วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บุคลิกภาพ

บุคลิกภาพ

บุคลิกภาพ
เมื่อพูดถึงคำว่า บุคลิกภาพนี่ ภาพที่เข้าใจมักเป็นคนที่วางตัวดี
วางตัวเหมาะสม การแต่งตัวดี แต่บุคลิกภาพที่ผมจะพูดถึงวันนี้
ไม่ใช้ภาพที่กล่าวข้างต้น ไม่ใช่เพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอกเท่า
นั้นแต่เป็นสิ่งที่อยู่ภายในด้วย
มีคนให้คำจำกัดความบุคลิกภาพว่า การยึดมั่นในคุณธรรม
และจริยธรรม

จำเป็นหรือที่คริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าต้องมีบุคลิกภาพที่ดี พระ
เจ้ามองดูสิ่งเหล่านี้ด้วยหรือ? อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่าไม่ใช่
ความพยายามที่สร้างขึ้นเพื่อการยอมรับ ไม่ใช่การแต่งตัวดีใส่
สูทโก้หรูนั่นไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญ

การพัฒนาบุคลิกภาพคือการวางใจในพระองค์ ไม่ใช่วางใจเพียง
แค่ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ต้องวางใจในทุกสถานการณ์วางใจเมื่ออยู่ใน
สถานการณ์ที่ดี และเป็นที่น่าพอใจ และวางใจแม้ต้องเผชิญสถาน
การณ์ที่ย่ำแย่และยากลำบาก

มันยากแน่นอนที่เราจะวางใจในสถานการณ์ที่เลวร้าย แต่เมื่อเรากล้า
ที่จะวางใจเราก็ได้ก้าวเข้าสู่การพัฒนาบุคลิกภาพของเราด้วย
เมื่อครั้งหนึ่งผมจะขับรถไปทำธุระที่ผมให้ความสำคัญมากงานหนึ่ง
ด้วยความมีสันติสุข แต่จู่ๆรถที่จะขับไปสตาร์ทไม่ติดซะแบบนั้น
มี2ตัวเลือกที่คุณต้องเลือกใช้ในเวลานั้นคือปลดปล่อยคำพูดใน
แง่ลบออกมา บ่นด้วยถ้อยคำที่เป็นแง่ลบ และมีปฏิกิริยาทีหัวเสีย
สุดๆ เหมือนอิสราเอลที่บ่นและขาดความเชื่อในถิ่นทุรกันดาร
หรือเลือกที่จะนิ่งสงบและวางใจในพระเจ้าที่พระองค์จะประทาน
หนทางให้ สงบเพื่อฟังเสียงพระองค์

ให้เรามีบุคลิกภาพที่ดีเลือกที่จะพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกับมันยิ่งเรา
มีบุคลิกภาพที่ดีมากขึ้นแค่ไหน พระเจ้าก็จะปลดปล่อยสิ่งดีๆ ตลอดจน
ความสามารถในเราให้มีมากยิ่งขึ้น

เราเองต้องมีความหนักแน่นมั่นคงในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ก็คือการ
เชื่อวางใจอย่างสุดๆในองค์พระผู้เป็นเจ้านั่นเอง อย่างไม่มีข้อสงสัย
ใดๆเลย เพราะเมื่อพระเจ้าเองจะปลดปล่อยบางสิ่งบางอย่างในเรา
พระองค์จะมองเราด้วยว่าเราพระองค์จะมองดูที่ศักยภาพและ
บุคลิกภาพของเราว่าจะมีรองรับสิ่งที่พระองค์จะประทานให้หรือไม่

ทุกคนสามารถมีบุคลิกภาพที่ดีได้ เราทำได้ก็คือความเชื่อของเรานั่น
เองและความไว้วางใจในพระองค์ ที่จะทำให้เราพัฒนาบุคลิกภาพ
เพื่อคู่กับการรับใช้ตามของประทานของเรา ทุกคนมีของประทานแน่
นอนแต่ใครที่คิดว่าทำไมของประทานที่เรามีถึงไปไม่ถึงไหนสักที ?
ก็เพราะว่า บุคลิกภาพที่ดีมีเพื่อพระเจ้าเองจะไว้วางใจในตัวเรา และ
กล้าที่จะใช้เรา มอบงานใหญ่ๆให้เราเพื่อเราจะหนักแน่นมั่นคง ยืน
หยัดได้ ด้วยความเชื่อและวางใจ ไม่สะทกสะท้าน ไม่หันไปเหมาตาม
สิ่งรอบข้าง เมื่อนั้นแหละที่เราจะพบกับสันติสุข ความมั่นคงหนักแน่น
ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายเช่นใด

ผมขออนุญาตยกภาพให้เห็นว่าบุคลิกภาพนั้นมีผลกระทบเช่นใด
บางคนเป็นนักเทศที่มีคำสอนที่ดีมากๆ บางคนอ่านพระวจนะ อ่าน
หนังสือหลายต่อหลายเล่มจนมีถ้อยคำมากมาย พระวจนะเต็มหัว
ไปหมดแต่ทำไมชีวิตของเค้าคนนั้นในวันปกติ ถึงไม่เป็นหรือดำเนิน
ตามคำสอนที่เค้าสอน คำหนุนใจและคำอธิฐานที่ยอดเยี่ยมที่เค้ามี
ไม่สอดคล้องกับการตอบสนองที่เค้าทำ
แล้วแบบนี้คุณหวังอะไรหรือ หวังให้คนรอบข้างหรือคนที่ฟังคุณเชื่อ
ฟังสิ่งที่คุณสอนหรือ แน่นอน..! สิ่งที่คุณสอนมันถูกต้องตามพระคัมภีร์
แต่บุคลิกภาพของคุณต่างหากที่เป็นอุปสรรค !

บุคลิกภาพจอมปลอมที่เสแสร้ง
จงระวังที่จะทำดีเพื่อเอาใจคนอื่น หรือเป็นเพราะหน้าที่ที่บังคับเรา
และทำโดยไม่ได้เต็มใจ ไม่ได้ออกมาจากใจ หลายคนมีบุคลิกภาพที่ดี
แค่เพียงภายนอก เพียงเพื่อเอาใจคนอื่น แต่เมื่อใดก็ตามที่ของปลอม
เจอบททดสอบ เขาก็จะกระเจิง และขาดความมั่นคงทันที

1ระหว่างนั้นคนเป็นอันมากนับเป็นพันๆชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่  
พระองค์ทรงตั้งต้นตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ก่อนว่า  
“ท่านทั้งหลายจงระวังเชื้อของพวกฟาริสี   ซึ่งเป็นคนหน้าซื่อใจคด
2แต่ไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย   หรือการลับที่จะไม่เผยให้
ประจักษ์ 3เหตุฉะนั้นสิ่งสารพัดซึ่งพวกท่านได้กล่าวในที่มืด จะได้ยินใน
ที่แจ้ง   และซึ่งได้กระซิบในหูที่ห้องส่วนตัว   จะต้องประกาศบนดาด
ฟ้าหลังคาบ้าน
ลูกา 12:1-3
เจ้านายคนหนึ่งเป็นทั้งผู้รับใช้ และมีธุรกิจส่วนตัว ในบริษัทของ
เค้ามีพนักงานคนหนึ่งชื่อ เอ เอเป็นพนักงานใหม่ที่ตั้งใจทำงาน
แต่ครั้งหนึ่งที่เค้าทำงานผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ และเกิดผลกระ
ทบต่องานด้วย เราคงคิดว่า เอ คงโดนด่ายับเยิน เรียกมาด่าใน
ห้องและต่อว่า เอต่อหน้าพนักงานหลายคนจน เอ รู้สึกอับอาย
ขายหน้าและถูกไล่ออก หรือตัดเงินเดือน
เป่าเลย เจ้านายกลับเรียก เอมา และบอกว่า ไม่เป็นไรคนเรา
ผิดพลาดกันได้ ผมจะให้โอกาสคุณอีก คุณต้องระวังให้มากกว่า
นี้นะ
เมื่อเราผิดพลาดเราเองก็อยากได้ยินคำจากพระเจ้าว่า “ไม่เป็นไรนะ
กลับใจใหม่และอย่ากลับไปทำอีก เราจะอยู่กับเจ้า เราจะเคียงเจ้า
และประคองเจ้าเดินไป”
ใช่พระเจ้าเองก็คงมีถ้อยคำหนุนใจเช่นนี้ ในชีวิตเรามีข้อผิดพลาดเสมอ
และเราก็ได้รับการอภัยหลายครั้ง เมื่อเรามีบุคลิกภาพอย่างพระเยซู
เราควรจะมีท่าทีกับพนักงานคนนั้นแบบ เจ้านายคนนี้
(ผมไม่ได้หมายความว่า ทำผิดก็ใจดีหมดจน ได้ใจกัน)
พระเจ้าเองก็มีวิธีการของพระองค์ จงเรียนรู้วิธีการและบุคลิก
ภาพจากพระองค์

จากนั้นมา นายเอ ก็ซาบซึ้งในความใจดีและเมตตาของเจ้านาย
ที่ยกโทษในความผิดพลาด แถมยังให้กำลังใจ อีกด้วย
รู้ไหมอะไรเกิดขึ้น จำได้ไหมเจ้านายคนนี้เป็นผู้รับใช้ที่เทศนาสั่งสอน
ในคริสตจักรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งด้วย นั่นแหละ นายเอ เป็นสมาชิก
คนหนึ่งในคริสตจักร เค้าฟังคำสอนและบุคลิกภาพของพระเยซูที่ถ่าย
ทอดออกมาจากการเทศนา แต่ถ้า เหตุการณ์นี้เค้าไม่ได้รับความเมต
ตาหรือเป็นที่รองรับอารมณ์ล่ะ
เจ้านายคนนี้คิดในใจว่า ถ้าเค้าด่านายเอ ด้วยอารมณ์โกรธตอนนั้น
เขาคงรู้สึกขัดแย้งในใจแน่ๆ และใครจะยังอยากมาเป็นคริสเตียนล่ะ
ถ้าเป็นคริสเตียนแล้วยังเป็นแบบนี้
ท่านจงประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกสิ่งและ
ในการ สอนจงสุจริตและมีใจสูง
ทิตัส 2:7


สดุดี 62:8
บอกเราว่า “8ประชาชนเอ๋ย  จงวางใจในพระองค์
ตลอดเวลา  
 จงระบายความในใจของท่านต่อพระองค์  
 พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยของเรา”
พระเยซูเองไม่เคยทำบาปเลย ไม่พูดโกหเลย เมื่อโดนต่อว่าหรือด่า
ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย พระองค์ไม่เคยหยาบคายตอบ ไม่เคยทำ
ชั่วตอบแทนการชั่ว เมื่อต้องถูกทรมานด้วยข้อกล่าวหาลอยๆ ไม่มี
หลักฐาน พระองค์ไม่ทรงคิดแก้แค้น หรือมีความแค้นมาดร้าย
แต่พระองค์ยกเรื่องทั้งหมดและมอบกลับพระเจ้าผู้ทรงพิพากษา
อย่างยุติธรรม
อย่าลืมบุคลิกภาพที่เหมาะสม หรือไม่เมาะสมของเรามีความสำคัญ
กับโลกนี้ด้วย
ใช่พระองค์เป็นพระเจ้าก็เลยทำทุกอย่างให้บริสุทธิ์ได้ เราเป็นมนุษย์
จะเป็นแบบพระเจ้าได้อย่างไร
พระประสงค์ของพระองค์คือ เพื่อพระเยซูจะเป็นแบบอย่างให้เรา
ว่าแม้เป็นมนุษย์พระองค์ก็ทรงทำได้ เพื่อเราจำเนินตามและพระองค์
จะอยู่เคียงข้างเรา
บุคลิกภาพที่ดีมีผลต่อสังคมและโลกนี้แน่นอน เพราะถ้าไม่สำคัญ
พระเยซูคงไม่มาทำเพื่อเป็นแบบอย่างให้เราสืบต่อไป นั่นคือ
บุคลิกภาพที่เราควรเอาแบบอย่าง

เพราะพระเจ้าทรงใช้ท่านสำหรับเหตุการณ์ เช่นนี้เพราะว่า
พระคริสต์ก็ได้ทรงทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลายให้เป็น
แบบอย่างแก่ท่านเพื่อท่านจะได้ ดำเนินตามรอยพระบาท
ของพระองค์

พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปเลย   และไม่ได้ตรัสคำเท็จเลย
เมื่อเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์   พระองค์ไม่ได้ทรง
กล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย   เมื่อพระองค์ทรงทนทุกข์  
พระองค์ไม่ได้ทรงมาดร้าย   แต่ทรงมอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่
พระเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรม
1 เปโตร 2:21-23

ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ1 กรกฎาคม 2553 เวลา 08:50

    เมื่อเราติดสนิทกับพระเจ้าดังเุถาองุ่นกับแขนง เราจะซึมซับบุคลิกภาพที่พระเจ้ามีเค้าไปโดยปริยาย อธิบายง่ายๆ คือมนุษย์เรามีสังคม หนึ่งคนอาจจะมีสังคมมากกว่า 1 - 2 กลุ่ม สังคมที่ทำงาน สังคมที่บ้าน สังคมเพื่อนเก่า สังคมศาสนา แต่ละสังคมการแสดงออกของเราก็แตกต่างกัน ค่านิยมในสังคมก็แตกต่างกัน ดูไม่ยาก เอาแบบจะจะกันไปเลย เมื่อเราอยู่ในสังคมศาสนา การวางตัว การแต่งตัว ที่สำคัญคือภาษาวาจาที่ใช้ ดูงดงามในสายตาของคนในสังคมศาสนา แต่เมื่อไปสู่อีกสังคมหนึ่ง สังคมเพื่อนเก่า หรือสังคมเพื่อนเกลอ โอ้แม่เจ้า.... เธอ/เขาคือใคร การแต่งกายที่ล่อแหลม เครื่องดื่มที่เธอ/เขาดื่ม อากัปกิริยาที่เธอ/เขากระทำ ทัศนคติที่เธอ/เขามี มันช่างผิดกับที่เห็นในสังคมศาสนาเสียเหลือเกิน หรือจะเรียกว่าด้านมืดก็ว่าได้ หรือจะบอกว่าเป็นการปรับตัวให้เข้ากับสังคม แต่การปรับตัวให้เข้ากับสังคมไม่ได้หมายความว่าเราซึ่งเป็นคริสเตียนต้องเปลี่ยนทัศนคติ การประพฤติตามสังคมนั้นๆ ถ้าเราบอกว่าเราเป็นคริสเตียน ไม่กิน ดื่มอะไร ไม่ทำอะไร สังคมอาจยอมรับไม่ได้ในช่วงแรก แต่เชื่อเถอะว่าพระเจ้าเป็นความรัก และความรักชนะทุกสิ่ง ถ้าเรายืนหยัดอย่างแน่วแน่ในบทบาทคริสเตียนที่นำการทรงสถิตของพระเ้จ้า สุดท้ายแต่ละสังคมที่เราอยู่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าผ่านชีวิตของเรา .......... จบ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณ คุณที่ไม่เอ่ยนามครับ ผมเองเคยอยู่ในสังคมเพื่อ ที่กิน ที่ดื่ม เที่ยวเสเพล และ มั่วผู้หญิง ขอบคุณที่เราคิดพระเยซูที่เป็นแบบอย่าง มันแย่มากในช่วงแรกที่เราโดนต่อว่า โดนล้อเลียน โดนนินทาว่าร้าย โดนทิ้ง และไม่มีใครคบ เกตุเพราะ เค้าคิดว่าเราทำตัววิเศษวิโส และไม่เป็นลูกผู้ชายที่เข้ากับกลุ่มเพื่อนๆไม่ได้ แต่ตอนนั้นเสียใจ และก็คิดอยากไปทำแบบเค้ามั่งเพื่อได้รับการยอมรับ แต่ตอนนี้มาถึงวันนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าจัดเตรียมที่ไว้ให้เรา เป็นที่ที่เหมาะสมให้เรา และผมประทับใจในแผนการอันลึกซึ้งของพระองค์มาก ที่ตอนนี้การยอมรับที่พระเจ้าให้ ยิ่งใหญ่กว่าของโลกนี้เสียอีก

    ตอบลบ