วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย

เคยไหมครับที่เราต้องเดินทางเป็นเวลาไกลๆ และสิ่งที่เราจดจ่อที่สุดคือเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายสักทีหนอ ? เป็นคำถามที่เราต้องการคำตอบใช่ไหม

ผมเคยเดินทางไกลหรือไปค่ายอนุชน หรือต้องนั่งรถไกลๆ ไปอมก๋อยที่เชียงใหม่ ระหว่างทางดูช่างแสนยาวไกลนัก ผมคิดถึงจุดหมายอย่างเดียวว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายสักที ผมถามคนที่เคยไปว่าอีกนานไหมกว่าจะถึง เพราะผมต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งตะคริว ทั้งเหน็บชา ทั้งเมารถจะอาเจียน ปวดหัว ไม่สบายตัวเอาเลย ผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย

แต่คำหนึ่งที่พี่น้องคนหนึ่งในรถพูดแซวเล่นขึ้นมาในรถเชิงปลอบใจว่า อีกแป๊บเดียว ให้ร่างกายปรับสภาพไปก่อน .. ใช่ผมคิดได้แล้ว ร่างกายต้องปรับสภาพ ถ้าอยู่ๆผมไปอยู่บนอมก๋อยที่มีอากาศหนาว หรือความกดอากาศที่แตกต่างผมอาจจะไม่สบายก็ได้

ครั้งหนึ่งระหว่างสอนเด็กที่คริสตจักร เด็กบางคนบอกว่าโตขึ้นเขาอยากเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเชื่อได้เลยว่าเขาก็ต้องรอคอยว่าเมื่อไหร่เขาจะไปถึงสิ่งที่เขาฝันอยากจะเป็น

หลายครั้งเราอาจจะเป็นเช่นนั้น เราอาจจะอยากมีเป้าหมายหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราอยากไปให้ถึง เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้ถูกนำออกมาจากถิ่นทุรกันดารที่เราเคยอยู่ และเราก็มักจัดการเป้าหมายด้วยตัวเองว่าอยากไปสู่จุดนั้นจุดนี้ แต่พระเจ้า พระองค์เจ้าชีวิตของเราพระองค์ทรงมี ตำแหน่ง และจุดหมายที่เหมาะสมให้กับเราแล้ว ซึ่งเกินความเข้าใจของเรา

ใน เฉลยธรรมบัญญัติ 8:2
ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงทางซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่านอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และทดลองให้ทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่


ประชาชนอิสราเอลพร่ำถามโมเสสผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ให้นำเขาออกมาจากอียิปต์ว่า เมื่อไหร่จะถึงสักที ? ก่อนนี้เขาเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระเจ้าใช้โมเสสมาบอกเขาว่าจะนำพวกเขาเข้าสู่แผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์

อพยพ 3:8
เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส

แทนที่เขาจะใช้เวลาเพียง 11 วัน แต่เขาต้องใช้เวลา 40 ปี ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากลั่นแกล้งพวกเขา แต่เพราะพวกเขายังไม่พร้อม และเอาแต่พร่ำบ่น ต่อว่า ขาดความเชื่อ และถามแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึง เขาจดจ่อแต่ที่พระคุณ แต่ไม่ใช่พระเจ้า และแผ่นดินนั้นก็เปรียบเสมือนรูปเคารพของเขานั่นเองที่เขาจดจ่อ

แต่พระเจ้ามีเหตุผลบางอย่าง เพราะจากการเป็นทาสอยู่หลายร้อยปีในอียิปต์ การที่พวกเขาเป็นทาสอยู่ 400 ปีในอียิปต์นั้น ประชากรชาวอิสราเอลต้องได้รับการปรับสภาพเพื่อเข้าสู่แผ่นดินใหม่ บรรยากาศใหม่ๆ พวกเขาต้องได้รับการปรับสภาพหัวใจ และความคิด ซึ่งพระเจ้าให้เขาได้เรียนรู้ในถิ่นทุรกันดาร เขาต้องเรียนรู้การเชื่อฟัง และละทิ้งพระเดิมๆที่ติดมาจากอียิปต์

ย้อนไปที่อียิปต์ในสมัยนั้น อียิปต์เต็มไปด้วยพระรูปเคารพต่างๆมากมาย อยากร่ำรวยก็มีพระหนึ่ง อยากทำอะไรที่เจริญขึ้นก็จะมีพระประจำ และสนองตัณหานั้นๆ และเมื่อนิสัยแบบนี้ติดไปที่อิสราเอล เมื่อโมเสส เสนออิสระและการปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นไท เข้าสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาก็ไม่ลังเล ที่จะต้อนรับพระอีกหนึ่งพระเข้ามาสู่พวกเขา โดยที่ไม่ได้ล่ะทิ้งพระเดิมๆ ไปเสีย ..
ถ้ายังจำได้ ในระหว่างถิ่นทุรกันดาร เมื่อใดที่พระเจ้าไม่ตอบสนองความต้องการของพวกเขา พวกเขาก็หันไปหารูปเคารพทุกครั้งไป ..และนิสัยแบบนี้แหละที่ต้องการการปรับสภาพ

เราเองบางครั้งเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เราเหมือนว่าทำไมไปไม่ถึงไหนสักที เหมือนเดินเป็นวงกลม วนไปวนมา เป็นเขาวงกต เราอาจจะได้รับถ้อยคำ หรือคำเผยพระวจนะ หรือพระวจนะจากพระคัมภีร์ที่ยืนยัน แถมด้วยพระสัญญามากมาย ที่ ศิษยาภิบาลย้ำนักย้ำหนาว่าพระสัญญาคือถ้อยคำที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทำไมชีวิต ถึงไม่เป็นตามที่พระเจ้าสัญญาจะช่วย คำถามเดิมก็คือ
“พระเจ้า เมื่อไหร่จะถึง” ต้องรออีกนานสักแค่ไหน
พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระสัญญาแค่นั้น แน่นอนพระองค์ไม่มุสา แต่พระเจ้าต้องการปรับสภาพเราเสียก่อนที่จะเข้าไปสู่แผ่นดินใหม่ แทนที่จะดีและมีความสุข แต่อาจจะเป็นตัวทำร้ายเราเองก็ได้ พระเจ้าต้องการทดสอบเราก่อนว่าเราพร้อมหรือยัง

ถ้าเราดูใน โยชูวา 5
ในตอนนั้นชนชาติอิสราเอลรุ่นก่อน คือผู้ที่ออกมาจากอียิปต์ รุ่นนั้นได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เพราะเขาไม่ผ่าน ดื้อดึงจนถึงที่สุด แต่พระเจ้ายังทรงพระคุณในชนรุ่นต่อมา ซึ่งมีโยชูวาเป็นผู้นำ พระเจ้าได้ให้อิสราเอล แสดงเครื่องหมายของการเปลี่ยนสภาพ คือการเข้าสุหนัต

พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า จงลับหินเป็นมีด เพื่อเข้าสุหนัตให้ ชนชาติอิสราเอล
เนื่องจากคนที่เกิดในถิ่น กันดาร ระหว่างเดินทางจากอียิปต์ ยังไม่เข้าสุหนัต
(การเร่ร่อน ของอียิปต์ผู้ชายที่อยู่ในวัยออกรบได้ ตายหมดแล้ว)
ชายอิสราเอลต้องทำพิธีเข้า สุหนัต เพื่อเป็นเครื่องหมาย ของพันธสัญญา
ระหว่างเขาและพระเจ้า แต่พิธีเข้าสุหนัตไม่ได้มีการปฏิบัติ ในระหว่างการอพยพในถิ่นทุรกันดารเมื่ออิสราเอลเตรียมที่จะทำ สงครามกับชาติต่างๆของคานาอัน พระเจ้าจึงบัญชาให้เขาเข้าสุหนัต

ชีวิตของเราต้องแสดงเครื่อง หมายของการเปลี่ยนแปลงอย่ากลัว มีด แห่งพระวจนะของพระเจ้าขณะที่กำลังทำเครื่องหมายในชีวิตของเราตำหนิของอียิปต์ คือความบาป จะต้องถูกนำออกไป เมื่อพระเจ้าเฉือนบางสิ่งบางอย่างออกไป

ไม่ว่าคุณจะรอคอยสิ่งใดก็ตาม ที่พระเจ้าต้องการมอบให้คุณ และมันดูเหมือนเนิ่นนานเหลือเกิน อย่าถามคำถามที่ว่าอีกนานแค่ไหน เราต้องรู้ว่าพระเจ้าให้ความสำคัญกับการเดินทางแต่ละย่างก้าวของเราด้วย ระยะทางแต่ละก้าวล้วนเป็นแผนการ และบทเรียนทดสอบจากพระเจ้า จงสวมความอดทน และถ่อมใจลง มีความเชื่อ ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และมั่งคงเข้าไว้  เมื่อเราคิดว่ามันเนิ่นนานเกินไปแล้ว นั่นแหละ สภาพเดิมๆของเราจะถูดเปิดเผยออกมา และช้าก่อน หยุดก่อนอย่างพึ่งเดินต่อไป รอให้มีดของพระองค์คือ

“มีด แห่งพระวจนะของพระเจ้าขณะที่กำลังทำเครื่องหมายในชีวิตของเรา
ตำหนิของอียิปต์ คือความบาป จะต้องถูกนำออกไป เมื่อพระเจ้าเฉือนบางสิ่งบางอย่างออกไป”




จงเดินทางด้วยการดำเนินชีวิตในพระวจนะ เชื่อฟังและทำตาม เราอาจจะไม่ต้องถามใครเลยว่า เมื่อไหร่จะถึง เพราะเราอาจะจะถึงจุดหมายใน 11 วัน ไม่ใช่ 40 ปี

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น