วันพุธที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พิพากษา

พิพากษา

การพิพากษาจะมีแนวความคิดว่า ตัวเองดีกว่าคนอื่น และไม่เพียงรู้ว่า คนอื่นทำอะไร แต่ยังรู้เหตุผลที่ทำได้อีกด้วย การพิพากษาเป็นการตัดสินและดูหมิ่นคนอื่นจากของความเคร่งครัดบัญญัติ มักจะภูมิใจในความชอบธรรมของตัวเอง นั่นคือเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการตัดสิน โดยอ้างการนำของพระเจ้า

คนที่ชอบพิพากษาผู้อื่นมักจะไม่รู้ความจริงอย่างถ่องแท้ แต่จะเอาข้อมูลผิวเผินที่มองเห็นไปใช้เพื่อตัดสินสิ่งที่คนอื่นทำ และชี้ว่าผู้นั้นผิดอย่างไร เขาจะรู้สึกได้ระบายเมื่อได้ประจานคนอื่นต่อหน้าคนหมู่มาก
พระเยซูตรัสกับผู้ที่ตั้งตัวขึ้นเพื่อตัดสินคนอื่นว่า
มธ. 7:1 “อย่าพิพากษา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงพิพากษาท่านทั้งหลาย
มธ. 7:2 เพราะว่าพวกท่านจะพิพากษาผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงพิพากษาท่านอย่างนั้น และท่านทั้งหลายจะตวงให้ผู้อื่นด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้พวกท่านด้วยทะนานอันนั้น
มธ. 7:3 ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน?
มธ. 7:4 ท่านจะกล่าวกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ให้ฉันเขี่ยผงออกจากตาของเธอ?’ ทั้งๆ ที่มีไม้ทั้งท่อนอยู่ในตาของท่านเอง
มธ. 7:5 คนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้


การตัดสินพี่น้องของตน
ยก. 4:11 พี่น้องเอ๋ย อย่ากล่าวร้ายกันและกัน คนที่กล่าวร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ก็กล่าวร้ายธรรมบัญญัติและตัดสินธรรมบัญญัติ ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน
ยก. 4:12 ผู้ที่ตั้งธรรมบัญญัติและผู้ที่ตัดสินมีแต่เพียงองค์เดียว ผู้ทรงสามารถช่วยให้รอดหรือทำลายก็ได้ แต่ท่านเป็นใคร ถึงได้ตัดสินเพื่อนบ้านของท่าน?

การตัดสินไม่ยุติธรรม การพิพากาตัดสินจะพยายาม "ใส่ร้าย" ใส่ร้ายไม่ใช่เพียงโกหกเท่านั้น ใส่ร้ายเป็นเรื่องของการทำร้ายทำลายชื่อเสียงของผู้อื่น การใส่ร้าย บางครั้งไม่เป็นการโกหกสีดำทั้งหมด แต่เป็นโกหกสีเทา  พระวจนะบางตอนให้คำจำกัดความการไม่ใส่ร้ายว่า "ไม่พูดชั่ว"
สำหรับคำว่าผู้พิพากษา (ไม่รวมผู้มีอำนาจทางกฎหมาย) มีเพียงพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น

คนที่ทำตัวเช่นนี้ตลอดเวลา จะอยู่ในรูปแบบของความเย่อหยิ่ง ยโส ริค จอยเนอร์กล่าวว่า คนที่มีวิญญาณเช่นนี้อาจจะชี้ปัญหาได้อย่างแม่นยำ แต่เขาจะไม่ค่อยมีทางแก้ไข ยุทธศาสตร์ของศัตรูคือ การยกเลิกความก้าวหน้าและหว่านความท้อแท้ที่จำกัดอนาคตของผู้อื่น

พระเจ้าเตือนอย่างรุนแรงแก่คนที่ชอบพิพากษา ตัดสิน และติเตียนผู้อื่นอย่างรุนแรงว่า สดด. 101:5 บุคคลผู้ใส่ร้ายเพื่อนบ้านลับๆ นั้น ข้าพระองค์จะทำลายเสีย คนยโสและมีใจจองหอง ข้าพระองค์จะไม่ยอมทนด้วย
การใส่ร้าย หมายถึงการพูดไม่จริงหรือพูดเพื่อมุ่งร้ายเกี่ยวกับคนอื่น คนที่ติเตียนจะใส่ร้ายคนอื่นเป็นประจำ และตำหนิทั้งความอุตสาหะและตัวบุคคล พระเจ้าไม่ทรงอดทนต่อการกระทำเช่นนี้

มารซาตานมักโจมตีทางความคิดและใส่ความหลอกลวงผู้เชื่อให้ตำหนิติเตียนผู้อื่นเพื่อลดความสามารถ ของเขาในการไปถึงศักยภาพในพระเจ้า ร้ายกว่านั้น วิญญาณศาสนาได้ใช้คริสเตียนที่ติเตียนให้หว่านเมล็ดของความไม่พอใจ ความระแวง ความโกรธ ความรู้สึกเหนือกว่าคนอื่น และท่าทีอธรรมอื่นๆ อีกมากมายในทุกคนที่ฟังหรือเห็นด้วยกับคำตำหนิของเขา และระมัดระวังตัวเองที่จะไม่เห็นด้วยกับคนเช่นนั้น

การเห็นตัวเองเป็นหลัก
อีกรูปแบบของความเย่อหยิ่งปรากฎในคนที่ทำตัวเหมือนกับว่า ทั้งโลกกำลังจดจ่อที่ตัวเขาและสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เขาเชื่อว่า “คนที่สำคัญที่สุดคือฉัน” ความตั้งใจของฉัน (คุณเห็นผมไหม ผม ผม ผม) การเสียสละของฉัน แผนการของฉัน ความต้องการของฉัน ความจำเป็นของฉัน เวลาของฉัน วิธีการของฉัน มันยากที่เขาจะถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว รม. 12:10 จงรักกันฉันพี่น้อง จงขวนขวายในการให้เกียรติกันและกัน

เขาจะมองหาความสงสารและเรียกร้องจากทุกคนที่จะรับฟัง เมื่อเขาพูดคนอื่นจะฟัง ไม่ต้องสงสัยเลยที่พวกฟาริสีจะเห็นความสำคัญของตัวเองเป็นหลัก และเห็นว่าตัวเองยิ่งใหญ่ขนาดที่โลกจะหมุนไปรอบตัวเขา

ความถ่อมเทียมเท็จ

วิญญาณศาสนามักจะให้เราหลบเลี่ยงการแสดงความเย่อหยิ่ง สัญญาณต่างๆอาจจะเป็นการดูถูกตัวเอง ใช้ชีวิตอย่างยากจนด้วยความจงใจ เป็นพรมให้คนอื่นเหยียบย่ำ และมีความคิดว่าตัวเองเป็นเหยื่อ ที่ต้องเสียสละเสมือนแบกความหวังของโลกใบนี้ไว้

(บางส่วนจากหนังสือ ชัยชนะเหนือวิญญาณศาสนา)
ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะพ้นจากวงจรการพิพากษา และเพื่อที่เราจะไม่พิพากษาคนอื่นด้วย

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ชาโลม
Ktm.Emunah

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น