วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

พระเจ้าตรัสว่า... จริงหรือ? (2)

พระเจ้าตรัสว่า... จริงหรือ? (2)
ในการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ ความเชื่อของเรา เมื่อเราจะกระทำสิ่งใด หรือเราจะจัดการเรื่องหนึ่งเรื่องใด ยิ่งในฐานะผู้เชื่อคนหนึ่ง หัวหน้า หรือผู้นำ คำกล่าวที่มักได้ยินเสมอว่า "พระเจ้าบอกให้ทำ" คำว่า พระเจ้าตรัส หรือ พระเจ้าสั่ง หรือพระเจ้าให้ทำ เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดเพราะพระเจ้าสามารถกระทำสิ่งนั้นได้จริงๆ ในยุคนี้

พระองค์ตรัสผ่านพระวจนะหรือพระคัมภีร์ พระองค์ตรัสผ่านความฝันหรือนิมิต หรือบางคนเห็นเป็นภาพ เห็นเป็นเป็นตัวเลข บางคนใช้คำว่า “รู้สึก” เช่น “รู้สึกพระเจ้าตรัสกับฉันว่า รู้สึกว่าพระเจ้าให้ทำสิ่งนี้”
พระองค์ตรัสผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ และอีกหลายทาง ฯลฯ แต่สิ่งที่เราต้องระมัดระวังคือ พระเจ้าตรัส “จริงหรือ” บางสิ่งอาจจะดูดี บางสิ่งอาจจะมีประโยชน์ บางสิ่งอาจจะสำเร็จตามที่ได้เชื่อและพูดออกไป และบางสิ่งผิดหวัง ล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกครั้งพระเจ้าตรัสหรือให้ทำ

ก่อนจะกระทำสิ่งใด หรือใช้อำนาจที่เรามีสั่งให้ใครกระทำสิ่งใดโดยกล่าว่า “พระเจ้าบอกกับฉันว่าต้องทำ” หรือ “ฉันเห็นภาพว่าต้องกระทำ” โดยไม่มีการวินิจฉัยและใช้พระคัมภีร์เป็นรากฐานความเชื่อ อาจจะเป็นการกล่าวอ้างพระนามของพระเจ้าโดยไม่สมเหตุสมผล หรือไม่สมควร

ถ้าเราจะออกไปประกาศข่าวประเสริฐ นั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่หากเราอยากไปสถานที่หนึ่ง ในความคิด มีภาพสถานที่นั้นขึ้นมาในความคิดและสมอง มีเหตุผลมากมายที่ควรไปที่นั่น และกล่าว่า “พระเจ้าบอกฉันว่าต้องไปที่นี่” ดังนั้นทุกคนต้องไป เพราะพระเจ้าบอกให้ไป สิ่งนั้นอาจจะเป็นเพียงเส้นบางๆที่เป็นเพียงความรู้สึก และรอการตัดสินใจของเราเอง

เมื่อไปประกาศแล้วไม่เกิดผล และเกิดปัญหา ก็ย่อมวินิจฉัยได้ว่า พระเจ้าสั่งหรือไม่ เพราะพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ความจริงก็เป็นอย่างนั้น เมื่อพระเจ้าสั่งให้ทำอะไร หรือให้ไปที่ไหน ในพระคัมภีร์บันทึกชัดเจนว่า คุณจะมีชัยชนะ และจะเกิดผลอย่างแน่นอน

ดังนั้นควรวินิจฉัยก่อนที่จะทำอะไรโดยฟังประโยชน์ที่ว่าพระเจ้าบอก แม้จะได้ยินด้วยตนเอง หรือฟังผ่านใครคนใดคนหนึ่ง เป็นสิ่งที่ดีที่เมื่อจะทำอะไรแล้วอธิษฐานก่อน แต่ถ้าอธิษฐานถามพระเจ้าแล้ว บางคนเห็นรูปหัวใจ (หัวใจการ์ตูน) บางคนเห็นตัวเลข บางคนเห็นพระเยซูมา ใส่ชุดแบบนี้ บางคนเห็นซาตาน และเห็นทูตสวรรค์ เห็นทูตสวรรค์มีปีกสองข้าง เป็นเด็กบ้าง บางคนเห็นกลม ๆ บนหัว

แน่นอนพระคัมภีร์ไม่มีบันทึกไว้หรอกครับ แต่ให้เราระมัดระวัง ถ้าเป็นระดับส่วนตัวเราก็อาจจะมีเวลาใคร่ครวญ แต่หากเป็นภาพรวมแล้วออกไปพูด คำพูดนั้นใครรับผิดชอบ ถ้าสิ่งที่ใครก็ตาม เห็นเป็นภาพ เป็นนิมิต ได้ยินเสียง แต่ออกนอกกรอบพระคัมภีร์ เราก็ไม่ควรเชื่อ หรืออาจจะต้องไตร่ตรองวินิจฉัยว่าสิ่งนั้นมาจากพระเจ้าหรือไม่ ผู้เชื่อดำเนินชีวิตอย่างสุดใจในความเชื่อ และรักพระเจ้า แต่ไม่เคยเห็นภาพ ไม่เคยได้ยินเสียง และไม่ได้เห็นนิมิตใด ๆ เลยนี่ไม่ใช่สิ่งผิดปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่น่าเป็นห่วงมากเท่ากับ คนที่เห็นโน่นเห็นนี่ ภาพนั้น ภาพนี้หรือ ได้ยินเสียงโน่น เสียงนี่ อยู่เรื่อย ๆ

ยก. 1:19 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

พระคัมภีร์สอนเราว่า ไวในการฟัง และช้าในการพูด หากเราได้ยินและสรุปโดยเร็วว่านี่คือเสียงของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสกับฉันแบบนี้ ดังนั้นทุกคนจงทำ ผมเคยอยู่ในการการนมัสการหนึ่ง และมีพี่น้องคนหนึ่งออกมาและบอกว่า “พระเจ้าตรัสกับฉันว่า การนมัสการเศร้ามาก ให้ทุกคนเต้น และกระโดด และตะโกน 7 ครั้ง” ฟังดูแล้วอาจจะเหมือนดูดีมาก เราต้องแยกออกว่า เรารู้สึกอยากให้พี่น้องเต้นเองและออกไปหนุนใจ หรือ พระเจ้าพูดอย่างนั้นจริง ๆ

อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องการเผยพระวจนะ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่คล้ายกันว่า เสียงนั้นมาจากพระเจ้าหรือความรู้สึกของเรา เพราะหากไม่ระวัดระวัง จะกลายเป็นการเผยพระวจนะเทียมเท็จไป

1ยน. 4:1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก

มก. 13:21 ในเวลานั้น ถ้าใครจะบอกพวกท่านว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘นี่แน่ะ ท่านอยู่ที่โน่น’ ก็อย่าเชื่อ
มก. 13:22 เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อล่อลวงคนที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้
มก. 13:23 ฉะนั้นจงระวังให้ดี เราบอกท่านทั้งหลายทุกอย่างไว้ก่อนแล้ว

ขอพระยาห์เวห์อวยพระพรท่าน
ชาโลม
ktm.Emunah

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น