วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ลอยกระทง หลงทาง ?



 ลอยกระทง หลงทาง ?
พูดถึงวันลอยกระทง บางคนคงตื่นเต้น เพราะจะได้ควงสาวไปลอยกระทงแบบบรรยากาศยามค่ำคืนดูโรแมนติก แล้ว คริสเตียน กับการลอยกระทงล่ะ หลายคนคงคิดว่า มันไม่นามีปัญหาอะไรนี่  ?

-    คริสเตียนที่ไปลอยกระทงแบบ ไม่เชื่อว่ามันจะมีผลอะไร ไม่มีอะไรเสียหาย
-    คริสเตียนที่ไปเที่ยวงานลอยกระทงไปร่วมในบรรยากาศ แต่ไม่ลอยกระทง
-    คริสเตียนที่ออกไปหาของอร่อยๆกินในวันลอยกระทง ก็คล้ายกับข้อที่ สอง

ทั้งหมดนี้วันนี้ผมไม่ได้มาฟันธงว่า ใครคนใดผิดถ้าจะเที่ยวงานลอยกระทง แต่เพียงแต่เป็นการแบ่งปันและคำหนุนใจสำหรับบางคน

บางคนอาจจะใช้คำว่า “เสรีภาพ” ในพระคริสต์ พระองค์ไถ่เราแล้ว เรามีเสรีภาพ เราทำได้ทุกสิ่ง ไม่ต้องตกอยู่ใต้วิญญาณศาสนา จงมีเสรีภาพเพื่อก่อร่างสร้างกันเพื่อพระกายเสมอ ไม่ใช่เพื่อทำลายให้พังลง เสรีภาพที่ปราศจากขอบเขตจะเป็นเสรีภาพแห่งการทำลายเป็นไฟที่เผา แต่ไฟของพระเจ้า ไฟแห่งเสรีภาพ ไฟแห่งพระวจนะหรือโทราห์ จะทำลายสิ่งผูกมัดที่ควบคุมเราอยู่และเผาผลาญสิ่งที่ถ่วงและควบคุมเรานั้น ให้หมดไป

เสรีภาพในพระเจ้า คือเสรีภาพที่ไม่ได้ให้สิทธิที่จะทำสิ่งที่เราพอใจหรือทำอะไรก็ได้ แต่ให้เราทำสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย “สู่เสรีภาพในพระวิญญาณ”

ถ้าเราเชื่อว่าพระวิญญาณประทับอยู่ภายในเรา เราจะลองถามพระองค์ดูสักคำไหมว่า “พระองค์อยากไปลอยกระทงกับเราหรือไม่ ? ” และเราน่าจะรู้คำตอบดี

จากวิกีพีเดีย เรามาดูความหมายคร่าวๆของลอยกระทง ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก

อพย. 20:3 “ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา
พระวจนะในบัญญัติ 10 ประการชี้ชัดว่า อย่ามีพระเจ้าอื่นใด การที่เรายังดื้อดึงที่จะใช้เสรีภาพ หรือพยายามหาจุดโหว่ และตีความพระวจนะ เพื่อการกลมกลืนของโลกและเพื่อการยอมรับ บางคนอ้างว่า เมื่อเราไม่เข้าถ้ำเสือเราจะไปเอาลูกเสือโดยการประกาศได้อย่างไร ? เหล่านี้เป็นข้ออ้าง บางคนอ้างว่า ทำตัวเคร่งมากก็ไม่มีใครคบ ผมเคยบอกเพื่อนว่า ถ้าผมไม่ไปลอยกระทงกับคุณและคุณจะเลิกคบผม ก็ไม่เป็นไร ปัจจุบันผมยังมีเพื่อนอยู่

เราไม่ควรหาเหตุผลใดมาลบล้าง แต่ต้องถามตัวเองว่าถ้าไม่ไปลอยกระทงเราจะยังมีชีวิตอยู่ได้ไหม ? มากกว่า ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา ไม่ใช่เป็นเพียงพันธสัญญาเดิม แต่ในพันธสัญญาใหม่

ใน มธ. 4:10 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์ แต่ผู้เดียว’ ”

ในพระวจนะตอนนี้มารได้ทดลองพระเยซูโดยการนำพระองค์ไปบนภูเขาสูง ในตอนนั้นพระองค์อ่อนแอ หิวและง่ายต่อการพ่ายแพ้ ภูเขาสูง ในสำนวนของภาษาเดิมคือ คำเปรียบเปรย ว่ามันคือจุดสูงสุดในความทะเยอทะยาน ทางกายภาพของมนุษย์ มารได้นำพระเยซูไปประชุมบนจุดสุดยอดของเกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ที่สูงที่ สุด (เกินจินตนาการ) ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าบ้าน ยิ่งกว่ารถเบนซ์

มันอาจจะเป็นการทดลองคุณก็ได้ว่า แค่ลอยกระทง ไม่ได้คิดอะไร อย่าคิดมากเลย ลอยไปแต่ใจเราอธิษฐานกับพระเจ้าก็ไม่มีอะไรแล้ว มันเป็นเช่นนั้นหรือ ?

พระวจนะบอกว่าจงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงผู้เดียว “รูปเคารพในโลกนี้เป็นสิ่งไร้สาระ” และ “มีพระเจ้าแท้จริงเพียงองค์เดียว”

ผมเชื่อว่าการไหว้พระสมัยก่อนนั้น หรือสวดมนต์ ตอนเป็นเด็กผมไม่เต็มใจเลยที่จะสวด แต่ผมก็สวดทั้งที่ไม่ตั้งใจ แต่มันก็มีผล ลอยกระทงเอง ผมก็เชื่อว่า ซาตานมียุทธวิธีอุบายอันแยบยลเพื่อล่อลวงให้ผู้เชื่อกราบนมัสการมัน แม้จะไม่ตั้งใจ แต่เราซึ่งเป็นของพระองค์ผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ด้วยชีวิต และแยกเราออกมาแล้ว ต้องไปกราบนมัสการวิญญาณชั่ว แบบเต็มใจโดยไม่รู้ตัว เราได้เสียสิทธิ์อะไรบางอย่างไปแล้ว เราเอากระทงซึ่งเป็นเสมือนเครื่องบูชา นมัสการวิญญาณชั่ว ภาษาฮีบรู นมัสการ มาจากคำว่า Shachah ซึ่งหมายถึงการ หมอบกราบ คุกเข่า

แม้เราไม่ได้ลอยแต่เราไปในงานฉลองการขอขมาวิญญาณชั่ว (ซาตาน) เพราะจุดประสงค์เราไปเพื่อดูและชมความสวยงามของดอกไม้ไฟ การจัดงาน ของแสดง และงานแสดงต่างๆ เท่ากับเราก็มีส่วนร่วมชื่นชมในสิ่งนั้นด้วย

ผมเชื่อว่าหลายคนรับไม่ได้กับคำหนุนใจนี้ เพราะถ้าแบบนั้น ลอยกระทง สงกราต์ วันวาเลนไทน์ คริสต์มาส ก็ร่วมอะไรไม่ได้เลยจะอยู่ในสังคมนี้ได้อย่างไร ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร แต่ผมก้อยากหนุนใจเป็นคำพยานว่า ผมก็ยังอยู่ได้ ยังมีญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงมากมายที่ไม่เป้นคริสเตียน ล้อมรอบตัวผมเอง และความสัมพันธ์ก็ยังดีเหมือนเดิม

พระคัมภีร์ไม่ได้ห้ามเทศกาลลอยกระทง แต่พระคัมภีร์ก็ห้ามในเรื่องเทศกลาของชาวต่างชาติ พระองค์ไม่ได้ห้ามไม่เราไม่สนุก พระองค์ไม่ได้หวงแหน แต่พระองค์รักเราและห่วงเราต่างหาก

ประเพณี เป็นกิจกรรมที่มีการปฏิบัติสืบเนื่องกันมา เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดกันมาและต้องยึดถือ เมื่ออดีตเราเป็นของโลก และโลกนี้เต็มไปด้วยความบาป แต่พระองค์ได้ไถ่เราออกมาด้วยชีวิตของพระองค์ แยกเราออกมาจากความเป็นของโลก เราจึงไม่ควรกลับไปในวิถีเดิมของโลก

เราอาจจะเป็นพวกเพี๊ยน แต่ก็เพี๊ยนในทางของ พระวจนะ และไม่อะลุ่มอล่วย หลายสิ่งเรายืนอยู่เราเองก็อาจจะยังไม่รู้ถึงว่ามันมีที่มาอย่างไร ความบาปไม่ใช่การไม่เคยหรือไม่พลาด แต่คือการยอมที่จะแยกตัว เหมือนเพลงที่เราร้องและถวายตัว กายและใจของเราแด่พระเจ้า

อย่าลืมว่า เราลองถามพระเจ้าภายในเรา ซึ่งร่างกายเราเสมือนพระวิหารที่ประทับก่อนว่า พระองค์อยากไปลอยกระทงกับเราไหม ? หรือพระองค์ต้องไปกับเราพร้อมด้วยเสรีภาพของเราหรือ ?

สุดท้ายยนี้ ไม่มีการตัดสินกันว่าใครจะไป หรือไม่ไป มันอยู่ที่ท่าทีของเรา ว่าจะร่วมมากหรือร่วมน้อย ตัวเราเองรู้ดีว่าควรหรือไม่ควร และอยู่ที่การเลือกและการตัดสินใจของเรา

ขอพระยาห์เวห์อวยพระพรครับ
Ktm.Shachah

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น