การทรงสถิต
ว่าด้วยเรื่องการทรงสถิต การทรงสถิต หรือการสถิตอยู่ของพระเจ้าต่างกันหรือไม่ หลายคนแสวงหาการทรงสถิต ต้องการอยู่ในการทรงสถิต อยากดำเนินอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดีเมื่อต้องการการ ทรงสถิต หลายคนจึงเฝ้าแสวงหาการทรงสถิต หลายคนพยายามในฝ่ายวิญญาณ บางคนชอบอยู่แบบคนเดียว ต้องเงียบ ๆ กับพระเจ้าถึงจะมีการทรงสถิต บางคนต้องรวมพี่น้องมานมัสการมากๆ เพื่อจะมีการทรงสถิต บางครั้งก็อาจจะมีการรวมตัวกันอดอาหาร มีการวางมือจากคนดังๆ เพื่อรับการเจิม รับการเผยพระวจนะ หวังจะมีการเจิมและแช่อยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผิดเลยและดีเสียอีกที่ให้เวลากับพระเจ้า
ในงานสัมมนานมัสการบางงาน เมื่อมีการนมัสการดำเนินไป หลายคนอาจจะยืนเฉย ๆ รู้สึกเหมือนไม่อยากนมัสการ หรือนมัสการไม่ออกและ (อาจจะ) กล่าวว่า “การนมัสการนี้ไม่รับรู้ถึงการทรงสถิตเอาเสียเลย” หรือ “การนมัสการนี้ไม่มีการทรงสถิต”
การทรงสถิตไม่ต้องรอนักเทศดัง ๆ กวาดมือแล้วคนล้มทีละเป็นร้อยคน ไม่ต้องรอกอดหรือสัมผัสมือคนดัง ๆ แล้วจะได้รับการเจิม เพราะหากไม่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะ ล้มลงไปลุกขึ้นมาการทรงสถิตก็หายไปเพียงแค่นั้นเมื่อกลับบ้าน
ความเข้าใจที่เชื่อว่า การเจิม และการทรงสถิต ต้องมีรูปแบบเหล่านี้เท่านั้น เป็นความเข้าใจที่อาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด การทรงสถิต "presence" ในภาษาฮีบรู "Shekinah" หมายถึง การทรงสถิต การปรากฎหรือสำแดงของพระเจ้า คือการอยู่อย่างต่อเนื่อง คำนี้ยัง หมายความว่าการตั้งรกรากได้ด้วย ส่วนคำว่า "Kivod" ในภาษาฮีบรู หมายถึง ศักดิ์ศรี หรือ พระสิริ
Glory หมายถึง พระสิริ รัศมี เกียรติศักดิ์, ความรุ่งโรจน์, ความเลื่องชื่อลือนาม, บารมี
Shekinah มีความเกี่ยวข้องกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Rauch HaKodash) ในสวนเอเดน พระเจ้าอยู่กับพวกเขาที่สวนนั้น กับอาดัม และ เอวา
Kivod คือคุณลักษณะ หรือพระลักษณะของพระเจ้า ขณะที่ Shekinah เป็นกระบวนการของพระเจ้า ถ้อยคำของพระองค์ การสำแดง การทรงสถิต ผ่านทางฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์สถิตอยู่ท่ามกลางเวลาและสถานที่
ยน. 1:14 พระวาทะได้ทรงสภาพของเนื้อหนัง และทรงอยู่ท่ามกลางเรา (และเราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระบุตรองค์เดียวที่บังเกิดจากพระบิดา) บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
ยอห์นกล่าวว่า พระวาทะ (พระเยซู) อาศัยอยู่ "Shekinahed"
1ยน. 4:12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าไม่ว่าเวลาใด ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
พระวจนะบันทึกว่า "ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย" และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา พระวจนะหลายตอนในพันธสัญญาใหม่เน้นอย่างมากว่า จงดำเนินชีวิตในความรัก ด้วยความรัก และเต็มไปด้วยความรัก นั่นคือการดำเนินชีวิตอย่างมีการทรงสถิต บัญญัติข้อใหญ่ก็พูดถึงเรื่องความรัก บัญญัติข้อหนึ่งบันทึกว่า จงรักเพื่อนบ้าน นี่คือการดำเนินในความรักซึ่งเต็มด้วยการทรงสถิต
เมื่อเรามีความรักให้กับพี่น้อง เพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะรักโดยการกระทำการดีกับเขา ให้สิ่งของ ให้ความช่วยเหลือจุนเจือ หนุนน้ำใจ หรือให้อภัยในความผิด ไม่ทำการร้ายตอบแทนการร้าย ไม่เปิดโปงความผิดให้เขาต้องอับอายซึ่งเป็นการทำร้ายเขาและพิพากษาตัดสิน เมื่อเราอวยพรให้กับผู้ที่ข่มเหงเราและแช่งด่าเรา พระเจ้า (พระวิญญาณบริสุทธิ์) ก็ทรงสถิตอยู่กับคนนั้น วิหารที่ประทับของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงเป็น "ความรัก" ที่ใดมี "ความรัก" พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ที่นั่น
1ยน. 4:12 ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้าไม่ว่าเวลาใด ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
1ยน. 4:16 เราทั้งหลายจึงรู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น
การดำเนินชีวิตในความรัก ตามบัญญัติของพระเจ้า คือการที่เราจะได้อยู่กับการสถิตอยู่ของพระองค์
อฟ. 3:17 เพื่อพระคริสต์จะทรงสถิตในใจของท่านโดยความเชื่อ เพื่อว่า เมื่อทรงวางรากฐานท่านไว้อย่างมั่นคงในความรักแล้ว
ในพันธสัญญาเดิม
อพย. 25:8 แล้วให้พวกเขาสร้างสถานนมัสการสำหรับเรา เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา
อพย. 25:9 พวกเจ้าจงสร้างพลับพลาและเครื่องใช้ไม้สอยทุกชิ้นของพลับพลานั้นตามแบบที่เราแจ้งแก่เจ้าทุกประการ
อพย. 29:46 เขาทั้งหลายจะรู้ว่า เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา ผู้ได้นำพวกเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเราจะอยู่ท่ามกลางเขาทั้งหลาย เราคือยาห์เวห์ พระเจ้าของพวกเขา
ในพันธสัญญาเดิมพระยาห์เวห์ทรงสถิตอยู่กับประชากรของพระองค์ เมื่อนำเขาออกจากอียิปต์ และได้ให้พวกเขาสร้างพลับพลาขึ้น ดังนั้นในปัจจุบัน ผู้ที่เชื่อในพระบิดา และออกพระนามของพระเยซู (ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้นอกจากทางพระเยซู) ดังนั้นพระวจนะบันทึกว่า
1คร. 6:19 ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง?
ย้อนกลับไปที่ ยน. 1:14 พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง
"อาศัยอยู่" = กางเต็นท์พักแรมหนึ่งหรือพลับพลา “พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพลับพลาอยู่ท่ามกลางเรา”
ดังนั้นเวลานมัสการ อธิษฐาน หรือใครที่มาบอกคุณว่า คุณไม่มีการทรงสถิต อย่าได้โกรธเขาเลย เพราะตัวเขาเองวิ่งหาการทรงสถิต เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจนไม่รับรู้ถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงเป็นความรักภายในตัวเขาเอง เมื่อใดที่ผู้เชื่อขาดจากความรัก และกล่าวโทษคนอื่น นั่นหมายถึง ตัวเขาเองไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้าได้
และอย่าให้อย่าให้เรารู้สึกว่าเราต้องการการทรงสถิตจากรูปแบบเหล่านั้นที่กล่าวมา หากเรายังดำเนินชีวิตตามบัญญัติและน้ำพระทัยของพระเจ้า เดินในความรัก เราทั้งหลายจะไม่พรากจากการทรงสถิตเลย
เป็นการดีที่เราต้องการ การทรงสถิตกับพระเจ้า แท้จริงการทรงสถิตพระเจ้าอยู่กับเรา เพียงแต่ความวุ่นวายมากมาย สิ่งเร้าในโลกนี้มากมายพยายามที่จะดึงเรา (จิตวิญญาณ) ออกจากการทรงสถิต ดังนั้น การนมัสการ การนอนนิ่ง ๆ และใช้เวลากับพระเจ้า การอธิษฐาน หรือหลายคนใช้คำว่า “soaking” แม้คำนี้ไม่มีบันทึกในพระคัมภีร์ แต่ก็เป็นบริบทของบรรดา ผู้เชื่อในพระคัมภีร์หลายคนที่ใช้เวลากับพระเจ้า นั่นหมายถึงการจดจ่อกับพระเจ้า ดึงจุดศูนย์กลางว่าที่พระองค์
Shekinah มาจากราก
H7931
שׁכן
shâkan
shaw-kan'
ขอพระยาห์เวห์อวยพระพรท่าน
ชาโลม
ktm.Emunah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น