วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

เดือน อาดาร์

เดือน อาดาร์
the month of Adar (אֲדָר‎)

เดือนอาดาร์ เป็นเดือนสุดท้ายของปี เดือนที่ 12 ในเดือนนี้มีวันที่เรียกว่าเทศกาลปูริม
และในเดือนนี้ตลอดในพระคัมภีร์ พระยาห์เวห์ทรงประสงค์ ให้ผู้เชื่อในพระองค์เต็มไปด้วย การสื่อสารที่คล่องแคล่ว และการแสดงออกซึ่งความยินดีและเสียงหัวเราะ ที่ชื่นชมยินดี คริสตจักรที่ควรจะเป็นคือคริสตจักรที่ชื่นชมยินดีด้วยเสียงหัวเราะ ปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการและสรรเสริญ แด่องค์พระยาห์เวห์

ดังนั้นเองเราต้องอยู่ใน "อารมณ์แห่งการเฉลิมฉลอง"  ไม่ใช่หดหู่ ไม่ใช่เศร้า วิญญาณแห่งความตายฝ่ายวิญญาณต้องการทำให้คริสตจักรที่ชื่นชมยินดีนั้นตายไป จงป่าวประกาศว่าพระเจ้าได้นำเราออกจากวงจรเก่า และเข้าไปสู่ยุคแห่งความโปรดปราน  ดั่งเช่นชนชาติยิวที่ได้รับการปลดปล่อย
เราเองต้องรู้ว่าเราเป็นใคร เราเกิดมาเพื่ออะไร เมื่อพระเจ้านำเราที่จะลุกขึ้น  เราต้องพร้อมที่จะรู้จักตัวตนและอัตลักษณ์ของเรา  อัตลักษณ์ คือ คุณลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ของลักษณะเฉพาะของบุคล อัตลักษณ์ที่พะเจ้าให้มาต้องบ่งบอกลักษณะเฉพาะด้วยเช่นกัน
เมื่อคนมามาจะรู้ว่าพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่

เป็นลักษณะที่ไม่เหมือนกับโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มสะท้อนออกมาในเดือนนี้ สะท้อนได้อย่างไร
โดยการค้นหา ขอการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะเปิดตาให้เราค้นพบได้ ทั้งฝ่ายวิญญาณและกายภาพ  พระเจ้าได้กำหนดวงจรขึ้นมาแล้ว เพื่อช่วยให้เรามาถึงอัตลักษณ์ของเราฝ่ายวิญญาณสะท้อนให้เห็นทางกายภาพ

เดือนของตัวอักษร "คาฟ" (ตัวอักษรฮีบรูนี้ดูคล้ายกับหน้ากาก) นี่คือเวลาที่จะถอดหน้ากากทั้งหมด หน้ากากที่ทำหน้าแบบคนเป็นทาสจะถูกถอดออก ภายในหน้าอันแท้จริงคือหน้าที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ และเข้าไปสู่เสียงหัวเราะเราต้องถอดหน้ากากออก  และเข้าไปสู่ความยินดีที่แท้จริงที่คุณรู้ว่าคุณคือใคร

สุภาษิต 17:22 ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี แต่จิตใจจิตใจชอกช้ำทำให้กระดูกแห้ง

เวลานี้ถ้าภายในของใคร รู้สึกว่าความชื่นชมยินดีหมดไร้เรี่ยวแรงถูกยาระบาย ระบายหายไป
จงเข้าใจว่า ความยินในพระเจ้าเป็นกำลังของท่าน อาเมน อะไรหรือเหตุการณ์ใด สถานการณ์ใดที่ล่ามโซ่ท่านไว้  ความยินดี และชื่นชมยินดีจะหักโซ่ตรวนที่จองจำท่านทั้งหลายไว้

หมายความว่า การปลดปล่อยกำลังเริ่มขึ้นแล้ว ฤดูกาลแห่งการปลดปล่อยจะมา จงดูการปลดปล่อยที่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้วสำหรับคุณ  จงจ้องสิ่งที่ล่ามเราไว้แล้วประกาศสัจจะแห่งพระเจ้าออกไป จงประกาศว่า   พระองค์ได้เริ่มต้นการปลดปล่อยและประทานอิสรภาพสำหรับเราแล้ว  และมันกำลังจะมาถึง! (อพย 2:10)

และนี่เป็นเวลาที่คำสบประมาทท่านจะถูกถอดถอน (ถ้าคุณใส่ใจในคำเหล่านั้น  มันก็จะล้อมเราไว้แล้วทำให้คนอื่นพูดแง่ลบเกี่ยวกับตัวเรา) เราจำเป็นต้องทุบคำสบประมาทแง่ลบเกี่ยวกับตัวเราทิ้งซะ  ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเปิดเผยคำสบประมาทเหล่านั้น ไม่ว่าจะจริง หรือไม่จริง จริงก็ยอมรับ ไม่จริงก็ก้าวผ่านข้ามมันไป ยิ่งยืนอยู่เราก็ยิ่งโดนทับถม ซาตานจะใส่ความคิดแง่ลบเข้ามาในความคิดของเรา

วางพระโลหิตพระเยซูบนคำเหล่านั้นและหักมันลงด้วยพระนามของพระเยซู พระเมสสิยาห์
ในเดือนนี้มีเทศกาลปูริม ในวันที่ 14 อาดาร์ประเทศอิสราเอลมีการเฉลิมฉลองเทศกาล "ปูริม"(Purim) ต้นกำเนิดของเทศกาลปูริมอยู่ในหนังสือ เอสเธอร์ 

เป็นการฉลองที่น่าตื่นเต้นระลึกถึงสมัยพระราชาอาหสุเอรัสแห่งเปอร์เชียร์
ที่  เอสเธอร์กับโมรเดคัยลูกพี่ลูกน้องของเธอ ช่วยชาวยิวให้รอดพ้นจากการถูกฆ่า  ล้างเผ่าพันธุ์
(ปุริม มาจากภาษาฮีบรู แปลว่า สลาก) ในปูริมนั้น ในช่วงเวลาของเรื่องราวของเอสเธอ
เป็นเงาสะท้อนของพระเมสสิยาห์ที่จะมาในโลกนี้ เราลองมาดูด้วยกันครับ

ในหนังสือเอสเธอร์ เราได้พบกับแผนชั่วร้ายกับคน ยูดาห์ คือฮามาน ในขณะที่พวกเขาอยู่ในการเนรเทศในจักรวรรดิเปอร์เซีย ฮามานเกลียดชังชาวยิวคนหนึ่งชื่อ โมรเดคัย
เพราะว่า โมรเดคัย ไม่ยอมแสดงความเคารพและน้อมลงต่อเขา

เขาจึงเดือดดาล ลึกๆเขามีความขมขื่นต่อชาวยิวทุกคน และนี่เป็นผลที่ ฮามาน พยายามจะทำลายชาวยิวทั้งหมด (เอสเธอร์ 3:5-6) ฮามานเป็นคนต้องการการยอมรับ “เหมือนกับซาตาน  ที่ต้องการให้ผู้คนยอมรับ และกราบไหว้”

อสธ. 3:5 เมื่อฮามานเห็นว่าโมรเดคัยไม่กราบลงหรือแสดงความเคารพ ฮามานก็เดือดดาล

(ข้อ6) ฮามานจึงหาทางทำลายคนยิวทั้งหมด คือชนชาติของโมรเดคัย ทั่วราชอาณาจักรของอาหสุเอรัสฮามานคือภาพของ ซาตาน ที่ต้องการการยอมรับ และโมรเดคัยเป็นภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเร้าใจ หรือทรงดลใจ พระเยซู เพื่อโลกนี้ เช่นเดียวกับ โมรเดคัยซึ่งเป็นญาติของ ราชินี เอสเธอร์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ และเร้าใจของเธอที่จะร้องต่อคนของเธอ

เรื่องราวของราชินี เอสเธอร์ เกิดขึ้น 400 ปีก่อนคริสตกาล โมรเดคัย ปฏิเสธที่จะน้อมลงนมัสการ  ฮามาน เป็นภาพที่ พระเมสสิยาห์ได้ปฏิเสธที่จะนมัสการซาตานและเมื่อพระองค์อยู่ถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 วัน 40 คืนนั้น ซาตานต้องการการนมัสการจากพระองค์
เราจะตอบสนองอย่างไร ? เรามาดูการตอบสนองของพระเยซูกัน

มธ. 4:8 อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร

มธ. 4:9 แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน”
มธ. 4:10 พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์ แต่ผู้เดียว’ ”

ภูเขาสูง หรือ ที่สูงตอนนี้  เป็นคำเปรียบเปรย ว่ามันคือจุดสูงสุดในความทะเยอทะยาน
ทางกายภาพของมนุษย์ ที่เป็นสิ่งล่อใจ มารได้นำพระเยซูไปประชุมบนจุดสุดยอด
เกินกว่าจินตนาการของมนุษย์ที่สูงที่ สุด (เกินจินตนาการ) ยิ่งกว่าทองคำ ยิ่งกว่าบ้าน ยิ่งกว่ารถหรู มากกว่าการยอมรับ และเกียรติยศ (มากกว่าปีศาจเงินตรา)

นี่คือการหลอกลวง ความคิดเชิงลบ สิ่งใดๆที่ตรงกันข้ามกับความจริง (ความจริงจากพระวจนะ) ที่นำเสนอผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพื่อจะล่อลวงและเบี่ยงเบนความสนใจจากเป้าประสงค์
หรือภาระกิจที่พระยาห์เวห์ ทรงวางไว้ให้ เพื่อทำลายภาระกิจที่ดีของพระเยซู มารเองให้อาณาจักรของโลก

ในพระวจนะตอนนี้มารได้ทดลองพระเยซูโดยการนำพระองค์ไปบนภูเขาสูง ในตอนนั้นพระองค์อ่อนแอ หิวและง่ายต่อการพ่ายแพ้ แต่พระองค์ทรงชนะการทดลองในความเป็นเนื้อหนัง จงเชื่อเถิดว่าไม่ใช่ด้วยกำลังของเรา แต่โดยการพึ่งพาในพระเยซูผู้เป็นชัยชนะ เราจะชนะได้ ขอพระเจ้าอวยพระพรเรา

เราเองทุกคนมีแนวโน้มถูกนำพาขึ้นไปบนภูเขาสูงสุดของจินตนาการแต่ละคนภูเขาสูงแต่ละคนนั้นต่างกันและซาตานรู้ดี ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งถูกนำไปสูงมากตกลงมาก็เจ็บมากแต่พระเยซูทรงปฏิเสธที่จะยอม อ่อนข้อให้กับซาตาน เช่นเดียวกันกับ โมรเดคัยที่ปฏิเสธจะยอมอ่อนข้อให้กับ ฮามาน ซาตานมุ่งมั่นที่จะฆ่า พระเยซู เช่นเดียวกันกับฮามานที่มุ่งมั่นที่จะฆ่า โมรเดคัย
และฮามานได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นมือขวาของกษัตริย์ และเตรียมวางแผน (เอสเธอร์ 3:1) ให้นั่งในตำแหน่งสูงกว่าเจ้านายทั้งปวงที่อยู่กับเขา

ดังนั้นการถูกวางในตำแหน่ง ฮามานจึงอยู่ในสถานะคนใกล้ชิดนี่ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ต้องไม่ใช้ในทางที่ผิด … รู้ไหม ข้าคนของใคร !และไว้ใจของกษัตริย์ที่พร้อมจะโน้มน้าวกษัตริย์ ที่จะลงนามในคำสั่ง ที่ระบุว่า ชาวยิวจะถูกฆ่าตายในวันที่ 13 ของเดือนที่ 12 อาดาร์
พระยาห์เวห์ ใช้ราชินีเอสเธอร์ ที่จะรักษาบ้านของยูดาห์ ชื่อของเธอเป็นภาษาฮีบรู  ซึ่งหมายความว่า "ต้นเมอร์เทิล" มีความหมายว่าความรัก-แสดงสัญลักษณ์ของการแต่งงานของฮีบรูใช้ตกแต่งในงานแต่งงาน และนี่คือคำอุปมาจาก พระเยซู ในพระกิตติคุณ ชื่อของเธอคือ  หมายถึง เพื่อต่ออายุ สร้าง และซ่อมแซม รื้อฟื้นในลักษณะเดียวกัน พระเมสสิยาห์ถูกส่งมา
เพื่อ ต่ออายุ พันธสัญญากับ อิสราเอล  (ผู้ที่เชื่อ) พระองค์มาเพื่อรื้อฟื้น

เอสเธอร์ถูกส่งเข้ามา ที่จะ ต่ออายุ พระราชกฤษฎีกาเพื่อพวกเขาสามารถที่จะปกป้องตนเองเพื่อเอาชนะศัตรูและเพื่อให้เห็นว่า เอสเธอร์เป็น สัญลักษณ์ ของพระเมสสิยาห์ในบทบาทของเธอเพื่อวิงวอนและขอร้องเพื่อคนของเธอ เช่นเดียวกันกับที่ พระเยซูพระองค์ทรงวิงวอนเพื่อเราบนไม้กางเขน

ครั้งแรกที่ทำพันธสัญญากับคน อิสราเอล (ไม่ใช่เพราะพันธสัญญามีข้อบกพร่อง) แต่เพราะพวกเขาไม่สามารถดำเนินอยู่ในเนื้อหนังที่บาปของพวกเขา เพื่อดำเนินใน โทราห์ พระเยซูมาเพื่อเพื่อต่ออายุสัญญา ด้วยเหตุนี้เราได้รับอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะช่วยให้เราสามารถดำเนินในโทราห์ฉบับเดิมที่ไม่ได้ถูกยกเลิก (พระเยซู พระองค์ทรงเป็นโทราห์ที่มีชีวิต) ทรงมาเพื่อรื้อฟื้น และต่ออายุ

เพื่อที่เราจะมีอำนาจที่จะเอาชนะความบาป หรือธรรมชาติบาป "พันธสัญญาต่ออายุ" ให้กับเรา ในทำนองเดียวกัน เอสเธอร์ นำเรื่อง "พระราชกฤษฎีกาต่ออายุ" เพื่อยูดาห์ จะมีอำนาจในการปกป้องตนเองในสงครามเอสเธอร์ได้เสี่ยงชีวิตของเธอเอง ขณะที่เธออดอาหารเป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เช่นเดียวกับ พระเยซู พระเมสสิยาห ทรงเป็นขึ้นหลังจาก 3 วัน 3 คืนการถูกรื้อฟื้นจากความตาย ถูกต่ออายุ เข้าสู่ชีวิตใหม่ มาดูภาพในพันธสัญญาใหม่

พระเยซูทรง ดำเนินเข้าไปในส่วนที่ต่ำสุดของโลก ในช่วงเวลา 3 วัน 3 คืนนั้น และได้ประกาศข่าวดีของราชอาณาจักร ไปยังบรรดาวิสุทธิชนที่เสียชีวิตภายใต้ข้อตกลงแรกที่อยู่ในอกของอับราฮัม นอกจากนี้ ยังประทานของขวัญแห่งความรอดแก่มนุษย์ผู้เชื่อ

อฟ. 4:9 (การที่กล่าวว่า “พระองค์เสด็จขึ้นไป” นั้น จะมีความหมายว่าอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าพระองค์ได้เสด็จลงไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกแล้วด้วย? และใน (ลูกา 16)

เราจำได้ใช่ไหมครับ ฮามานชำระเงินที่จะทำลาย บ้านของยูดาห์ และยูดาส ชำระเงินที่จะทรยศต่อพระเยซูเมื่อมีข่าวว่าชาวยิวกำลังจะถูกทำลายในวันที่ 13 ของเดือนที่ 12 อาดาร์
ราชินีเอสเธอร์ ได้เสด็จไปในนามของประชาชนชาวยิว ไปหากษัตริย์

อสธ. 4:7 โมรเดคัยก็เล่าเรื่องทั้งสิ้นที่เกิดกับท่าน และจำนวนเงินที่ฮามานได้สัญญาถวายเข้าพระคลังหลวงเพื่อทำลายพวกยิว

เราจะพบว่า ฮามานจ่ายเงินเข้าคลังของกษัตริย์ เพื่อแลกกับการลงนามในคำสั่งชั่วร้ายนี้กับชาวยิว และกรณีเดียวกัน สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น เมื่อยูดาสได้ทรยศ จ่ายเงินกับ ปุโรหิตและทหารของโรมัน

มธ. 27:3 เมื่อยูดาสคนที่ทรยศพระองค์เห็นว่าพระองค์ทรงถูกลงโทษก็เสียใจ จึงนำเงินสามสิบเหรียญนั้นมาคืนให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่

คำว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ กษัตริย์จึงไม่สามารถกลับคำได้ เมื่อได้ออกคำสั่งและเซ็นสัญญาโดยตราประทับด้วยแหวนของพระองค์เอง ดังนั้น กษัตริย์จึงออก “Renewed Decree”
เป็นการเริ่มพระราชกฤษฎีกาใหม่ ที่ออกมาเพื่อยิว หรือ ชาวยิวยูดาห์ ที่จะปกป้องตัวเองและต่อสู้ได้

เราเห็นได้ว่า พระราชกฤษฎีกาใหม่ไม่ได้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาเก่า หรือเดิม แต่เพิ่มข้าที่ระบุว่า ยิว หรือ ยูดาห์ จะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ในทำนองเดียวกัน ทางเดียวกัน พระยาห์เวห์ นำเสนอ "พันธสัญญาใหม่ หรือ พันธสัญญาเริ่มใหม่" ซึ่งช่วยให้เราสามารถ ต่อสู้ คำว่าการต่อสู้

นี่คือการต่อสู้ที่ดีแห่งความเชื่อ ความศรัทธา เพื่อต่อสู้กับศัตรูของเรา คือซาตาน ที่พยายามจะทำลายเราด้วยความบาป (ฮามาน เป็นภาพของซาตาน เราจำได้ใช่ไหม ?)

ดังนั้นเราจะเห็นว่าหลังจากที่บ้านของยูดาห์ มีชัยชนะเหนือศัตรูของพวกเขา ราชินีเอสเธอร์ประกาศ งานฉลองที่เรียกว่า "ปูริม" “Purim” ซึ่งมีความหมายด้วยมุมหนึ่งว่า "ที่จะบดขยี้"

ดังนั้น ยูดาห์ จึงฉลองความจริงที่ว่า คำร้องขอของพวกเขาที่ได้ขอร้องผ่านเอสเธอร์
ที่พวกเขาสามารถที่จะ บดขยี้ แผนของซาตาน ที่วางแผนชั่วร่ายต่อพวกเขา เราเห็นภาพของพระเมสสิยาห์ของเรา ในเรื่องของ ราชินีเอสเธอร์ ในขณะที่เราเฉลิมฉลองความจริง เราจะเป็นบรรดาผู้เชื่อที่รับความสามารถในการ "ทำให้หัวของงูแหลก" (ปฐมกาล 3:15)

ปฐก. 3:15 เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้า และพงศ์พันธุ์ของนางด้วย เขาจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ

พระเมสสิยาห์ถูกทอดทิ้งโดยพระบิดา และเอสเธอร์ถูกทอดทิ้งโดยออาหสุเอรัส (อาหสุเอรัสเป็นภาพของกษัตริย์ พระยาห์เวห์) เมื่อครั้งพระเมสสิยาห์ถูกตรึงที่กางเขน หรือแขวนที่ต้นไม้
ทรงรู้สึกว่าพระบิดาในสวรรค์ทอดทิ้งพระองค์ และคำทำนายที่กล่าวอ้างถึงใน สดุดี 22

สดด. 22:1 พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย? เหตุใดพระองค์ทรงเมินเฉยต่อการช่วยกู้ข้าพระองค์และต่อถ้อยคำคร่ำครวญของข้าพระองค์?

แน่นอนพระบิดาในสวรรค์ ไม่เคยทอดทิ้งพระองค์ แต่ความเป็นจริง นี่คือวิธีการที่ขณะที่ทรงถูกแขวนที่ต้นไม้ ร่างกายของพระองค์รับเอาคำสาปแช่งของความบาป และความตาย พระบิดาต้องซ่อนพระพักตร์จากพระองค์ในขณะนั้น

เพราะ พระยาห์เวห์ทรงบริสุทธิ์ (คาโดช คือแยกออกจากความบาปอย่างสิ้นเชิง และเด็ดขาด)
พระองค์ทรงบริสุทธิ์เกินกว่าที่จะเปิดเผยและปรากฎพระองค์เอง ในขณะที่ความบาปทั้งโลกมารวมกัน ณ.ร่างกายพระเยซูที่ทรงรับแบก

มาดูอีกภาพ และในทำนองเดียวกัน เอสเธอร์มีความรู้สึกราวกับถูกทอดทิ้ง โดยสามีของเธอ
ผู้เป็นกษัตริย์ คือ อาหสุเอรัส

อสธ. 4:11 ถ้าไม่ถูกเรียกและเข้าพบมีโทษถึงตาย

ทั้งเอสเธอร์ และ พระเยซู พระเมสสิยาห์ รู้สึกราวกับว่าถูกทอดทิ้งครู่หนึ่ง แต่ในเวลาที่เหมาะสม
ทั้งสองเป็นที่โปรดปรานในสายพระเนตรของ พระยาห์เวห์ และเข้าไปใกล้บัลลังก์ของกษัตริย์ ที่จะช่วยคนของพวกเขา

ในเรื่องนี้ ฮามานคนชั่วรายได้สร้างตะแลงแกงจาก "ต้นไม้" (สัญลักษณ์ของการข้าม) ตั้งใจไว้ที่จะแขวน โมรเดคัย  แต่แผนของฮามานแตก และถูกค้นพบ

เมื่อกษัตริย์ได้ถามสิ่งที่ควรกระทำเพื่อเป็นเกียรติแก่คนทั้งปวงที่กษัตริย์ทรงเป็นที่โปรดปราน (ฮามานคิดว่าเป็นตัวเองซะอย่างนั้น)

อสธ. 6:6 และฮามานรำพึงในใจว่า “ใครเล่าที่กษัตริย์พอพระทัยจะยกย่องมากกว่าข้า?”

โมรเดคัยรับเกียรติจาก กษัตริย์อาหสุเอรัส พระเยซู พระเมสสิยาห์ทรงได้รับเกียรติจากพระบิดา (พระยาห์เวห์) บนสวรรค์ ก่อนนี้ฮามานคิดว่าเกียรตินี้จะเป็นของตนเอง แต่กษัตริย์กลับมีพระประสงค์ให้เกียรตินี้แก่ โมรเดคัย (ยิว) เพราะโมรเดคัยช่วยชีวิตของพระองค์เมื่อสองมหาเล็กตั้งใจจะฆ่าพระองค์

การกระทำนี้ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดาร จนคืนหนึ่งกษัตริย์นอนไม่หลับ และร้องขอให้มีการอ่านพงศาวดาร และสิ่งนี้คือการกระทำของโมรเดคัยได้ถูกเปิดเผย และทรงมุ่งมั่นที่จะตอบแทนโมรเดคัย และได้ถามฮามานถึงสิ่งที่ควรจะทำเพื่อบุคคลดังกล่าว

อสธ. 6:7 แล้วฮามานทูลกษัตริย์ว่า “สำหรับคนที่กษัตริย์พอพระทัยจะยกย่องนั้น
อสธ. 6:8 โปรดให้นำฉลองพระองค์ และม้าทรงที่มีมงกุฎบนหัวของมันมา
อสธ. 6:9 และทรงมอบฉลองพระองค์และม้านั้นแก่เจ้านายชั้นสูงที่สุดคนหนึ่งของกษัตริย์ และทรงให้เขาแต่งตัวให้กับคนที่กษัตริย์พอพระทัยจะยกย่อง และให้เขาช่วยท่านผู้นั้นขึ้นนั่งบนหลังม้าและนำท่านไปตามถนนในเมือง และให้เขาป่าวร้องไปข้างหน้าท่านว่า ‘ผู้ที่กษัตริย์พอพระทัยจะยกย่องก็เป็นอย่างนี้แหละ’ ”

นี่คือภาพของพระเมสสิยาห์ของเราเมื่อทรงขี่ลาผ่านเยรูซาเล็ม ก่อนที่จะถูกตรึง 4 วัน และป่าวประกาศเช่นเดียวกับโมรเดคัย (คือรับการยกย่อง)

มธ. 21:4 เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้เป็นไปตามพระวจนะที่ตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่า
มธ. 21:5 “จงบอกชาวศิโยนว่า นี่แน่ะ กษัตริย์ของท่านกำลังเสด็จมา ด้วยความสุภาพอ่อนโยน พระองค์ทรงลา ทรงลูกลา”
มธ. 21:8 ฝูงชนจำนวนมาก เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง บางคนก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามถนน

ตะแลงแกงที่ฮามานตั้งใจจะแขวนคอโมรเดคัยจบลงด้วยการใช้แขวนคอ ฮามานและบุตรชายทั้งสิบของเขา เมื่อกษัตริย์พบข้อมูลเกี่ยวกับแผนชั่วร้าย กษัตริย์รับสั่งให้เอาตะแลงแกงที่ฮามานสร้างขึ้นมานั่นแหละ สำหรับโมรเดคัยเพื่อประหารตัวฮามานเอง

อสธ. 9:10 คือพวกเขาได้ฆ่าบุตรชายทั้งสิบของฮามานบุตรฮัมเมดาธา ศัตรูของพวกยิว แต่ไม่ได้ปล้นข้าวของ

ในลักษณะเดียวกันซาตานคิดว่าจะทำลายพระเมสสิยาห์บนต้นไม้นั้น หรือกางเขน แต่เมื่อ พระเยซู ฟื้นคืนพระชนม์ อาณาจักรของซาตาน (สิบเขา) ก็พ่ายแพ้บนไม้กางเขนนั้น ฮามานเป็นภาพของซาตาน บุตรชายทั้งสิบของเขาเป็นภาพของ "สิบเขา" สัตว์ใน วิวรณ์ 13 คทาแห่งยูดาห์ให้กับพระเมสสิยาห์ และ เอสเธอร์ได้รับคทาโดยกษัตริย์

เมื่อราชินีเอสเธอร์เสด็จเข้าเฝ้ากษัตริย์ หลังจาก 3 วัน 3 คืน ของการอดอาหาร เธอได้สารภาพกับเขาสำหรับการใช้ชีวิตของผู้คนของเธอ "ยิว" เราสามารถกลับไปที่คำทำนาย คทา ใน ปฐมกาล 49:10

ปฐก. 49:10 คทาจะไม่ขาดไปจากยูดาห์  “ซึ่งบัดนี้ คทา นี้ได้ถูกยื่น ยืดออกไปยังเอสเธอร์”

อสธ. 5:2 นางเป็นที่โปรดปราน กษัตริย์จึงยื่นพระคทาแก่พระนางเอสเธอร์ พระนางเอสเธอร์ก็เสด็จเข้ามาแตะยอดพระคทา ปูริมจึงฉลอง ทุกปีเพื่อเป็นที่ระลึกสำหรับบ้านของยูดาห์

ในที่สุด กษัตริย์มอบบ้านของศัตรูให้กับเอสเธอร์ เช่นเดียวกันพระบิดาบนสวรรค์ให้ราชอาณาจักรซาตานแก่พระเยซู

อสธ. 8:1 ในวันนั้น กษัตริย์อาหสุเอรัสประทาน บ้านของฮามานศัตรูของพวกยิวแก่พระราชินีเอสเธอร์ โมรเดคัยก็เข้าเฝ้ากษัตริย์ เพราะพระนางเอสเธอร์ได้ทูลว่าท่านเป็นอะไรกับพระนาง

ในเรื่องนี้ กษัตริย์ เป็นพระบิดาบนสวรรค์ และฮามานเป็นตัวแทนของซาตาน โมรเดคัยแสดงให้เห็นภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เอสเธอร์แสดงให้เห็นถึงกายภาพของพระเมสสิยาห์ ยาชูวาห์
เมื่อทรงเสด็จสู่สวรรค์ หลังจากฟื้นคืนพระชนม์ ทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์

ยน. 15:26 แต่เมื่อองค์ผู้ช่วยเสด็จมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราจะใช้จากพระบิดามาหาพวกท่าน คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งมาจากพระบิดานั้น พระองค์จะทรงเป็นพยานให้เรา

กษัตริย์ผู้มีอำนาจมอบอำนาจให้กับเอสเธอร์ เช่นดียวกับพระบิดาในสวรรค์ให้อำนาจของเขากับ พระเยซู ในทางกลับกัน เอสเธอร์มอบอำนาจที่โมรเดคัย  ที่เป็นภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเช่นเดียวกัน พระเยซู ในพระวจนะข้างต้นว่า จะทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการดำเนินการต่อ (มอบอำนาจ) (ผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง) อาเมน

ลก. 10:19 นี่แน่ะ เราให้พวกท่านมีสิทธิอำนาจเหยียบงูร้ายและแมงป่อง และให้มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าฤทธานุภาพของศัตรูนั้น ไม่มีอะไรจะมาทำอันตรายพวกท่านได้เลย

จงชื่นชมยินดีเถิด คุณคือบุคคลแห่งความชื่นชมยินดี จงหัวเราะต่อสถานการณ์เลวร้ายดีกว่าต่อยอดความคิดในด้านลบเราต้องอยู่ใน "อารมณ์เฉลิมฉลอง" เราต้องฉลองการจบรอบ ประกาศว่าพระเจ้าได้นำเราออกจากวงจรเก่าและเข้าไปสู่ยุคแห่งความโปรดปรานมาก

ไม่ว่าความมืดนั้นจะเป็นอะไร จงหัวเราะและคอยดูพระเจ้าทรงทะลวงมัน แสงสว่างจะทะลวงความมืดเมื่อเราเข้าใจสิ่งนี้ และความแห้งแล้งจะถูกทำลาย จงเริ่มหัวเราะใส่ความกลัว

สดด. 126:1 เมื่อพระยาห์เวห์ทรงให้ศิโยนกลับสู่สภาพดี เราก็เป็นเหมือนคนที่ฝันไป
สดด. 126:2 ปากของเราได้หัวเราะเต็มที่ และลิ้นของเราได้เปล่งเสียงโห่ร้องยินดี แล้วมีการพูดกันท่ามกลางบรรดาประชาชาติว่า “พระยาห์เวห์ทรงกระทำการมโหฬารให้พวกเขา”
สดด. 126:3 พระยาห์เวห์ทรงกระทำการมโหฬารให้เรา เราจึงมีความยินดี


ขอพระยาห์เวห์อวยพระพร
ชาโลม

ktm.shachah

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น