หญิงล่วงประเวณี
รม. 7:3 ฉะนั้น ถ้าหญิงนั้นไปเป็นของชายอื่นในเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี แต่ถ้าสามีตายแล้ว นางก็พ้นจากกฎประเพณีการสมรส แม้จะไปเป็นของชายอื่นก็ไม่ผิดประเวณีจากพระคัมภีร์ ยอห์น 8:4 เป็นต้นไป เราพบเรื่องราวของหญิงคนหนึ่งที่ถูกจับขณะที่ล่วงประเวณี พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีพาผู้หญิงคนนี้มาหาพระเยซู และอ้างบัญญัติของโมเสสในการลงโทษหญิงที่ล่วงประเวณีโดยการเอาหินขว้างให้ตาย แต่พระเยซูตรัสตอบพวกเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”
ยน. 8:9 แต่เมื่อพวกเขาได้ยินอย่างนั้น เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์
ยน. 8:10 พระเยซูยืดพระกายขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด? ไม่มีใครเอาโทษเธอหรือ?”
จากพระวจนะข้อนี้หลายครั้งเราถูกสอนในมุมมองของเรื่องความบาป เราทุกคนเป็นคนบาปและเราไม่ควรไปตัดสินผู้อื่น ผู้คนที่ทยอยเดินออกไปต่างอับอายจริงหรือที่ตัวเองก็ยังมีความบาป
ตามธรรมบัญญัติโมเสสเมื่อมีการร้องเรียนการล่วงประเวณี คนแรกที่จะเอาผิดฝ่ายหญิงที่ได้ล่วงประเวณีได้ก็คือสามีของนาง จากหนังสืออธิบายพระคัมภีร์และ ในเฉลยธรรมบัญญัติ
ฉธบ. 22:13 “ถ้าชายใดได้ภรรยาและได้เข้าหานาง แล้วเกิดเกลียดชังนาง
ฉธบ. 22:14 และกล่าวหานางว่าประพฤติตัวเสื่อมเสีย ทำให้นางเสียชื่อเสียง โดยกล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารับหญิงนี้มาเป็นภรรยา เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปหานางก็เห็นว่านางไม่ได้เป็นพรหมจารี’
มหาปุโรหิตจะเป็นคนตัดสินที่บริเวณพระวิหาร พระเยซูเป็นมหาปุโรหิตจึงมีสิทธิ์ที่จะตัดสิน เราอาจจะเข้าใจว่าพระเยซูเป็นแค่ช่างไม้ตามที่ได้ยินมาตั้งแต่วัยเด็กแต่พระเยซูเป็นเด็กพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ๆ เด็กยิวที่พิเศษจะได้รับการเรียนในโรงเรียนพระคัมภีร์ ส่วนคนที่ไม่ได้เรียนก็จะสืบทอดต่อกิจการของบิดา พระเยซูเป็นรับไบซึ่งมีสิทธิในการตัดสิน คำว่าผิดประเวณีหรือล่วงประเวณีนั้นคือมีการร่วมรักกับผู้ชายที่ไม่ใช่สามีของตนในขณะที่ตนถือใบ เคห์ทูบา ใบสมรสซึ่งหมายถึงมีสามีอยู่แล้วแต่งงานแล้ว แต่ในมุมกลับกันถ้าผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานกับชายใด แต่ผู้ชายแต่งงานแล้วก็จะไม่ถือว่าหญิงนั้นได้ล่วงประเวณี แต่ว่าจะถือเป็นภรรยาน้อย หรือเมียน้อยของฝ่ายชาย
การจะปรักปรำหรือเอาผิดได้นั้นตามกฎหมายจะต้องมีพยานมากกว่าสองคนและมหาปุโรหิตต้องบันทึกลงในสมุดคดีความ (การตีความพระเยซูเขียนที่ดิน) เราอาจจะสงสัยว่าหากมีพยานเท็จที่สร้างขึ้นมาจะทำอย่างไร
ฉธบ. 19:16 ถ้ามีพยานเท็จกล่าวปรักปรำความผิดของใคร
ฉธบ. 19:17 ก็ให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้คดีกันนั้นยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้พิพากษาซึ่งประจำการอยู่ในเวลานั้น
ฉธบ. 19:18 ผู้พิพากษาจะต้องไต่สวนอย่างถี่ถ้วน ถ้าพยานนั้นเป็นพยานเท็จ กล่าวปรักปรำพี่น้องของตนเป็นความเท็จ
ฉธบ. 19:19 ท่านจงทำต่อเขาดังที่เขาตั้งใจจะทำต่อพี่น้องของตน เพื่อท่านจะกำจัดความชั่วจากท่ามกลางท่านเสีย ”
จากเหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นนี้พวกเขาหวังที่จะหาเหตุฟ้องผิดจึงสร้างเรื่องเท็จขึ้นมาจับผิด ดังนั้นเราจึงไม่เห็นบันทึกการปรากฏตัวของสามีของนางที่เป็นโจทย์ฟ้องผิด เพราะเขาแต่งเรื่องขึ้นมาดังนั้น คนที่เอาหินขว้างก่อนเท่ากับว่าคนคนนั้นยอมรับว่าเป็นสามีซึ่งต้องแสดงใบสมรส เคห์ทูบา หน้าม้าทั้งหลายเหล่านั้นจึงไม่กล้าแสดงตัว
ยน. 8:7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก”
เขาก็ออกไปทีละคน เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงคนนั้นที่ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พวกเขาไม่ได้เดินจากไปทีละคนเพราะความอายที่ว่าพวกเขาเองก็เป็นคนบาปถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เราจะรู้ได้ว่า คนยิวเป็นคนที่เย่อหยิ่งและมั่นใจในตัวเองว่ารักษาบัญญัติ ชอบธรรมกว่าใคร และตัดสินคนอื่น ดังนั้นเขาไม่ได้เดินจากไปเพราะเรื่องแค่นี้ แต่ใครก็ตามที่หยิบก้อนหินขึ้นมาขว้างก่อนคนแรกจะต้องเป็นสามีของนาง และการที่พระเยซูตรัสเปิดโอกาสว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” คนคนนั้นจะต้องเป็นพยาน ตามบัญญัติโมเสส
ฉธบ. 17:6 ผู้ที่ถูกกล่าวโทษถึงตายนั้น ให้มีพยานสองหรือสามปาก จึงให้ปรับโทษถึงตายได้ ห้ามลงโทษใครถึงตายด้วยพยานปากเดียว
ฉธบ. 19:15 “ห้ามพยานปากเดียวกล่าวโทษใคร ไม่ว่าในเรื่องอาชญากรรมหรือในเรื่องความบาปใดๆ ซึ่งเขาได้ทำไป แต่ต้องมีพยานสองหรือสามปาก คำพยานนั้นจึงจะเป็นที่เชื่อถือได้
ดังนั้นคนที่เป็นพยานเท็จจะต้องมีโทษอาจจะถึงกับตายถ้ามีการสืบคดีอย่างถี่ถ้วนในศาล
ฉธบ. 19:16 ถ้ามีพยานเท็จกล่าวปรักปรำความผิดของใคร
ฉธบ. 19:17 ก็ให้ทั้งสองฝ่ายที่ต่อสู้คดีกันนั้นยืนเฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์ ต่อหน้าพวกปุโรหิตและพวกผู้พิพากษาซึ่งประจำการอยู่ในเวลานั้น
จึงไม่มีใครกล้าขว้าง เพราะหากโดนพิจารณาและโดนจับได้ว่าเป็นพยานปรักปรำเท็จจะต้องโดนหินขว้างอย่างเดียวกับที่ตัดสินนางไป
ฉธบ. 19:19 ท่านจงทำต่อเขาดังที่เขาตั้งใจจะทำต่อพี่น้องของตน เพื่อท่านจะกำจัดความชั่วจากท่ามกลางท่านเสีย ”
เมื่อผู้คนได้ทยอยกลับกันไปหมดแล้วคงเหลือเพียงพระเยซูกับหญิงสองคน จึงไม่เพียงพอที่จะมีพยานครบตามกฏหมายเอาผิด พระเยซูเอาโทษไม่ได้เพราะว่าพยานไม่ครบสองปาก “หญิงเอ๋ยเราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน”
เพราะพระเยซูตรัสว่า “จงไปเถอะและอย่าทำบาปอีก”
ชาโลม
ktm.Emunah
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น