วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ใครมีหู จงฟังเถิด (จงจดจ่อกับการฟังของคุณ)

ใครมีหู จงฟังเถิด 


พี่น้องครับ เราเคยได้ยิน สุภาษิตที่ว่า “ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา” ที่หมายถึง การพูดให้คนที่ไม่สามารถฟังรู้เรื่องฟัง หรือพูดไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือ “หูทวนลม” ที่หมายถึง ทำเป็นไม่ได้ยินในสิ่งที่พูด และไม่สนองตอบ

ฉะนั้นวันนี้ เราต้องตรวจสอบตัวเองว่าเราเป็นคนที่“ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา” หรือไม่ ฟังแล้ว มันแค่วูบวาบชั่วคราว หรือสิ่งนั้นถูกฝังรากภายในเรา ที่หมายถึง พระวจนะถ้อยคำของพระเจ้า
เดือนที่กำลังจะมาถึงนี้คือเดือน อัพ ซึ่งหนึ่งในหัวข้อที่น่าจดจ่อในเดือนนี้ และเป็นเสียงที่ผมใครครวญในระหว่างการเตรียม  พระเจ้าพูดถึงเรื่องการฟัง และตรงกับหัวข้อหนึ่งในเดือน อัพ คือ

เดือนที่คุณจะต้องตัดสินใจและเลือก ต่อสิ่งที่คุณได้ยิน
เรากำลัง ก้าวเข้าสู่เดือน อัพ ในปฏิทิน ฮีบรู (วันที่ 9 เดือน อัพ เป็นวันที่ สายลับ หรือ ผู้สอดแนม ทั้ง 12 คน  ที่ส่งออกไป และมี 10 คนได้ทำความบาป โดยการรายงาน ดังนั้นเราต้องจดจ่อกับสองสิ่งคือ (1) ความรู้สึกของการพูด และ (2) การได้ยิน  ซึ่งจะเห็นอย่างชัดเจนทั้งคู่ เช่นเดียวกับในความผิดบาปการได้ยิน (การยอมรับ) “ลิ้นชั่วร้าย” ที่พูดโดยสายลับ ทั้ง 10 คน

ดังนั้นเราจึงสรุปได้ว่าพลังของเดือน อัพ (เดือนของการทำลาย[ชัดเจนและเด่นชัด พระวิหาร 2 หลังถูกทำลาย]) คือ “ได้ยิน” ข้อความ “คำพูด” “เพื่อจะฟัง หรือ เพื่อจะได้ยิน” ในภาษาฮีบรู หมายถึง “เพื่อให้เข้าใจ” หรือ “ เพื่อทำความเข้าใจ” เป็นการผสมผสานอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เข้าสู่ความมีสติ, ความมีจิตสำนึก, ความคิดและความรู้สึกรวมกันความรู้สึกของการได้ยิน เป็นความรู้สึกของความสมดุลภายใน รากฐานของการแก้ไข  เพื่อการดำรงอยู่ หรือรากฐานของการดำรงอยู่ ก็คือเพื่อที่จะได้รับการ ใส่ ที่ถูกต้อง หรือ ในการให้ ทาง ที่ถูกต้อง ถ้าเราฟังอย่างเข้าใจ พระองค์จะให้ทางที่ถูกต้องกับเรา ถ้าเราไม่แก้ไข เราจะไม่สามารถรับเอาความจริงได้เลย

(ความไม่สมดุลเป็นที่มาของการล่มสลายและทำลาย)  หูที่สมดุลดี หรือหูที่สมดุลอย่างมีทักษะ หรือ ชำนาญความรู้สึกดีที่มุ่งเน้นการได้ยิน มีความสามารถที่จะแยกแยะ ความสมดุลทางกายภาพ เราเห็นภาพได้จาก ผู้ที่น้ำในหูไม่เท่ากัน คือมีหูที่ไม่สมดุล เช่นกัน คนที่มีหูไม่สมดุล ก็ไม่ต่างจากการมีน้ำในหูไม่เท่ากัน โลกจะหมุน และเอียงไม่เป็นท่า และอาจจะล้มลง จนร่างกายได้รับบาดเจ็บกระดูกหักได้

และเห็นความแตกต่างในทุกสิ่งที่ได้ยิน เราต้องได้ยินแต่ความจริง จากท่ามกลางการหลอกลวง
ความไม่จริง และความไม่ถูกต้อง ในโยบ (โยบ 12:11 และ โยบ 34:3) มีกล่าวไว้ว่า
โยบ 12:11 หูตรวจสอบถ้อยคำ อย่างลิ้นลิ้มรสอาหารมิใช่หรือ?
อาหารที่ไม่อร่อยเรายังคายทิ้ง อาหารที่แปลกปลอมเรายังคายทิ้ง เราต้องมีหูที่ตรวจสอบถ้อยคำ

โยบ 34:3 เพราะหูก็ตรวจสอบถ้อยคำ อย่างลิ้นลิ้มรสอาหาร

ถ้าเราเองยังมี  “หูที่เข้าใจถ้อยคำไม่กระจ่าง” หรือ “รู้ไม่ชัด ,เข้าใจผิด,  และยังแยกแยะไม่ออก” เราจึงจำเป็นต้องมีหูที่เข้าใจถ้อยคำแห่งความจริง (Emet - "ความจริง") ความจริงคืออะไร ?

อีเม็ท คือ โทราห์  โทราห์คือพระวจนะคำสอน ถ้อยคำของพระเจ้า พระยาห์เวห์
emet (אמת) ความจริง eh-met ตัวอักษรในภาษาฮีบรู ตัวแรกคือ อเลฟ และ ทัฟ คือตัวสุดท้าย
ת Tav    ทัฟว์ เป็นสัญญาลักษณ์หมายถึง  ความจริง (Emet) และความสมบูรณ์แบบ

(ทางแห่งความจริง) (ทางพระเยซู) (เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ทางเดียวที่ไปถึงพระบิดา) (ยอห์น 14:6) คำว่า ฟัง ในภาษาฮีบรู Shema (รากศัพท์เดียวกับ shama) หมายถึง ฟัง หรือ การฟัง และการเชื่อฟัง ในพระคัมภีร์ใหม่ มีไม่ต่ำกว่า 15 ข้อ ที่ใช้คำว่า “ใครมีหูจงฟังเถิด”  ซึ่งมีความหมายว่า ไม่ใช่แค่เพียงให้ตั้งใจฟังเท่านั้น แต่ให้ทุกคนฟังอย่างรอบคอบ ฟังอย่างเอาใจใส่ หรือฟังอย่างสนใจ และและประพฤติ คำว่า เชมา ยังหมายถึง ให้สัญญา ให้คำมั่น คำมั่นสัญญา  และ ความจงรักภักดี,  ความสวามิภักดิ์,  การอุทิศตัวต่อพระยาห์เวห์ และหารได้ยินอย่างชาญฉลาด คำกิริยาของ เชมา ยังหมายถึง “การเชื่อฟังและตอบสนอง” ด้วย ไม่ใช่การฟังแบบหูทวนลม

ผมเชื่อว่า ใครมีหูจงฟังเถิด การฟัง จึงไม่ใช่การฟังอะไรก็ได้หรือหมายความว่าแค่การได้ยินคลื่น เสียงกระทบประสาทหูเท่านั้น คนที่ฟังในสิ่งที่ค้านกับความเชื่อ หรือค้านกับโทราห์ฟังในเสียงอื่น ที่ค้านกับพระประสงค์ของพระเจ้า ก็ไม่ต่างกับเป็นคนหูหนวก

ฉธบ. 6:4 “โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระยาห์เวห์
พระยาห์เวห์เท่านั้นทรงเป็นพระเจ้าของเรา หรือ เป็นพระเจ้าเดียว (มก. 12:28-30)

ในคำกล่าวนี้ ชาวยิวต้องการเตือนตัวเองถึงความมุ่งมั่น ที่เขาจะรักพระยาห์เวห์ และอุทิศตัวเขาเองเพื่อเชื่อฟังพระองค์บางครอบครัวให้เด็กสุดที่พอจะพูดได้ ท่องพระวจนะข้อนี้

อพย. 24:7 ท่านถือหนังสือพันธสัญญาอ่านให้ประชาชนฟัง พวกเขากล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้นั้น พวกเราจะกระทำตาม และเราจะเชื่อฟัง” (เชื่อฟัง และตอบสนอง)
ถ้าเราสังเกตุโมเสส โมเสส จะไม่เรียกคนที่ฟังคำพูดของเขา หมายถึงแค่ฟัง วัฒนธรรมแต่ละประเทศต่างกัน บางที่การฟัง หมายถึง เสียงที่ได้ยิน การรับรู้ความหมายจากเสียงที่ได้ยิน  เป็นการรับรู้สารทางหู
แต่ โมเสส เรียกคนที่ ฟัง (เชมา) คือฟังและทำในสิ่งที่เขาพูด (ถ้อยคำที่มาจากพระยาห์เวห์ ที่ตรัสผ่านโมเสส)

ในบริบทของภาษาฮีบรู การไม่ตอบสนองคือการ ไม่ได้ยิน หรือ หูหนวก อย่างที่กล่าวไปแล้วส่วนตัวผมเอง เชื่อว่า การตอบสนองต่อเสียงที่ผิด ก็คือการไม่ได้ยินเช่นกันพระวจนะ บันทึกว่า มันคือการที่หูไม่ได้เข้าสุหนัต หรือหูที่ไม่สามารถรับฟัง หรือหูหนวกทางจิตวิญญาณ

ยรม. 6:10 ข้าพเจ้าควรจะพูดและให้คำตักเตือนแก่ใคร เพื่อเขาจะได้เชื่อฟัง?
ดูสิ หูของเขาตันเสียแล้ว เขาฟังไม่ได้ นี่แน่ะ พระวจนะของพระยาห์เวห์

เป็นสิ่งที่เขาดูแคลน เขาไม่พอใจฟัง หูที่ตัน หมายถึง หูไม่ได้เข้าสุหนัต เพราะว่าเขาไม่สามารถได้ยิน และ เห็นพระวจนะของพระเจ้าเป็นที่อับอายขายหน้าให้กับพวกเขา

กจ. 7:51 “เจ้าพวกคนหัวแข็ง ใจดื้อดึง และหูตึง พวกท่านขัดขวางพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เสมอ
บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทำอย่างไร พวกท่านก็ทำอย่างนั้น

คำอุปมานี้ หูที่เข้าสุหนัต แสดงให้เห็นถึงความเต็มใจ ที่จะฟังและตอบสนอง ต่อความจริงของพระองค์ หูที่ไม่เข้าสุหนัต เป็นหูของผู้ที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้า ไม่สมบูรณ์ คือได้ยินเฉพาะสิ่งที่พวกเขาต้องการจะได้ยิน และปฏิเสธเสียงของพระเจ้า

เรามาดูใน กดว.13-14

เดือนที่คุณจะต้องตัดสินใจต่อสิ่งที่คุณได้ยิน คุณจำเป็นต้องตัดสินใจว่า “ข้าพเจ้าจะเพียงแค่ได้ยิน
สิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงตรัสกับข้าพเจ้าหรือจะตอบสนองโดยการทำตาม”

กดว.13-14  เริ่มต้นพระยาห์เวห์ ตรัสเรียกให้โมเสส จงส่งคนไปสอดแนมแผ่นดินคานาอันที่พระองค์ทรงยกให้แก่คนอิสราเอล โดยเลือกผู้นำจากเผ่าละคนเป็นตัวแทน เราจะเห็นว่า คาเลบ มาจากเผ่า “ยูดาห์”
6 คาเลบบุตรเยฟุนเนห์จากเผ่ายูดาห์ ยูดาห์ หมายถึง “การสรรเสริญ”
และเป็นวิถีทางที่จะทำให้มือของเราจับคอของศัตรูไว้ได้ต่อไป ให้ทุกสิ่งที่เราทำได้เริ่มต้นขึ้นด้วยท่าทีแห่งการขอบพระคุณและการสรรเสริญพระเจ้า ยังหมายถึง “การพูดด้วยความเชื่อ” ด้วย

ส่วน โฮเชยาบุตรนูน ที่โมเสส เรียกเขาว่า โยชูวา มาจากเผ่า “เอฟราอิม” 16 เหล่านี้เป็นรายชื่อของคนที่โมเสสส่งไปสอดแนมที่แผ่นดินนั้น  แต่โมเสสเรียกชื่อโฮเชยาบุตรนูนว่าโยชูวา
สองคนนี้เป็นสายลับ และเป็นผู้รายงาน ความจริง จาก 12 คน ที่จะรายงาน ในสิ่งที่ดี เต็มไปด้วยความเชื่อ “การพูดด้วยความเชื่อ” ความหมายของเผ่ายูดาห์ “คาเลบ”

กดว. 13:30 แต่คาเลบได้ให้ประชาชนเงียบต่อหน้าโมเสสแล้วกล่าวว่า “ให้เราขึ้นไปทันทีและยึดแผ่นดินนั้น เพราะเราจะชนะแน่นอน”
กดว. 13:31 แต่คนทั้งหลายที่เข้าไปสอดแนมด้วยกล่าวว่า
“เราไม่สามารถเข้าไปและชนะคนเหล่านั้นได้ เพราะพวกเขามีกำลังมากกว่าเรา”

กดว. 13:32 พวกเขายังกล่าวร้ายเรื่องแผ่นดินที่ได้ไปสอดแนมมาโดยเล่าให้คนอิสราเอลฟังว่า “แผ่นดินที่เราไปสอดแนมดูมาตลอดแล้วนั้น เป็นแผ่นดินที่กินคนซึ่งอยู่ในนั้น ชาวเมืองทั้งหมดที่เราเห็นล้วนเป็นคนรูปร่างใหญ่โต

ในบางฉบับใช้คำว่า “และพวกเขาก็กระจายรายงาน ความชั่วร้าย ของดินแดนที่ไปสอดแนม แก่เด็กและลูกหลานชาวอิสราเอล” ความกลัว ที่เรามองและฟัง อาจจะมีผลต่อการตอบสนองของเราที่มีต่อ พระยาห์เวห์
มธ. 13:14 สภาพของพวกเขาก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ว่า
‘พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่เห็น (อิสยาห์ 6:9)
ดังนั้นคำว่า “ใครมีหูจงฟังเถิด” ที่พระเยซูตรัสนั้น พระองค์ทรงเรียกเราให้ฟังถ้อยคำของพระองค์ เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเท่านั้น แต่เป็นคนที่ประพฤติด้วย
ผมอยากย้ำอีกครั้งว่า ในเดือนนี้ หรือไม่เพียงแค่เดือนนี้ แต่ตลอดไปคุณจำเป็นต้องตัดสินใจว่า “ข้าพเจ้าจะเพียงแค่ได้ยิน สิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงตรัสกับข้าพเจ้า หรือจะตอบสนองโดยการทำตาม”

ยก. 1:22 แต่จงเป็นผู้ประพฤติตามพระวจนะ
ไม่ใช่เป็นเพียงผู้ฟังเท่านั้น มิฉะนั้นจะเป็นการหลอกตัวเอง

ยก. 1:23 เพราะถ้าใครเป็นเพียงผู้ฟังพระวจนะและไม่ใช่ผู้ประพฤติตาม
ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตนเองในกระจกเงา

ยก. 1:24 เพราะว่าเมื่อเห็นแล้วก็จากไป
และลืมในทันทีว่าตนเองเป็นอย่างไร

ยก. 1:25 แต่ผู้ที่พินิจพิจารณาธรรมบัญญัติอันสมบูรณ์แบบ
ซึ่งเป็นธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพและตั้งมั่นในธรรมบัญญัตินั้น
ไม่ได้เป็นผู้ที่ฟังแล้วก็ลืม แต่เป็นผู้ที่ประพฤติตาม
ผู้นั้นจะได้รับความสุขในการประพฤติของตน

ไม่ว่าจะเป็นคำสอน  หรือคำเผยพระวจนะ หลายคนได้ยิน ฟังและจด  แต่ไม่ได้ตอบสนองต่อพระวจนะหรือถ้อยคำของพระเจ้า พระวจนะในยากอบ บันทึกว่า นี่เป็นเพียงการหลอกตัวเองเท่านั้น การเชื่อฟัง ถ้อยคำของพระเจ้า เป็นการพิสูจน์ความเชื่อ เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสกับเรา พูดกับเราไม่ทางใดทางหนึ่ง และเราแน่ใจ
แต่เราเป็นเพียงผู้รับเสียงเท่านั้น แต่ไม่ประพฤติหรือปฏิบัติตาม ก็เท่ากับเรากำลังยกเหตุผล  มาเป็นข้ออ้าง และหลอกตัวเองให้เชื่อใน สิ่งที่ไม่ใช่ความจริง

เราต้องไม่พยายามหาเหตุผลขึ้นมาคัดค้าน หรือพยายามตั้งคำถามว่า สมเหตุสมผลหรือไม่ แต่จง “ตอบสนองและทำตาม” ไม่ใช่การคิดหาเหตุผล เพราะความเชื่อ ในภาษาฮีบรู คือ อีมูน่า หมายถึง เชื่อและประพฤติตาม และเป็นคำ กิริยา  ที่เป็นการกระทำด้วย คือคำว่า “เฟธ” เชื่อในถ้อยคำของพระยาห์เวห์

-    ลนต. 22:31 “เพราะฉะนั้นเจ้าจงรักษาบัญญัติ (โทราห์ หรือความจริง)
ของเราและทำตาม เราคือยาห์เวห์

ยก. 1:23 เพราะถ้าใครเป็นเพียงผู้ฟังพระวจนะและไม่ใช่ผู้ประพฤติตาม
ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่ดูหน้าของตนเองในกระจกเงา

เมื่อเราดูหน้าในตนเองในกระจกเงา มันก็เป็นเพียงชั่วคราว  เมื่อเราเดินจากไป เงาในกระจกก็หายไปด้วย หลายคนอาจจะตื้นตันพระวจนะ โห.. มันโดนใจมาก (เพิ่มเติม ลูกา 6:46-49)

พระเจ้าพูดตรงกับชีวิตของเรามาก เป็นพระวจนะหรือถ้อยคำที่สุดยอดมาก สิ่งนี้ไม่ต่างกับเรามองกระจกแล้ว ก็หายไปเดือนนี้จึงเป็นเดือนที่เราต้องเน้นในการฟังและจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังเป็นพิเศษ ที่จะแยกแยะได้ถึงเสียงที่เป็นเสียงของพระยาห์เวห์

และเมื่อเราได้ยินเสียงของพระยาห์เวห์ เราต้อง ฟัง ในแบบที่พระองค์ต้องการให้เราฟัง คือฟังและประพฤติตอบสนอง ไม่อย่างนั้นเราก็หลอกตัวเอง

นิยาม 3 คำ ของคำว่า เชมา

Hear ได้ยิน
Understand เข้าใจ รู้เรื่อง
obey เชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง หรือตอบสนอง
Shama จึงไม่ได้เป็นการได้ยินอะไรเรื่อย ๆ
แต่เป็นการสะสมของข้อเท็จจริง มันเป็น ความเข้าใจที่ชาญฉลาดและ การเชื่อฟังคำสั่งที่ตามมา

1.Hear ได้ยิน

มธ. 13:4 และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกก็มากินเสีย

(1)    เราต้องได้ยิน เมื่อนกมากินเมล็ดที่ตกตามหนทาง เป็นอุปมาถึงการไม่ได้ยิน

มธ. 13:19 (พระเยซูบอกถึงความหมายของอุปมา)

เมื่อใครได้ยินคำบอกเล่าเรื่องแผ่นดินของพระเจ้าแต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขานั้นไปเสีย นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชซึ่งหว่านตกริมหนทาง

ซาตาน มาเพื่อลัก ฆ่าและทำลาย มันชิงเอาความจริง (ถ้อยคำของพระเจ้า)
ไปปิดหูเราเพื่อให้เราไม่ได้ยิน (เราต้องไม่ให้ซาตานชิงเอาไป)

ในลูกกา ลก. 8:11 “อุปมานั้นหมายถึงอย่างนี้ เมล็ดพืชหมายถึงพระวจนะของพระเจ้า

ลก. 8:12 ที่ตกตามหนทางหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว มารมาชิงเอาพระวจนะไปจากใจของเขาเพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรับความรอด


2. Understand เข้าใจ รู้เรื่อง


มธ. 13:5 บ้างก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นอย่างเร็วเพราะดินไม่ลึก
มธ. 13:6 แต่เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมันก็ถูกแผดเผา จึงเหี่ยวไปเพราะรากไม่มี
เมื่อรากไม่มี ไม่มีรากที่ดูดซึมแร่ธาตุ หรือสิ่งยึดเกาะ ก็แห้งเหี่ยวไป แห้งเฉาไป

(2)    เราต้องเข้าใจถ้อยคำ หรือพระวจนะ
มธ. 13:20 และเมล็ดพืชซึ่งหว่านตกในที่ดินซึ่งมีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะ แล้วก็รับทันทีด้วยความยินดี
มธ. 13:21 แต่ไม่มีรากลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดการยากลำบาก หรือการข่มเหงต่างๆ เพราะพระวจนะนั้น เขาก็เลิกเสียในทันทีทันใด

การที่เราจะมีความเข้าใจ มาจาการที่เราต้องให้ พระวจนะ
คือโทราห์ของพระเจ้า หยั่งรากลึกภายในเรา  (มาระโก 7:14 จงฟังเราและเข้าใจเถิด)

ลก. 8:13 ที่ตกบนหินหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระวจนะนั้นด้วยความยินดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้เพียงชั่วคราว เมื่อถูกทดลองก็หลงไป

3. obey เชื่อฟัง ทำตามคำสั่ง หรือตอบสนอง

มธ. 13:7 บ้าง​ก็​ตก​กลาง​ต้น​หนาม ต้น​หนาม​ก็​งอก​ขึ้น​ปก​คลุม​เสีย
มธ. 13:8 บ้าง​ก็​ตก​ที่​ดิน​ดี แล้ว​เกิด​ผล​ร้อย​เท่า​บ้าง หก​สิบ​เท่า​บ้าง สาม​สิบ​เท่า​บ้าง


(1)    เชื่อฟังและ ตอบสนอง นำสู่การเกิดผล

มธ. 13:22 และเมล็ดซึ่งหว่านกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ แต่ความกังวลของโลก และการล่อลวงของทรัพย์สมบัติรัดพระวจนะนั้นเสีย จึงไม่เกิดผล

ไม่เกิดผล คือไม่สามารถเชื่อฟังได้ มันคือ อาการที่ ได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า แต่การล่อลวงของโลกนี้
สกัดหรือยับยั้งเขาไว้ บีบจนกลายเป็นหมัน

ลก. 8:14 ที่ตกกลางหนามหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้ว และขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่ ความกังวล ทรัพย์สมบัติ และความสนุกสนานของชีวิตนี้ ก็รัดพวกเขาจนทำให้ผลไม่เติบโต

แต่ถ้าสิ่งที่หว่านลงไปนั้น ตกในดินที่ดี และเหมาะสม ก็จะเกิดผล

มธ. 13:8 บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง
เพราะว่าการเชื่อฟังนำสู่การเกิดผล
มธ. 7:16 พวกท่านจะรู้จักพวกเขาได้ด้วยผลของพวกเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้มีหนามหรือ? และผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากพืชหนามหรือ?

อสย. 1:19 ถ้าพวกเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน
การเชื่อฟังคำสั่ง หรือถ้อยคำของพระยาห์เวห์
ช่วยให้ อิสราเอลได้กินผลไม้จากแผ่นดินรัฐอิสราเอล
มธ. 13:9 ใครมีหูจงฟังเถิด”
คำนี้ปรากฎอีกครั้ง ครับพี่น้อง ใครมีหูจงฟังเถิด

ลก. 8:15 ที่ตกในดินดีหมายถึงคนเหล่านั้นที่ได้ยินพระวจนะแล้วจดจำไว้ด้วยใจที่ซื่อสัตย์ดีงาม จึงเกิดผลโดยความทรหดอดทน

เก็บและจดจำไว้  และนำไปสู่ผล ด้วยความเพียร เดือนนี้เป็นเดือนของเผ่า “สิเมโอน”  ซึ่งหมายถึง "การได้ยิน"
เราจำเป็นต้องพัฒนาวินัยฝ่ายวิญญาณ เพราะวิญญาณชั่วจะเข้ามา และโน้มน้าวให้คุณเห็นด้วยและไปด้วยกันกับมัน

พวกมันรู้วิธีในการใช้รูปแบบของความผิดบาปในชีวิตเรา ดึงเรากลับไปหามัน เมื่อเราเห็นพ้องกับแผนแห่งความชั่วของมาร มันก็จะหยั่งรากลงในชีวิตเรา

คำอธิษฐาน

จงอธิษฐานว่า
“พระยาห์เวห์ ข้าพระองค์ไม่มั่นคง
แต่ข้าพระองค์ก็จะไม่ยุ่งเหยิงเหมือนดังสิเมโอน
(ผู้ซึ่งเลือกการแก้แค้นและการไม่ให้อภัย)

ข้าพระองค์ทูลขอวินัยในฝ่ายวิญญาณที่จะไม่ยอมเห็นด้วย
กับวิญญาณชั่วเกี่ยวกับตัวข้าพระองค์ ข้าพระองค์เลือกที่จะเชื่อพระองค์
และสิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทูลขอ

แบบแผนของพระองค์ที่จะหยั่งรากลงภายในข้าพระองค์
ข้าพระองค์ขอให้รูปแบบทางความคิดของความพ่ายแพ้
การเลือกทำอะไรที่ง่ายๆแทนทำสิ่งที่ถูกต้อง

จะปรากฏขึ้นชัดเจนในชีวิตข้าพระองค์
และถูกถอนรากถอนโคนออกไปเสีย” (อาเมน)
พี่น้องครับ ที่ผ่านมาเราอาจจะผิดพลาด แต่เดือน อัพ
ผมเชื่อว่าเป็นเดือนที่เราจะเริ่มต้นที่จะ แก้ไข การได้ยิน

รม. 10:17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน
และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์

ฉบับ คิงเจมส์
รม. 10:17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน
และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า

ฉบับ ราก
ดังนั้นแล้วความเชื่อ (เชื่อคำนี้หมายถึงการประพฤติด้วย)
มาโดยการได้ยิน และการได้ยิน ก็โดยพระวจนะของพระยาห์เวห์
(หรือผ่านทางถ้อยคำของพระยาห์เวห์)

“ใครมีหูจงฟังเถิด”

ชาโลม
ขอบคุณพระยาห์เวห์
Ktm.shachah

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย

 ถ้าใครตบแก้มขวาของท่านก็จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย มัทธิว อย่าต่อสู้คนชั่ว มธ. 5:39 ส่วนเราบอกพวกท่านว่า อย่าต่อสู้คนชั่ว ถ้าใครตบแ...