแบบนั้นด้วย ถ้าเรามัวแต่วิพากษ์วิจารณ์ ตัดสินแทนที่จะมีความรักเห็นอกเห็นใจ และให้อภัย เราเองก็จะเจอสิ่งนั้นด้วย กฎของการหว่านสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น คือพระพรที่จะกลับมาหาเรา


การไม่ให้อภัยยังเป็นตัวขัดขวางไม่เพียงแต่พระพร แต่ขวางความก้าวหน้าในชีวิตที่เราน่าไปไปถึงตั้งนานแล้ว 


มัทธิว 5:22-26 เราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า "อ้ายโง่" ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า "อ้ายบ้า" ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก


เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน


จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน


จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ
เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้กว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ


ความโกรธหรือการไม่ให้อภัยจนเกิดรอยแยกระหว่างความสัมพันธ์เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้ามีรอยร้าวด้วย เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการและพระองค์ก็ไม่ทรงพอพระทัย หากเรายังมีปัญหาหรือบาดเจ็บกับใคร โกรธใคร พระคัมภีร์บอกเราว่าจงแก้ไขให้เร็ว เมื่อเราบอกข้าพระองค์รักพระองค์แต่ยังโกรธยังเกลียดพี่น้องคนอื่น พระคัมภีร์บันทึกว่าเราก็เป็นเพียงคนหน้าซื่อใจคดไม่ต่างกับพวกฟาริสี


ท่าทีของเราต่อผู้อื่นสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าด้วย
อย่าให้เราต้องขึ้นศาลเลยเพราะการปรองดองหรือไกล่เกลี่ยกันข้างล่างย่อมดีกว่าเป็นเรื่องฟ้องกันถึงศาล เมื่อเราจะไปพบพระเจ้าไม่ใช่แค่เพียงหลังความตาย แต่ความสัมพันธ์ระหว่างวันที่เราต้องสัมพันธ์กับพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการเฝ้าเดี่ยว หรือการนมัสการ พระเจ้าให้เราคืนดีกับพี่น้องเสียก่อน


พระเจ้าให้เรายกโทษอย่างสุดใจของเรา การให้อภัยนั้นมีเสรีภาพสำหรับเรามาก การให้อภัยไม่ใช่การพยายามลืม โลกนี้อาจจะบอกว่า จงให้อภัย และลืมเสีย ฟังดูแล้วดุเหมือนจะดูดีแต่เราไม่สามารถลืมบางสิ่งได้ พระเจ้าตรัสว่าจะไม่จดจำความบาปของเรา


ในฮีบรู 10:17
แล้วตรัสต่อไปว่า "และเราจะไม่จดจำบาปกับการอธรรมของเขาทั้งหลายอีกต่อไป



ในความเป็นจริงแล้วพระเจ้าไม่เคยลืมสิ่งใด พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เมื่อพระองค์บอกว่าจะไม่จดจำความบาปนั่นหมายความว่า พระองค์จะไม่รื้อฟื้นมาเอาผิดกับเราหรือขุดคุ้ยมาเอาผิดกับเรา การลืมไม่ได้เป็นการนำไปสู่การให้อภัย การขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆมา เราก็ไม่มีการให้อภัยอย่างแท้จริง การให้อภัยไม่ยากเกินกำลังของเราเพราะพระเจ้ารู้ความจำกัดของเรา


การให้อภัยต้องจ่ายราคาที่สูง เพราะเป็นการยอมรับผลเสียของอีกฝ่ายหนึ่ง จงยอมรับความเจ็บปวดและให้พระเจ้าจัดการกับความเจ็บปวด เราต้องยอมรับกับพระเจ้าว่าเราเจ็บ โกรธ เจ็บใจและเกลียดชัง อยากจะแก้แค้น เมื่อนั้นพระเจ้าจะจัดการกับมัน การบำบัดรักษาจะเกิดขึ้น


เหนื่อยมานานแล้วหรือยังกับการที่ต้องแบกอะไรมากมายไว้กับตัวเอง และมันก็ไม่หลุดไปสักที โกรธเขาไม่ให้อภัยเขา ทั้งที่บางครั้งเขาก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไร หรือมาแบกอะไรร่วมกับเราเลย วางภาระนั้นลงให้พระเยซูจัดการ วางไว้ที่กางเขนของพระองค์ พระเยซูทรงรู้วิธีการจัดการกับสิ่งเหล่านั้นมากกว่าเรา ที่ไม้กางเขนนั้นมีการให้อภัยที่ยิ่งใหญ่
เวลานี้มีใครไหมที่เรายังไม่ให้อภัย จงให้อภัยแก่เขา และก้าวต่อไปข้างหน้า


ขอบคุณพระเจ้า
ด้วยรักในพระคริสต์
ขอพระเจ้าอวยพระพร
Ktm.worship

2 ความคิดเห็น:

  1. การวางเฉย ต่างคนต่างอยู่ โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกต่อไป คือการแสดงออกของการให้อภัย ได้หรือเปล่าคะ

    ตอบลบ
  2. การวางเฉยคือการพยายามควบคุมตนเองไม่ให้มีเรื่องเท่านั้นนะครับ การให้อภัยแบบยาชูวาห์ หรือ พระเยซูกระทำนั้นคือยกโทษ ให้อภัยคนที่ทำกับเราด้วยความรัก มันคือการสวนกระแสอย่างแรง ถ้าคุณเป็นผู้เชื่อคือเป็นคริสเตียน การอภัยคือการคืนดี เมื่อเรามองที่ตัวเรา เราเองก็ต้องการให้พระเจ้าให้อภัยเราเช่นกัน พระวจนะตอนที่บอกว่าเมื่อเราจะเข้าไปถวายเครื่องบูชานั้น เครื่องบูชาดีเลิศแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่พระองค์ตรัสว่า จงวางเครื่องถวายบูชาและกลับไปคืนดีกับพี่น้องคนนั้นเสีย นี่ภาพของกายเดียวกันที่ต้องคืนดีกันไม่ให้เป็นเชื้อร้ายที่จะทำให้กายไม่สมบูรณ์ครับ

    ตอบลบ