วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

ความเท็จที่ผสมเข้ามาในความจริง

ความเท็จที่ผสมเข้ามาในความจริง
วันนี้นั่งขณะนั่งอ่านสิ่งที่เพื่อน ๆ ส่งกันเข้ามาในไลน์กลุ่ม ก็พบเจอกับจดหมายลูกโซ่หรือการแชร์ข่าวที่มั่วที่นานมาก ๆ และแชร์หลอกกันมาเกือบทุกปี ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า ทำไมคนมีความรู้ขนาดหมอ ขนาดคนจบการศึกษาสูง ๆ จบพระคัมภีร์ หรือเป็นระดับผู้นำคริสตจักร ถึงยังหลงเชื่อข่าวเช่นนี้ ไม่พอแค่นั้นแถมยังแชร์เรื่องเหล่านั้นไปให้คนอื่น ๆ อีกโดยทีไม่รู้เลยว่าเป็นเรื่องหลอกลวง

พอสังเกตดี ๆ ถึงรู้ได้ว่า อ้อ ไม่ใช่เพราะความเป็นหมอ ไม่ใช่เพราะว่าเขาจบพระคัมภีร์หรือมีการศึกษาสูงหรือไม่ แต่เพราะข่าวเหล่านั้นมีความจริงผสมอยู่ด้วย บางครั้งครึ่งหนึ่ง บางครั้งไม่ถึงครึ่ง พอมีความจริงผสมปนเข้ามาก็เลยขาดการวินิจฉัย วิเคราะห์ แถมยังคิดว่ามันใช่ทั้งหมดและถ้าข่าวมุสาเหล่านั้นทำให้รู้สึกดีก็ขอบคุณพระเจ้าและกล่าวว่านี่คือวาระและการจัดเตรียมของพระองค์ ฮาเลลูยา และอาเมนกันไป

เราไม่จำเป็นต้องสอนเก่ง เป็นผู้นำคริสตจักร จบการศึกษาสูง ๆ เราก็วินิจฉัยเรื่องเหล่านี้ได้ ในคริสตจักรเองก็เช่นกัน การตรวจสอบไม่ใช่การไปตัดสินใคร หรือจับผิดใคร บางเรื่องอาจจะเป็นเรื่องที่ดูว่าไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย แต่หากเราพิจารณาแล้วผู้นำที่ขนาดเรื่องข่าวโกหกหลอกลวง ยังง่ายต่อการบอกต่อหรือแชร์ต่อ แล้วถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อและคำสอนล่ะ จะทำอย่างไร เป็นผู้นำยิ่งต้องรอบคอบ

มัทธิว 7:15 "ท่านทั้งหลายจงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ   ที่มาหาท่านนุ่งห่มดุจแกะ 
แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจหมาป่า"

พระคัมภีร์ได้เตือนเราให้ระวังคนพวกนี้ให้ดีที่จะเข้ามาในคริสตจักร ถ้าหมาป่ามาแบบหมาป่า มันก็ชัดเจนแต่ถ้าหมาป่ามาในคราบแกะ กว่าจะเห็นชัดเจนคนคนนั้นก็อาจจะโดนกัดกินเสียจะทันระวังตัว คำว่า “ผู้เผยพระวจนะเท็จ” คือผู้ที่อ้างตัวว่าพระเจ้าส่งมาแต่จริงๆแล้วพระเจ้าไม่ได้ส่งมา ดังนั้นเราสามารถพบเจอได้ทั้งผู้เผยพระวจนะจริง และผู้เผยเท็จ

พระวจนะไม่ได้มุ่งไปที่การจับผิด มุ่งไปที่การใช้เหตุใช้ผล แม้แต่ใจที่ชั่วร้าย เช่นความอิจฉา ริษยา แต่เมื่อพระเยซูตรัสชัดเจนว่า พระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับเรา นั่นคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเป็นแสงสว่างให้กับเรา หากมีพระวิญญาณแม้แต่เรื่องในชีวิตประจำวันพระเจ้าก็จะนำเราให้มีสติมีปัญญาในการวินิจฉัยก่อน การรีบแชร์หรือรีบที่สอนและถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องไม่จริงก็เท่ากับ คนคนนั้นได้โกหกคนอื่นไปด้วยแม้จะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ

ผู้ฟังหรือผู้อ่านก็เช่นเดียวกันพระวจนะได้เตือนเราว่าให้พิสูจน์ เคยได้ยินคำพูดที่บอกว่า ให้เชื่อฟังผู้นำ อย่าต่อสู้ผู้นำ ผู้นำพูดอะไรก็ต้องน้อมรับและทำตามไหม ? เป็นเรื่องจริงที่เราต้องเชื่อฟังผู้นำที่ชอบธรรม และให้เกียรติในสิทธิอำนาจ แต่ไม่ใช่เชื่อในเสียทุกอย่าง พระคัมภีร์ให้มีการวินิจฉัย ให้มีการพิสูจน์และใคร่ครวญ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่การต่อสู้หรือลบหลู่ผู้นำ

1ยน. 4:1 ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้เผยพระวจนะเท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก

เราต้องแยกให้ออกระหว่างผีสิง กับ ผีล่อลวง คริสเตียนผีสิงได้ไหมอันนั้นยังเป็นที่ถกเถียงหลายประเด็น แต่ผีสิงจะควบคุมทั้งหมด แต่การล่อลวงแตกต่างกัน คือเผยถ้อยคำของพระเจ้า แต่ได้บิดเบือนไป ไม่ขาว ไม่ดำ แต่เป็นสีเทา (หมาป่าที่มาในคราบแกะ) การพิสูจน์หรือชั่งใจ ไม่ใช่การหมิ่นหรือขัดขวางพระวิญญาณ

พระวจนะกล่าวชัดเจนว่า “จงพิสูจน์” การพิสูจน์คือ ชี้แจงให้รู้เหตุผล, แสดงให้เห็นจริง พระวจนะจะพิสูจน์พระวจนะ ถ้อยคำพิสูจน์ถ้อยคำ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา และพระบุตร ดังนั้นไม่มีทางขัดแย้งกันเอง พระองค์จะวินิจฉัยสิ่งนั้น

ดังนั้นหากเราจะฝึกนิสัยในทุกด้าน แม้แต่ชีวิตฝ่ายโลก ข่าวสารแชร์และจดหมายลูกโซ่ ต่าง ๆ ให้คิดก่อนที่จะแชร์ พิสูจน์ให้ดี วินิจฉัยด้วยสติปัญญาโดยพระวิญญาณ ยก. 1:19 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

เราอาจจะประยุกต์ใช้พระวจนะข้อนี้เมื่อเราจะโพสต์หรือแชร์อะไร ไวในการอ่าน ช้าในการโพส ช้าในการแชร์

สิ่งเหล่านี้จะช่วยฝึกเราด้วย ไม่ว่าเราจะพูดอะไร จะสอนอะไรในเรื่องของพระเจ้าเราจะไม่ถูกหลอกลวงด้วยการผสมปนเปื้อนความเท็จเข้าไปในความจริงของพระเจ้า

ชาโลม
ktm.Emunah

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น