ความรักคือการตักเตือน
และยอมรับคำตักเตือน
คริสเตียน (บางคน) ตีความหมายความรักว่า บางครั้งต้องปล่อยผ่าน ๆ ไป ให้เขาได้เรียนรู้ เออออห่อหมกไปด้วย แม้สิ่งนั้นจะผิดแต่พระเจ้าน่ารัก ข้อดีเขามีมากมาย และยกเอาข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า"ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง" 1 โครินธ์ 13:7
หรือ “ความรักไม่ช่างจดจำความผิด” 1 โครินธ์ 13:4
บางครั้งคำตักเตือนถือเป็นการตำหนิและกล่าวโทษ หากถูกตักเตือนผู้ตักเตือนจะกลายเป็นคนที่ขาดซึ่งความรักและพิพากษาตัดสิน
แต่ความรักที่แท้จริงนั้นคือการไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด
1คร. 13:6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ
แต่ความรักแท้นั้นคือการ ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด เมื่อเห็นความผิดหรือความไม่ถูกต้อง พระคัมภีร์สอนให้เราคุยกันด้วยความรักและความนอบน้อม คนเตือนอาจจะผิดก็ได้แต่ต้องคุยกันด้วยความรัก ส่วนใหญ่และเมื่อคนถูกตักเตือนจะรับไม่ได้ โกรธ รู้สึกเสียหน้า เสียฟอร์ม และรับไม่ได้เหมือนถูกหักหน้า
สภษ. 6:23 เพราะพระบัญญัติเป็นประทีป และคำสอนเป็นสว่าง และคำตักเตือนของวินัย เป็นทางแห่งชีวิต
สภษ. 13:18 ความยากจนและความอดสูมาถึงบุคคลที่เพิกเฉยต่อคำเตือนสติ แต่บุคคลที่สนใจคำตักเตือนก็ได้รับเกียรติ
ความรักคือการตักเตือนและแจ้งจุดที่ผิดพลาดต่อเขา ไม่ใช่การปล่อยไปเรื่อย ๆ ไม่คุย ไม่บอก เพราะเชื่อว่ากลัวเขาจะโกรธ หรือเดี๋ยวเขาก็เรียนรู้เอาเอง เดี๋ยวเขาก็โต เดี๋ยวพระเจ้าจะสอนเขาเอง หรือรอให้พระพระวิญญาณนำเขาเองเสียจะดีกว่า
เหล่านี้ที่กล่าวมาเป็นความเข้าใจที่ผิด และแทนที่จะเป็นสิ่งที่ดีกลับเป็นการทำร้ายพี่น้องในพระกายด้วย อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นความเห็นแก่ตัว กลัวเขาจะโกรธ กลัวเขาจะไม่ชอบ และเป็นการรักษาน้ำใจ หากทำเช่นนี้ก็เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะไม่มีปัญหาในความสัมพันธ์
ในพระคัมภีร์พระเยซูกล่าวเตือนฟาริสีอย่างตรงไปตรงมา พระองค์ไม่ได้กลัวฟาริสีจะโกรธ แม้แต่ฟาริสีที่มีตำแหน่งใหญ่โต พระเยซูก็ไม่ได้กลัวในตำแหน่งหรือหน้าที่การงาน หรือความเป็นผู้นำของเขา
ทุกวันนี้ ผู้นำหรือศิษยาภิบาลบางคน ก็ไม่อาจจะรับคำตักเตือนได้เช่นเดียวกับฟาริสี เพราะเขาเหล่านั้นเรียนจบสูง หรือมีตำแหน่งหน้าที่และมีผลประโยชน์ หรือมีความมั่นใจในตัวเองเสียจนไม่มีใครกล้าที่จะตักเตือน
วันนี้คำถามที่มาถึงผู้เชื่อคือ "เราชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิดหรือไม่" ในภาษาฮีบรูนั้น ทั้งความเชื่อและความรัก เป็นคำกริยา ที่ต้องมีการประพฤติและปฏิบัติ ไม่ใช่เพียงอารมณ์ ความรู้สึก เหมือนหนุ่มแอบชอบสาว รักนะแต่ไม่แสดงออก ความรักคือการสำแดง ไม่เห็นแก่ตัวว่าเขาจะโกรธหรือไม่ชอบเราหรือไม่
รม. 12:8 ถ้าเป็นผู้เตือนสติก็จงเตือนสติ ผู้ที่ให้ ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ครอบครอง ก็จงครอบครองด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา ก็จงแสดงด้วยใจยินดี
คส. 3:16 จงให้พระวจนะของพระคริสต์อยู่ในพวกท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงฝ่ายจิตวิญญาณด้วยการขอบพระคุณพระเจ้าในใจของท่าน
การเตือนสติ ต้องอยู่บนฐานของ ความรัก ในการเตือนสติใครคนหนึ่ง อาจจะอยู่ในสงครามที่มีแต่คนรอบข้างเห็นดีด้วยไปหมด จงอย่ากลัวที่จะเตือนสติ บางคนแม้จะทำผิดแต่คนก็เห็นดีด้วยไปหมด เออออตามหมด ถ้าไม่มีการเตอนด้วยความรักอนาคตคริสตจักรจะเป็นเช่นไร
1ยน. 3:18 ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
รม. 12:9 ขอให้ความรักมาจากใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี
ในฉบับ ThaiKJV รม. 12:9 จงให้ความรักปราศจากมารยา จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่ว จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี
รักที่มาจากใจจริง จึงหมายถึงรักที่ไม่เสแสร้ง หมายถึง อย่าปล่อยให้ความรัก แสดงออกแต่เพียงภายนอก แต่ต้องมาจากภายใน
มีพระคัมภีร์ฉบับหนึ่งที่อ้างอิงการแปลจากภาษา Aramaic ได้บันทึกว่า อย่าให้ความรักของเรามีเล่ห์เหลี่ยม guileful ยังแปลได้ว่า มารยา, หลอกลวง
จากพระวจนะตอนนี้หากเราไม่ตักเตือนกันด้วยความรัก เท่ากับว่าความรักของเรานั้นเป็นความรักปลอม ๆ หรือเป็นแค่ความรักทีเสแสร้ง ในภาษาฮีบรูคำว่า ความรัก คือ อาฮาวา จึงหมายถึง Ahava - Love (אהבה) การให้และการปกป้อง ความใกล้ชิด ร่วมคือร่วมเป็นร่วมตาย ผูกพัน
ฮบ. 3:13 ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า "วันนี้" เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่านมีใจแข็งกระด้างไปเพราะเล่ห์กลของบาป
ชาโลม
ktm.Emunah
ขอบคุณสำหรับบทความนี้ค่ะ ช่วยให้เข้าใจพระวจนะขึ้นมากเลยค่ะ ว่าเราต้องรู้จักเตือนสติกันด้วยความรัก ไม่ได้ปล่อยผ่านเพื่อให้เค้าเรียนรู้เอง
ตอบลบใครมีหู...จงฟังเถิด!!!
ตอบลบขอบคุณที่แบ่งเวลาที่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเพื่อ..เป็นคำตอบ...ขอบคุณคะ
ตอบลบ