วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

หักโซ่ตรวนการกล่าวโทษ

หักโซ่ตรวนการกล่าวโทษ
 
 
1ทธ. 5:19 อย่ายอมรับคำกล่าวหาผู้ปกครองคนไหน เว้นแต่จะมีพยานสองสามคน

ในพระวจนะ หรือบริบทของถ้อยคำในพระคัมภีร์ มักพูดถึงเลขสอง หรือสิ่งที่คู่กันเสมอ และหนึ่งในนั้นคือเรื่องของพยาน

พยาน
N.witness
def:[ผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์, ข้อเท็จจริงที่ใช้เป็นหลักฐานเครื่องพิสูจน์ได้]
syn:{หลักฐาน}{ผู้เห็นเหตุการณ์}
relate:{ผู้รู้เห็น}{ผู้รับรู้}
sample:[พยานในคดีฆาตกรรมต่างปิดปากเงียบ ไม่มีใครกล้าพูด]

ที่มา : http://th.w3dictionary.org
ในพระวจนะบันทึกว่า ฉธบ. 17:6 ผู้ที่ถูกกล่าวโทษถึงตายนั้น ให้มีพยานสองหรือสามปาก จึงให้ปรับโทษถึงตายได้ ห้ามลงโทษใครถึงตายด้วยพยานปากเดียว

ฉธบ. 19:15 “ห้ามพยานปากเดียวกล่าวโทษใคร ไม่ว่าในเรื่องอาชญากรรมหรือในเรื่องความบาปใดๆ ซึ่งเขาได้ทำไป แต่ต้องมีพยานสองหรือสามปาก คำพยานนั้นจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้

2คร. 13:1 ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน “ข้อกล่าวหาใดๆ ต้องมีพยานสองสามปาก” จึงจะเป็นที่เชื่อถือได้

ในบริบทของพระวจนะใน 1ทธ. 5:19 การไม่ยอมรับคำกล่าวหานี้ ในกรณีที่เราไม่ผิดและถูกปรักปรำ กล่าวโทษ ใส่ร้าย และพิพากษา การไม่ยอมรับคือการ ปฏิเสธ ทั้งฝ่ายกายภาพและฝ่ายวิญญาณ อย่าให้ใจของเราต้องถูกปรักปรำด้วยคำกล่าวหา ซึ่งไม่มีมูลความจริง หรือการเป็นพยานเท็จใส่ร้าย
หนึ่งในบัญญัติ 10 ประการคือ อพย. 20:16 “ห้ามเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน

ในเฉลยธรรมบัญญัติ แม้จะอยู่ในพันธสัญญาเดิมแต่ก็สามารถนำมาเป็นภาพของความยุติธรรมได้อย่างชัดเจน

ฉธบ. 19:16 ถ้ามีพยานเท็จกล่าวปรักปรำความผิดของใคร
ฉธบ. 19:17 ก็ให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้คดีกันนั้นยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้พิพากษาซึ่งประจำการอยู่ในเวลานั้น
ฉธบ. 19:18 ผู้พิพากษาจะต้องไต่สวนอย่างถี่ถ้วน ถ้าพยานนั้นเป็นพยานเท็จ กล่าวปรักปรำพี่น้องของตนเป็นความเท็จ
ฉธบ. 19:19 ท่านจงทำต่อเขาดังที่เขาตั้งใจจะทำต่อพี่น้องของตน เพื่อท่านจะกำจัดความชั่วจากท่ามกลางท่านเสีย “

ลูกา 6:37
"อย่า วินิจฉัยโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ได้ถูกวินิจฉัยโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และท่านทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และเขาจะยกโทษให้ท่าน

ความรัก หรือการตัดสิน

ตัดสินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกรรมการที่ตัดสินมวย หรือกีฬานะครับ ..ผมเองเคยเขียนบทความเกี่ยวกับ ในการตัดสิน คริสเตียนหลายคนมักถูกตัดสินโดยไม่ยุติธรรมจากพี่น้องในคริสตจักร และแทบทุกคริสตจักร มักเจอกับปัญหาเหล่านี้ไม่มากก็น้อยสิ่งที่อยากจะหนุนใจคุณคือ จงลุกขึ้นจากหลุมกับดักเดี๋ยวนี้

หลายครั้งที่คริสเตียนที่มีสิทธิอำนาจ และมั่นใจในถูกต้องของตนเอง และมักมองคนอื่นๆ เป็นคนไม่สมบูรณ์และผิดพลาด ไม่ได้ดั่งใจคิดอย่างที่อยากให้เป็น หรือคิด ทั้งที่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีผู้ใดสมบูรณ์เลยสักคนเดียว การเตือนสติ และการกล่าวโทษตัดสิน รวมถึงการกล่าวโทษ กล่าวร้าย พิพากษาด้วยการเป็นพยานเท็จ การเตือนสติสำหรับผมเองคือเตือนกับเจ้าตัวด้วยท่าทีถ่อมสุภาพและด้วยความรัก และมุ่งหวังให้เกิดผลดี ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง แต่การตัดสินที่กล่าวมานั่นคือการวิเคราะห์และมองที่กายภาพท่าทีภายนอก ตลอดจนการกระทำ ที่ไม่เป็นที่ถูกใจของตนเอง และตามหลักความน่าจะเป็น และทำการพิพากษาโดยคิดว่าตนเองเป็นพระเจ้า (อาจจะรู้ตัวหรือ ไม่รู้ตัว)

พระเยซูทรงเตือนสาวกไม่ให้ตัดสินและกล่าวโทษผู้อื่น ตัดสินคือ ลงความเห็น ชี้ขาด และวินิจฉัย หลายคนชี้ขาดโดยไม่ไตร่ตรองพี่น้อง และวินิจฉัยพี่น้องเอาตามใจตนเอง และกล่าวโทษหมายถึง แจ้งว่าคนคนนั้นกระทำผิดพูดง่ายๆคือฟันธงลงไปเลยว่า เธอน่ะผิดและไม่ดี

บางคนชอบตัดสินผู้อื่นทั้งที่ตัวเองมีข้อมูลไม่ครบถ้วนก็ทำการชี้ขาด มองเห็นแต่จุดเสียของคนอื่น มีอคติส่วนตัวและหมั่นไส้หรือไม่ชอบมานานอยู่แล้ว การมีอคติส่วนตัวย่อมทำให้ขาดความรักและเมื่อขาดความรัก ก็ขาดการเชื่อในส่วนดี อยากจะเห็นคนคนนั้นตกต่ำลง ท่าทีในแง่ลบนี้เองทำให้ตัวเองบิดเบือนความจริง เมื่อมีการพูดคุยเพราะจะนำเข้าไปสู่การตัดสิน

อย่าตั้งตัวเองเป็นผู้ตัดสินผู้อื่นไม่ว่าโลกนี้คุณเองจะดูดีเพียงไร แต่ตัวคุณเองก็ยังเอาไม่รอดด้วยซ้ำถ้าไม่มีพระเยซู มารมักชอบการตัดสินและกล่าวโทษ และผู้ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นทาสของมารซาตานเอง อย่าร่วมมือกับมารในการกล่าวโทษผู้อื่นเพราะนั่นอาจจะเป็นการทำร้ายพี่น้องคนหนึ่งที่ยังไม่เข้มแข็งนักให้เขาต้องล้มลง  พระเจ้าให้เราเสริมสร้างซึ่งกันและกันไม่ใช่การทำลาย

มัทธิว [7:1] "อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
มัทธิว [7:2] เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น

พระเยซูสอนเราให้สำรวจแรงจูงใจการการพูดในการคิดและความประพฤติในสมองอันน้อยนิดของตัวเองมากกว่าที่จะไปตัดสินแรงจูงใจของผู้อื่น ลักษณะคำพูด บุคลิกในตัวของผู้อื่นอาจะทำให้เราไม่พอใจและเมื่อมีโอกาสก็ใช้โอกาสนั้นในการทำลาย ส่วนมากนิสัยที่เราไม่พอใจคนอื่นนั้นเป็นนิสัยที่เราไม่พอใจในที่ตัวเองเป็นด้วย สิ่งที่เรายังแก้ไม่ได้คือสิ่งที่เราอยากเปลี่ยนในตัวคนอื่นมากที่สุด เป็นเรื่องง่ายที่เราจะขยายความผิดของคนอื่น ขยายความไม่พอใจและอคติในตัวของคนอื่น และปกปิดแก้ตัวส่วนไม่ดีของตัวเอง หากเราคิดอยากใส่ร้ายใคร หรือมองหาแต่จุดเสียของคนอื่น แล้วฟันธงฉับ ตัดสินลงไปเลยว่าเธอมันไม่สมควรและเธอมันแย่ อยากให้ลองพิจารณาตัวเองก่อนดีกว่าไหม ว่าสมควรไหมที่จะรับคำตัดสินนั้น แทนที่จะตัดสินและกล่าวโทษ ช่วยเหลือและหนุนน้ำใจ เตือนสติ ด้วยความรักน่าจะเหมาะกว่า อย่าตัดสินผู้อื่นด้วยแรงจูงใจของตนเองเพื่อจะถีบตัวเองให้สูงขึ้นเลย

มัทธิว [7:3] เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
มัทธิว [7:4] เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
มัทธิว [7:5] ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้
มัทธิว [7:6] "อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย
1 โครินธ์ [4:5] เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนที่จะถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยความลับที่ซ่อนอยู่ในความมืดให้แจ่มกระจ่าง และจะทรงเผยความในใจของคนทั้งปวงด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้าตามสมควร

การตัดสินเป็นเรื่องที่เย้ายวน
โรม 12:10 จงรักกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัว

คำพูดนั้นจะไม่มีอิทธิพลกับเรา ถ้าเรายอมรับคำตัดสินและยอมติดคุกกับมันก็เท่ากับเราพ่ายแพ้ แต่เมื่อเราเองยอมที่จะเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นคนของพระองค์ อำนาจความชั่วร้ายนั้น ก็ไม่อาจจะกร้ำกรายเราได้เลย หัวใจ การเติบโตฝ่ายวิญญาณ ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มี 9 อย่าง คือ ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน กาลาเทีย 5.22-26

ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเราจะชี้ชัดใคร จะชี้หน้าตัดสินใคร หรือฟังพยานเท็จอุปโลกน์จากแหล่งไหนมา จงสะกิดใจและสวมความยุติธรรมในการ มีพยานยืนยันถึงความผิดของเขาด้วยเหตุผลที่เป็นกลางคือ พระเยซู ไม่ใช่ความสัมพันธ์ ก่อนที่จะก้าวไปสู่การประจานบาปที่มาจากการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมของผู้อื่น (1ทธ. 5:20 ส่วนพวกที่ยังคงทำบาปอยู่นั้น จงตักเตือนเขาทั้งหลายต่อหน้าทุกคน เพื่อพวกที่เหลือจะได้เกรงกลัวด้วย)

หักโซ่ตรวนการกล่าวโทษที่ไม่ยุติธรรม ขอพระยาห์เวห์อวยพระพร
ชาโลม
Ktm.shachah


ข้อพระคัมภีร์หนุนใจเมื่อท่านเจอกับการกล่าวเท็จและกล่าวหา
สภษ. 6:19 พยานเท็จซึ่งหายใจออกมาเป็นคำมุสา และคนที่หว่านความแตกร้าวในหมู่พี่น้อง
สภษ. 12:17 คนที่พูดความจริงก็ให้การอย่างซื่อสัตย์ แต่พยานเท็จกล่าวคำหลอกลวง
สภษ. 14:5 พยานที่ซื่อสัตย์ไม่มุสา แต่พยานเท็จหายใจออกมาเป็นคำมุสา
สภษ. 19:5 พยานเท็จจะถูกลงโทษ และคนพูดปดจะหนีไม่พ้น
สภษ. 19:9 พยานเท็จจะถูกลงโทษ และคนพูดปดจะพินาศ
สภษ. 21:28 พยานเท็จจะพินาศ แต่พยานที่พูดตามที่ได้ยินจะยืนยงอยู่ได้
สภษ. 25:18 ผู้ใดเป็นพยานเท็จกล่าวหาเพื่อนบ้านของตน ก็เหมือนกระบองศึก หรือดาบ หรือลูกธนูคมกริบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น