เชื่อพระเยซู ดำเนินตามธรรมบัญญัติ
พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติให้แก่มนุษย์ผ่านทางโมเสส บนภูเขาซีนาย แต่ธรรมบัญญัติที่ว่านี้ได้เหมือนจะจบลงไปใน ช่วงเวลาของพระเยซู "พระคุณ" ซึ่งเราเองไม่ต้องไปดำเนินตามธรรมบัญญัติต่าง ๆ ในพันธสัญญาเดิมที่จบลงไปแล้ว
มีการแยกแยะบัญญัติของพระยาห์เวห์ออกมาจากบัญญัติของฟาริสี หรือบรรดาอาจารย์เคร่งศาสนาที่เพิ่มเติมเสริมแต่งเข้าไปจนเป็นที่เข้าใจผิด เช่นที่พระเยซูทรงตำหนิ "พิธีล้างมือ" บัญญัติพระยาห์เวห์ 613 ข้อ (613 mitzvot) เป็นอะไรที่ดูน่าตกใจและคนที่ไปดำเนินตามนั้นช่าง บ้าสิ้นดี เพราะเราได้อยู่ในยุคพระคุณแล้วและดำเนินตามบัญญัติ 2 ข้อใหญ่คือ รักพระเจ้า และรักเพื่อนบ้าน
มธ. 22:37 พระเยซูทรงตอบเขาว่า “ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน
มธ. 22:38 นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
มธ. 22:39 ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’
แต่ในความเป็นจริงแล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่า "บัญญัติข้อที่สำคัญที่สุด" หรือบัญญัติหลัก ไม่ได้หมายถึงบัญญัติที่ตัดเหลือเพียงสองข้อ หลักคือหลักที่เชื่อมบัญญัติข้ออื่น ๆ และบัญญัติอื่น ๆ ก็เชื่อมกับข้อหลักนี้
พระเยซูยังดำเนินด้วยการสอนบัญญัติ 10 ประการ อย่างชัดเจน พระองค์สอน บัญญัติใน 613 ข้อ และเมื่อเรียบเรียงออกมา ธรรมบัญญัติหรือคำสอนในพันธสัญญาใหม่นั้นมีมากถึง 1,050 ข้อด้วยซ้ำ นั่นหมายถึงเป็นจริยะธรรมของอัตลักษณ์ของผู้ที่เชื่อในพระเยซู เมื่อพระวจนะบันทึกว่า จงเป้นแสงสว่าง เป็นเกลือ และอย่าประพฤติตามอย่างคนในโลกนี้ พระโลหิตชำระเราจากความบาป และชีวิตต้องดำเนินไปในความบริสุทธิ์ของพระเจ้าด้วยความเชื่อ คำว่าความเชื่อในภาษาฮีบรูคือ "Emunah" หมายถึงเชื่อด้วยการประพฤติตามคำสอนของพระเยซู และพระวจนะ
2ทธ. 3:16 พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การแก้ไขสิ่งผิด และการอบรมในความชอบธรรม
จากพระวจนะตอนนี้ หมายถึง ทานัคหรือพระคัมภีร์ในพันธสัญญาเดิม เพราะในช่วงเวลานั้นยังไม่มีหนังสือม้วนพันธสัญญาใหม่ ดังนั้นคำสอนและบทบัญญัติในพันธสัญญาเดิมก็ยังเป็นสิ่งดีที่เราต้องเดินตาม
เราอาจจะผิดพลาดหรือไม่ที่ได้ตัดทอนธรรมบัญญัติออกไปและ อาจะมีคนกล่าวว่า สิ่งนี้ได้ล้าสมัยไปแล้วและคร่ำครึ หมดยุคไปแล้วตั้งแต่พระเยซูได้เสด็จเข้ามา การเสียสละที่กางเขน พระคุณและบัญญัติสองข้อใหญ่ อาจจะกลายเป็นทัศนคติที่อาจจะหย่อนยานในด้านศีลธรรมของผู้เชื่อในยุคปัจจุบัน จุดอ่อนของผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิมอาจจะเป็นความเคร่งศาสนาและกฎหมายใหม่มากมายที่เป็นแอก แม้จะมีสาเหตุอีกหลาย ๆ อย่าง แต่ผู้เชื่อในพันธสัญญาเดิมก็อาจจะมีจุดอ่อนในบางเรื่อง เช่นโดยพระคุณพระเจ้า พระเยซูได้ทำแทนเราหมดแล้ว
มธ. 24:12 ความรักของคนจำนวนมากจะเยือกเย็นลงเพราะความอธรรมแผ่กว้างออกไป
เมื่อเราโยนกฎหมายโมเสสออกไปก็เท่ากับว่า เราก็ทิ้งคำสั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสองข้อที่พบใน พันธสัญญาเดิม ซึ่งสั่งให้เรารักผู้สร้างของเราและรักเพื่อนบ้านของเราเช่นเดียวกับเรา
ฉธบ. 6:5 ท่านจงรักพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจและสุดกำลังของท่าน
ฉธบ. 10:12 “และบัดนี้ คนอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านมีพระประสงค์อะไรจากท่าน? นอกจากให้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน
ลนต. 19:18 ห้ามแก้แค้นหรือผูกพยาบาทลูกหลานคนชาติเดียวกับเจ้า แต่จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือยาห์เวห์
เราเห็นได้ว่าพระเยซูไม่ได้มาตั้งบทบัญญัติใหม่แต่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา ไม่ได้มาลบล้างแต่มาทำให้สำเร็จและสมบูรณ์ทุกประการ
มธ. 5:17 “อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ
พระเยซู คือธรรมบัญญัติ (โทราห์) ที่มีชีวิต ฉบับฮีบรู (บางฉบับ) พระวาทะ คือ โทราห์
ยน. 1:1 ในปฐมกาลพระวาทะ (โทราห์) ทรงดำรงอยู่ และพระวาทะ (โทราห์) ทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะ (โทราห์) ทรงเป็นพระเจ้า
โทราห์หรือธรรมบัญญัติที่ยากเย็นในธรรมชาติบาปของมนุษย์ ได้กลายมาเป็นเนื้อหนัง และกลายเป็นถ้อยคำแห่งความจริงนิรันดร์ ดังนั้นพระเจ้าจึงส่งบุตรองค์เดียวที่ไม่มีบาปลงมา พระองค์เป็นความสมบูรณ์ทั้งหมดของโทราห์ พระองค์ดำเนินตามธรรมบัญญัติทุกข้อโดยไม่มีตำหนิในสภาพของมนุษย์
ยน. 14:15 “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา
ยน. 14:21 ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา”
คนอ่านหนังสือไม่ออกจะทำอย่างไร ก็ต้องสั่งสอนเลี้ยงดูเขา เขาอ่านไม่ออกก็พูดให้เขาฟัง เคยไปประกาศตั้งเวทีใหญ่คนรับเชื่อหลายร้อยคน สุดท้ายจบแค่นั้น ยัง ๆ โลกก็กลืนเขากลับไปเป็นเหมือนเดิม เพราะไม่มีคนสอนคนสั่ง คนเลี้ยงดูในระยะเริ่มแรก ถามว่าเขารอดไหม ก็กลับไปที่กระทู้ (รอดแล้วรอดเลยไหม) วนไปมาอยู่อย่างนี้
และถ้าจะสอนเขาจะสอนอย่างไร ก็สอนเหมือนที่พระเยซูสอน ประยุกต์ให้เขา พระเยซูสอนอะไรก็สอนบัญญัติ บางเรื่องไม่ได้พูดสอนออกมาแต่ก็ประพฤติให้เห็นในพระคัมภีร์ ประพฤติอะไรก็ประพฤติตามบัญญัติ (คราวนี้ก็วนกลับไปที่บัญญัติเดิมหรือใหม่อีก)
ยกตัวอย่างที่ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า คนบางคนไม่เรียนหนังสือ แต่เขาก็เป็นคนดีในสังคมได้ เขาไม่ได้มานั่งท่องความดีที่ต้องทำในกระดาษ ดังนั้นเขาเรียนรู้การทำดีได้อย่างไร ?
อฟ. 2:8 เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า
พระคุณของพระเจ้าก็คือพระเมตตากรุณา และความโปรดปรานซึ่งไม่ได้ขึ้นกับความพยายามทำดีนั่นจึงเป็นความรักของพระเจ้า เป็นความรักที่ให้อภัยของพระองค์ ความหมายในวงกว้างคือรอดจากพระพิโรธของพระเจ้าเมื่อเราต้องประสบเพราะความผิดบาปของเรา ความพยายามของมนุษย์ไม่ได้ช่วยให้เรานั้นรอด แต่ความรอดเป็นของประทานมาจากพระเจ้า
พระคริสต์คือธรรมบัญญัติ เมื่อธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมมนุษย์ล้มลง จุดประสงค์ของพระองค์ไม่ได้หมายความว่า การประทานธรรมบัญญัติที่ซีนาย จะต้องให้มนุษย์พยายามทำ แต่ในธรรมชาติบาปมนุษย์จึงไปไม่ถึง (พระคุณ) ที่พระเจ้าประทานให้ผ่านทางโมเสส ดังนั้นพระองค์จึงทรงส่งพระเยซูลงมา เพื่อทุกคนที่วางใจจะได้รับความรอดผ่านทางนี้ คือทางพระเยซู
รม. 6:14 บาปจะไม่ครอบงำพวกท่านต่อไป เพราะว่าท่านไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณ
เป็นข้อพระคัมภีร์ที่คุ้นเคย "อยู่ใต้พระคุณ" แต่ไม่ได้ "อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ" คำว่าอยู่ใต้ธรรมบัญญัติหมายถึงเราต้องแบกธรรมบัญญัติ ฟาริสีที่ไม่รู้จักพระเยซู ได้เพิ่มเติมข้อห้ามในวันสะบาโตเยอะแยะมากมาย สุดท้าย สะบาโตหรือ ชับบาท ของพระยาห์เวหืที่ประสงค์ให้หยุดพักสงบกลับกลายเป็นแอกที่หนักสำหรับผู้เชื่อเพราะต้องคอยระวังข้อห้ามที่เพิ่มเข้ามายิบย่อย อีกครั้งเมื่อสาวกไม่ล้างมือตามพิธีการตามแบบของฟาริสี พระเยซูก็สอนในความถูกต้องแก่พวกเขา
แต่การอยู่ใต้พระคุณไม่ได้หมายถึงการเลิกเชื่อฟังและเดินตามธรรมบัญญัติ แต่พระเยซูกล่าวว่า "จงเอาแอกของเราแบกไว้และเรียนจากเรา"
มธ. 11:29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก
มธ. 11:30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”
จงดำเนินชีวิตในธรรมชาติที่พระเจ้าใส่ให้เรา ดำเนินในตัวใหม่ไม่ใช่ตัวเก่าที่อยู่ในธรรมชาติบาป เราไม่สามารถประพฤติตามได้ครบทุกข้อ เราไม่สามารถท่องบัญญัติเกือบ 1,000 ข้อได้หมด แต่มนธรรมชาติเราจะดำเนินอย่างเป็นธรรมชาติ ล้มแล้วลุกขึ้นเริ่มใหม่ ด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยรม. 31:33 “แต่นี่จะเป็นพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเชื้อสายของอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ “เราจะบรรจุธรรมบัญญัติไว้ในเขาทั้งหลาย และเราจะจารึกมันไว้บนดวงใจของเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา
ฮบ. 8:10 นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับชนชาติอิสราเอล ภายหลังจากสมัยนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในดวงใจของพวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา
ฮบ. 10:16 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในจิตใจของพวกเขา”
กลับมาที่ โรม 6:14 เปาโลรู้ความหมายของความบาปดี ในข้อ 15 " เราจะทำบาปเพราะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย"
รม. 6:15 ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? เราจะทำบาปเพราะไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ แต่อยู่ใต้พระคุณอย่างนั้นหรือ? เปล่าเลย
1ยน. 3:4 ทุกคนที่ทำบาปก็ประพฤติผิดธรรมบัญญัติ บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ
ธรรมบัญญัติเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าอะไรคือความบาปคำว่า "โทราห์" ในภาษาฮีบรูหมายถึง คำแนะนำ, การสั่งสอน, วิธี, หรือ การยิงให้ตรงเป้าหมาย
พระเยซูทรงเป็นโทราห์ที่มีชีวิต (ยอห์น 1:1) พระองค์ทรงเป็นเป้าประสงค์ของธรรมบัญญัติ
รม. 10:4 เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับความชอบธรรม
ใน โรม 10:4 พระเยซู พระองค์คือ teleo ที่แปลว่าเสร็จสิ้น หรือสำเร็จ หรือเป้าหมาย,เป้าประสงค์ พระองค์มาสอนโทราห์และนำเราไปถึงเป้าประสงค์ของพระบิดา
ยน. 19:30 เมื่อพระเยซูทรงรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์
ดังนั้นเราจึงรู้ได้ว่าการดำเนินตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและพันธสัญยาใหม่ ทั้งสองคือหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราจะดำเนินตามพระเยซู เป็นหนังสือของพระองคืเพื่อคนทั้งปวงจะได้อ่าน เราก็มีชีวิตเป้นอย่างพระองค์ แบบพระองค์ คือเป็นธรรมบัญญัติ ไม่ใช่การท่องได้เป็นพันข้อหมื่นข้อแต่ไม่ประพฤติตาม แต่มีชีวิตที่สำแดงออกมาเพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็น
2คร. 3:3 ท่านปรากฏเป็นจดหมายของพระคริสต์ ที่เราเป็นผู้ส่งและไม่ได้เขียนด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เขียนบนแผ่นศิลา แต่เขียนบนแผ่นดวงใจมนุษย์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทานให้เรามีกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้อยู่ในรูปแบบที่ไม่เน่าเปื่อยซึ่งเป็นลักษณะใหม่ ขณะนี้เรามีลักษณะของพระเมสสิยาห์ซึ่งเป็นกฎแห่งชีวิตของมนุษย์ เหล่านี้เป็นกฎหมายเดียวกันกับที่อิสราเอลได้รับ
ธรรมบัญญัติบางข้ออาจจะจบไปแล้วในเรื่องของการถวายสัตวบูชา หรืออื่น ๆ ในบางเรื่องเพราะพระเยซูคริสต์ได้มาเป็นแกะบูชาไถ่บาปไปแล้ว แต่ในเรื่องจริยะธรรม การดำเนินชีวิต การแยกออกจากความบาปเป็นเรื่องที่เราจะดำเนินต่อไป
สุดท้ายนี้ในความเชื่อส่วนตัว การมีพระคุณไม่ได้หมายถึงการยกเลิกที่จะประพฤติตามธรรมบัญญัติ ลูกไม่จำเป็นต้องทำดีเพื่อพ่อกับแม่จะรัก แต่หากลูกเดินตามคำสอนของพ่อแม่ นั่นคือความรักระหว่างกัน รักพ่อรักแม่ก็ดำเนินตามคำสอนของพ่อและแม่ที่สอนไว้ หากหลงผิด และคิดว่า “รู้ไหมข้าลูกใคร” พ่อข้าใหญ่ มีบารมี และทำตัวไม่แหมาะสม ก็ต้องรับผลในการกระทำเช่นเดียวกัน และอีกมุมการทำตามธรรมบัญญัติก็ไม่ใช่กรอบความคิดแบบของฟาริสีเหมือนที่พระเยซูมาตำหนิ และพระเยซูผู้เป็นธรรมบัญญัติแท้จริงได้มาเพื่อลบล้างคำสอนเหล่านั้น การทำตามบัญญัติจึงไม่ใช่แอก และการเป็นทาส ทำเพื่อจะรอด แต่หากเรารอดแล้วโดยความเชื่อและพระคุณของพระเจ้า
ชาโลม
ktm.Emunah
เสริม
http://emunahinyeshua.blogspot.com/2014/01/2.html#more
http://emunahinyeshua.blogspot.com/2015/08/blog-post_11.html#more
เป็นบทความที่สวยงามมาก
ตอบลบพระธรรมบัญญัติที่ทรงประทานให้ที่ซีนาย คือวิถีชีวิตของผู้ที่จะมาเป็นประชากรของพระผู้สร้าง
และเป็นกฎเกณฑ์ที่นำมาซึ่งชีวิตที่ถูกแยกออกเพื่อพระผู้สร้างเช่นการแสดงความเชื่อว่าโลกนี้ถูกสร้างโดยเอโลฮิมแห่งอิสราเอล 6วันและในวันที่ 7 พระผู้สร้างทรงพัก คนที่มีความเชื่อนี้ก็จะรักษาวันสะบาโตเพราะพระผู้สร้างสั่งไว้แบบนั้น พระองค์ไม่ได้เรียกร้องให้ไปประกาศความเชื่อว่ามีพระผู้สร้างกลางถนนแต่พระองค์เรียกร้องให้รักษาบรรดาวันสะบาโตของพระองร์(ชีวิตที่บริสุทธิ์คือชีวิตที่ถูกแยกออกเพื่อดำเนินตามคำสั่งพระผู้สร้าง ชีวิตที่มอบเป็นของพระผู้สร้าง) และชีวิตที่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ตามกฎเกณฑ์การไถ่นั้น ซึ่งก่อนพระเมษสิยาห์เสด็จมามนุษย์ต้องเตรียมเครื่องบูชาไถ่บาปด้วยตัวเอง ต้องไปที่พระวิหารในเยรูซาเล็ม ไปหาปุโลหิตที่เป็นมนุษย์ซึ่งบางคนที่เต็มไปด้วยความต้องการทางเนื้อหนังเลือกปฏิบัติระหว่างคนจนกับคนมั่งมีคนป่วยกับคนสะบายดี แต่พอพระบุตรเสด็จมาพระองค์ทรงเป็นทุกสิ่งที่พระธรรมบัญญัติถูกเขียนไว้ คือ ทรงเป็นลูกแกะไถ่บาป ทรงเป็นมหาปุโลหิตที่ไม่เลือกปฏิบัติ ทรงเป็นพระวิหาร และทรงเป็นผู้ให้อภัยบาปและให้โอกาสกลับตัวกลับใจ ทรงเป็นผู้พิภากษาที่ยุติธรรมและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เราจึงไม่ต้องเอาหินขว้างกันให้ตายอีก ตามพระบัญญัติว่าด้วยการพิภากษา พระธรรมบัญญัติที่อับบาเอโลฮิมทรงประทานให้ที่ซีนายไม่สามารถบอกว่าถูกยกเลิกได้เลย เพราะพระบุตรทรงมาเป็นทุกสิ่งตามที่พระธรรมบัญญัตินั้นกำหนดว่าต้องมี และพระบุตรก็มาสอนวิธีเอาชนะความบาปต่างๆเพื่อให้คนที่เชื่อฟังและประพฤติตามสามารถมีชีวิตตามพระบัญญัติได้ เช่น พระธรรมบัญญัติบอกว่าอย่าล่วงประเวณี พระบุตรสอนวิธีเอาชนะบาปล่วงประเวณีนี้โดยคำว่า"อย่ามอง"ด้วยใจกำหนัด ถ้ามนุษย์เชื่อฟังหยุดช่องทางไม่ให้บาปมันเข้าไปในความคิดจิตใจได้ด้วยการปิดตา หลับตา หันหน้าหนี บาปการล่วงประเวณีก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะมนุษย์เกิดความรู้สึกต่างๆด้วยการมอง พระบุตรจึงย้ำว่าตาเป็นประทีปของกาย ดังนั้น พระธรรมบัญญัติกับองค์พระเมษโปดกไม่อาจแยกจากกันได้เลยเพราะ พระบิดาและพระบุตรทรงมีใจเดียวกัน และ Ruach ha kodresh ก็จะไม่นำคนให้สอนอะไรขัดแย้งกับคำพูดพระบิดาและพระบุตรอย่างแน่นอน
หนังสือวิวรณ์ให้คำจำกัดความ เกี่ยวกับ"พวกธรรมิกชน" คือ พวกที่ถือรักษาพระบัญญัติของเอโลฮิมแห่งอิสราเอล และยึดถือคำพยานของพระเมษโปดก
ตอบลบเมื่อเราเปิดใจที่จะเชื่อฟังและทำตามพระธรรมบัญญัติแล้ว ก็เท่ากันว่าเราได้ใกล้ความรอดมากขึ้น แต่ถ้าต้องการรับความรอดที่แท้จริงธรรมิกชนต้องยึดถือคำพยานของพระเมษโปดกด้วยการเชื่อในพระนาม "ชื่อ" ของพระผู้ช่วยให้รอดด้วย เคยคิดไหมว่า คำว่าเยซู หรือ Jesus มาจากไหนทำไมคนทั้งโลกเชื่อว่า ชื่อนี้นำไปสู่ความรอด ทั้งๆที่ ชื่อ Jesus เกิดขึ้นราวปี ค.ศ.1500 ในการแปลพระกิตติคุณใน Ver.ของ King Jeam สาวกยุคดูจากปี ค.ศ.ที่ชื่อ Jesus เข้ามาในโลก เชื่อได้ว่าสาวกยุคต้น รวมถึงอัครสาวก 12คน ก็ไม่รู้จักชื่อ Jesus Christ อย่างแน่นอน น่าคิดไหม? คุณเป็นคนมีความรู้และหิวกระหายที่จะเข้าใจความจริง หากลองเปิดตาเปิดใจเรื่องพระนามของพระผู้ช่วยโลกให้รอดที่แท้จริง คุณจะได้ช่วยจิตวิญญาณของตัวเองและผู้อื่นให้รอดได้โดยความเชื่อและการประกาศพระนามพระผู้ช่วยให้รอดที่แท้จริง
JESUS มีค่ารหัสตัวเลขตามอักษรภาษาฮีบรูคือ 616
CHRISTมาจาก Christos มีค่ารหัสตัวเลขตามอักษรภาษากรีก คือ 666
Yashua มาจากภาษาอามาเลคหลังจากที่คนยิวไปเป็นทาสที่บาบิโลนก็ลดทอนพระนามแห่งความรอดและ ในขณะที่พระผู้สร้างประกาศว่าพระองค์จะลบชนชาตินี้ออกไปจากแผ่นดินโลก
แล้วพระนามแห่งความรอดที่แท้จริงคือ อะไร
กล้าไหมที่จะแสวงหา #ชื่อของพระเมษโปดก
กฎแห่งความรอด คือ
ตอบลบทุกคนที่ร้องขอใน"ชื่อ"ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับความรอด และ ยังทรงตรัสย้ำอีกว่า ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่า "ชื่อ" อื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า
ต่อให้มนุษย์มีความรู้ความเข้าใจในพระวจนะมากแค่ไหน ยินดีและพร้อมที่จะประพฤติตาม พร้อมถวายทั้งชีวิตและลมหายใจให้ แต่ถ้ามอบให้ผิดคน ผิดชื่อ ก็ไม่รอด
งู ขึ้นชื่อเรื่องการล่อล่วง ถ้าแยกได้ง่ายๆ คนทั้วทั้งโลกคงไม่หลงไป เพราะเกือบครึ่งโลกเชื่อ Jesus Christ แต่ไม่รู้และไม่มีใครยอมประกาศว่าพระนามพระเมษโปดกที่แท้จริงชื่ออะไร เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่โลกนี้กำลังหลงผิด
#คัมภีร์ คุณกล้าไหม ที่จะแสวงหาชื่อและเป่าประกาศชื่อที่แท้จริงของพระเมษโปดกที่ใกล้เวลาการเสด็จกลับมาของพระองค์เต็มที
เยเรมีย์ 11:19
ตอบลบแต่ข้าพระองค์เป็นเหมือนลูกแกะเชื่องตัวหนึ่งซึ่งถูกนำไปฆ่า
ข้าพระองค์ไม่ทราบเลยว่าข้าพระองค์เองได้ถูกพวกเขาวางแผนต่อสู้ โดยกล่าวว่า
"ให้เราทำลายต้นไม้กับผลของมันเสียด้วย ให้เราตัดเขาออกเสียจากแดนคนเป็น เพื่อ#ชื่อของเขา จะไม่เป็นที่ระลึกถึงอีกเลย"
พระคัมภีร์ข้อนี้ได้เปิดเผยถึงแผนการของงูร้าย
เพราะทุกวันนี้ไม่มีใครระลึกถึงหรือแม้แต่จะรู้ชื่อที่แท้จริงของพระเมษโปดกอีกเลย