ภาษาแปลก ๆ ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น
1คร. 14:4 คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้นก็ทำให้ตัวเองเจริญขึ้น แต่ผู้เผยพระวจนะนั้นทำให้คริสตจักรเจริญขึ้นคำว่า “เจริญขึ้น” ในบริบทนี้ไม่ได้หมายถึง ความเติบโตในชีวิตฝ่ายวิญญาณ แต่เจริญขึ้นในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เพราะในข้อที่ สองบันทึกไว้ว่า
1คร. 14:2 เพราะว่าคนที่พูดภาษาแปลก ๆ นั้น ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่ทูลต่อพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ เขาพูดเป็นความล้ำลึกโดยพระวิญญาณ
ในฉบับ อมตะธรรม ใช้คำว่า “เสริมสร้างตัวเอง” ในคิงเจมส์ ใช้คำว่า “เจริญฝ่ายเดียว” ดังนั้นหากเราจะกล่าวว่า ภาษาแปลก ๆ ยิ่งพูดมาก ๆ ก็ยิ่งเติบโต คนที่ไม่โตคือคนที่ไม่พูดภาษาแปลก ๆ นั้นก็ไม่เป็นความจริงและไม่ถูกต้องตามพระคัมภีร์ เป็นการตีความและสอนกันต่อ ๆ มา ซึ่งเป็นคนล่ะประเด็นกับความสำคัญของภาษาแปลก ๆ ในพระคัมภีร์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับบริบทของชีวิตที่เติบโตฝ่ายวิญญาณ
เจริญขึ้น ในบริบทนี้จึงหมายถึง การเจริญขึ้นส่วนตัวในด้านอารมณ์ ความรู้สึกลึก ๆ ด้านการอุทิศตนมากขึ้น หรือมีความรักที่เพิ่มพูนขึ้น ภาษาแปลก ๆ แม้ไม่ได้ทำให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณเติบโตขึ้น แต่เป็นการบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ ภาษาแปลก ๆ เสริมสร้างฝ่ายวิญญาณ รับกำลัง และสดชื่นขึ้นใหม่ เหมือนเรากระหายน้ำมาก ๆ และได้รับน้ำก็ได้รับความสดชื่น
1คร. 13:1 แม้ข้าพเจ้าจะพูดภาษาแปลกๆ ที่เป็นภาษามนุษย์หรือทูตสวรรค์ได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าเป็นเหมือนฆ้องหรือฉาบที่กำลังส่งเสียง
ดังนั้นภาษาแปลก ๆ ยังคงมีอยู่และเป็นไปตามพระคัมภีร์ทุกอย่าง แต่การพูดภาษาแปลก ๆ ไม่ได้ทำให้ผู้เชื่อเติบโตขึ้นในฝ่ายวิญญาณ แม้จะมีผลต่อการพัฒนาในฝ่ายวิญญาณ บางคนพูดภาษาแปลก ๆ แต่ชีวิตไม่เปลี่ยนก็มี และชีวิตไม่ได้เติบโตขึ้นเลยในฝ่ายวิญญาณ ดังนั้นการเติบโตฝ่ายวิญญาณคืออะไร
การเติบโตฝ่ายวิญญาณ
1ปต. 2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่ไร้สิ่งเจือปน เพื่อโดยน้ำนมนั้นพวกท่านจะเติบโตขึ้นสู่ความรอด
การเติบโต เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณหมายถึงอะไร ?
หมายถึง การเติบโตและมีชีวิตที่ออกผลฝ่ายวิญญาณหรือ?
หมายถึง การพูดภาษาแปลก ๆ มาก ๆ หรือ ?
หรืออาจจะหมายถึงการรับใช้มากๆ อธิษฐาน เก่ง ๆ หรือ ?
ความหมายที่แท้จริงการที่จิตวิญญาณจะเติบโตหมายถึงอะไร ?
บางครั้งเราถูกสอนว่า วิญญาณจะโตได้เพราะพูดภาษาแปลกๆ ถ้าไม่พูดวิญญาณจะไม่โต ดังนั้นต้องพูดภาษาแปลกๆ ถึงจะโต อาหารฝ่ายวิญญาณคือการพูดภาษาแปลกๆ กินมากๆ พูดมากๆ ถึงจะโต เพราะพระวจนะบันทึกว่า การพูดภาษาแปลก ๆทำให้ตนเองจำเริญขึ้น
เด็กจะเติบโตได้และพัฒนาสู่ความเป็นผู้ใหญ่ ก็โดย “ปรารถนา” หรือ “กระหายหา” เด็กทารกไม่สามารถทนต่อความหิวกระหายได้ เมื่อเด็กหิว ก็จะร้องซึ่งเป็นสื่อภาษาว่าเขาหิว นี่จึงเป็นภาพของการปรารถนาโหยหาน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ที่เชื่อ “น้ำนมฝ่ายวิญญาณ” คือพระวจนะของพระเจ้า
น้ำนมฝ่ายวิญญาณนี้เป็นคนละบริบทกับ 1คร. 3:2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ และ (ฮีบรู5:12-14) ซึ่งเปรียบกับไม่ดื่มแต่อาหารเด็กแต่ต้องทานอาหารผู้ใหญ่คืออาหารแข็ง ตามความเติบโต น้ำนมฝ่ายวิญญาณนี้จะเลี้ยงบำรุงทารกให้เติบโตขึ้น
เติบโตฝ่ายวิญญาณ
1ปต. 2:2 เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณที่ไร้สิ่งเจือปน เพื่อโดยน้ำนมนั้นพวกท่านจะเติบโตขึ้นสู่ความรอด
การเติบโต เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณหมายถึงอะไร ? หมายถึง การเติบโตและมีชีวิตที่ออกผลฝ่ายวิญญาณหรือ ? หมายถึง การพูดภาษาแปลกๆมากๆหรือ ? หรืออาจจะหมายถึงการรับใช้มาก ๆ อธิษฐาน มาก ๆ เก่ง ๆ หรือ ? เหล่านี้ไม่มีสิ่งใดผิด
แต่ความหมายที่แท้จริงหารการที่จิตวิญญาณจะเติบโตหมายถึงอะไร ?
บางครั้งเราถูกสอนว่า วิญญาณจะโตได้เพราะพูดภาษาแปลก ๆ ถ้าไม่พูดวิญญาณจะไม่โต ดังนั้นต้องพูดภาษาแปลก ๆ ถึงจะโต อาหารฝ่ายวิญญาณคือ ภาษาแปลก ๆ กินมากพูดมากถึงจะโต โตในที่นี่อาจจะหมายถึงโตในทางการจำเริญ การเจริญขึ้นส่วนตัวในด้านอารมณ์ ความรู้สึกลึก ๆ ด้านการอุทิศตนมากขึ้น หรือมีความรักที่เพิ่มพูนขึ้น
ปรารถนา หรือกระหายหา เด็กทารกไม่สามารถทนต่อความหิวกระหายได้ เมื่อเด็กหิว ก็จะร้องซึ่งเป็นสื่อภาษาว่าเขาหิว นี่จึงเป็นภาพของการปรารถนาโหยหาน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของผู้ที่เชื่อ “น้ำนมฝ่ายวิญญาณ” คือพระวจนะของพระเจ้า
น้ำนมฝ่ายวิญญาณนี้เป็นคนละบริบทกับ 1คร. 3:2 ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมมิใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับและถึงแม้เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถ และ (ฮีบรู 5:12-14) ซึ่งเปรียบกับไม่ดื่มแต่อาหารเด็กแต่ต้องทานอาหารผู้ใหญ่คืออาหารแข็ง ตามความเติบโต น้ำนมฝ่ายวิญญาณนี้จะเลี้ยงบำรุงทารกให้เติบโตขึ้น
เมื่อเราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เราก็ไม่ใช่เด็กอีกต่อไป หายังเด็กอยู่ตลอดเราก็เป็นเพียงผู้เชื่อเนื้อหนัง คือยังเป็นตัวเก่า ในความหมายมุมกว้างคริสเตียนเนื้อหนังนั้น หมายถึงร่างกายหรือเนื้อหนังจริง ๆ และยังหมายถึง อารมณ์ ความคิด และความรู้สึกที่ยังไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยพระวจนะของพระเจ้า
ซึ่งอาจจะมีลักษณะ เช่น ให้ตัวเก่าครอบงำชีวิต ควบคุมชีวิต เดินตามโลกไม่แตกต่างจากคนของโลก ดำเนินชีวิตไม่สมกับการไถ่เราให้เป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม ไม่กลับใจ
แม้ในชีวิตจะเป็นคนที่เต็มด้วยพระวิญญาณ พูดภาษาแปลก ๆ อย่างมากมาย มีของประทานมากมาย
มีฤทธิ์เดชในการรับใช้ เป็นที่ยกย่อง แต่ท่าทีภายในยังไม่ได้รับเปลี่ยนแปลง หรือไม่ยอมที่จะเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่ยังไม่เจริญเติบโต ที่ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น รับใช้เพื่อสร้างผลงานชื่อเสียง แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ชอบให้ผู้คนมารุมล้อมสรรเสริญ กังวลในความคิดของคนอื่น สายตาคนอื่นที่มองตัวเอง ต้องการความสนใจและเห็นใจ และชอบตัดสินคนอื่น อาการเหล่านี้ก็ยังสามารถพูดภาษาแปลก ๆ ได้
ดังนั้น ไม่ใช่ ทุกคนต้องพูดภาษาแปลก ๆ ส่วนคนที่พูดพระเจ้าก็ให้เขาจำเริญขึ้น การพูดภาษาแปลก ๆ ไม่ใช่หลักฐานของการรับบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์
และการบังคับหรือกดดันให้มีการพูดภาษาแปลก ๆ หรือมีการฝึก หรือทำให้มีความกดดันในการพูดและมีแนวโน้มทำให้รู้สึกเป็นแกะดำในฝูงของคนที่พูด การพูดจะมีแนวโน้มของการแกล้งพูด หรือเป็นการมโนในการพูด ซึ่งมีนักวิชาการได้แกะจำนวนของคำ และมีการให้ความหมายว่า ในการพูดภาษาแปลก ๆ คำเหล่านั้นไม่เพียงพอที่จะเป็นภาษา อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องวินิจฉัย ใคร่ครวญ ซึ่งไม่ใช่การดูหมิ่นหรือพิพากษากันและกัน
กท. 5:22 ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์
กท. 5:23 ความสุภาพอ่อนโยน การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย
และอย่ายกย่องอวดตัวในการพูดภาษาแปลก ๆ ในการพูดภาษาแปลก ๆ นั้นท่าทีเป็นสิ่งสำคัญที่จะไม่อวด ความคิดในใจก็จะสำแดงออกมาเป็นการกระทำและแอคชั่น เราจึงไม่ควรยกย่องอวดตัวในการพูดภาษาแปลก ๆ
พระคัมภีร์บันทึกว่าถ้าจะมีประโยชน์ต้องมีการแปล หลาย ๆ คริสตจักรทุกคนพูดแต่ไม่มีการแปล ดังนั้นเราจึงต้องตระหนักว่า คุณภาพของชีวิต ความเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ เนื้อหนังหรือไม่ ตัวเก่าหรือเป็นคนใหม่ คือผลของชีวิต ผลของพระวิญญาณ ไม่ใช่การใช้ของประทานหรือการพูดภาษาแปลก ๆ
งานของพระวิญญาณนั้นคือ
- ประทานกำลังให้แก่เรา
ยน. 14:12 “เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา
- ทรงเป็นครูสอนเรา
ฮบ. 10:16 “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเขาทั้งหลาย หลังจากสมัยนั้น เราจะบรรจุธรรมบัญญัติของเราไว้ในใจของพวกเขา และเราจะจารึกมันไว้ในจิตใจของพวกเขา”
- ทรงนำทางและคอยชี้ทาง
รม. 8:14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำใคร คนนั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า
กท. 5:16 แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ แล้วท่านจะไม่สนองความต้องการของเนื้อหนัง
รม. 8:26 ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ทรงช่วยเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ
รม. 8:27 และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่าพระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามพระประสงค์ของพระเจ้า
จากพระวจนะตอนนี้หลายครั้งมีการสอนว่า การที่พระวิญญาณขอแทนนั้นคือ การพูดภาษาแปลก ๆ ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่ผิดนัก แต่ไม่ใช่สูตรสำเร็จ หรือบริบทของพระวจนะตอนนี้ เพราะในความเป็นจริงแล้วพระเยซูได้ทรงประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ประทับสถิตในผู้เชื่อทุกคน เมื่อใดที่เราอ่อนกำลัง เมื่อใดที่เราพูดไม่ออก พระวิญญาณทรงทราบและรู้ถึงความต้องการและความปรารถนาของเรา เมื่อเราร้องขอและจดจ่อที่พระองค์ พระองค์จะทรงขอและอ้อนวอนแทนเรา
ภาษาแปลก ๆ ยังคงมีอยู่ในทุกวันนี้ เพียงแต่ผู้เชื่อต้องเรียนรู้ถึงความจริงของพระวจนะ เพื่อเราจะไม่พูดเพียงละลายไปกับสายลมและไร้ประโยชน์ 1 โครินธ์ 14 ภาษาแปลก ๆ ที่สมบูรณ์ต้องเสริมสร้างและเป็นประโยชน์ควรมีการแปล และผู้แปลต้องเข้าใจความหมายในภาพรวมไม่ได้หมายถึงแปลทีละคำ พระวจนะบันทึกว่าถ้าไม่มีใครแปลได้ให้ขอการอิษฐานในการแปลด้วย
สุดท้ายนี้เราทั้งหลายรับใช้พระเจ้าองค์เดียวกัน มีเป้าหมายในการรับใช้ประกาศข่าวประเสริฐ ฉะนั้นอย่าให้ข้อแตกต่างเพียงเล็กน้อย มาทำให้เกิดความแตกแยกและวุ่นวาย ในพระคัมภีร์เราก็ไม่พบพระวจนะตอนใดที่บันทึกถึงการพูดภาษาแปลก ๆ ของพระเยซูเลยสักครั้ง แม้แต่ อ.เปาโลที่พูดภาษาแปลก ๆ มากกว่าใคร ก็ไม่เน้นในการพูดภาษาแปลก ๆ แต่เน้นในการเผยพระวจนะ และสอนธรรม
ขอให้เราทั้งหลายมีประสบการณ์แรกของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือมั่นใจว่าพระองค์คือพ่อ หรือ อับบา ไม่ใช่เพียงการกลับใจ และไม่ใช่เพียงภาษาแปลก ๆ ให้ถ้อยคำที่เปล่งว่า เราเป็นลูกของพระองค์ อับบา พลุ่งออกมา
รม. 8:15 เพราะว่าพระวิญญาณที่พระเจ้าประทานมานั้นจะไม่ทรงให้ท่านเป็นทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่พระวิญญาณจะทรงให้ท่านมีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเราจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)”
ชาโลม
ktm.Emunah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น