วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

บุคลิกภาพ นั้นสำคัญไหม

เอื้อนเอ่ยแบบนี้ว่า “บุคลิกภาพ นั้นสำคัญไหม” ท่านผู้อ่านคิดว่ามันสำคัญไหมครับ และถ้าไม่สำคัญทำไมถึงไม่สำคัญ และถ้าสำคัญทำไมต้องสำคัญ พูด งงๆ นะครับ


บุคลิกภาพนั้น เป็นความประพฤติที่แสดงออกมาด้วยความเคยชิน บางคนอาจจะมีนิสัยแตกต่างกันไป บางคนอาจจะมีบุคลิกภาพ พูดจาห้วนๆไม่สุภาพ โผงผาง กระโชกโฮกฮาก ไม่ฟังเหตุผล คำพูดสามารถทำให้วงแตกได้เลย ทั้งที่ลึกไปภายในนั้นไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นเลย บุคลิกภาพของบางคนเวลาพูดจาจะมีเสียงดัง แสดงท่าทางด้วยอารมณ์ และดูเหมือนอยู่ในความโกรธอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่ความจริงก็ไม่ได้โกรธอีกนั้นแหละ

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

ปล่อยวางซะบ้าง วางไว้ที่พระยซู

ปล่อยวางซะบ้าง วางไว้ที่พระยซู

คุณเป็นคนหนึ่งไหมที่รู้สึกว่าตัวเองได้แบกภาระอันหนักอึ้ง และภาระที่แสนหนักจนแบกรับแทบไม่ไหว และเคยไหมที่เราก็ถามพระเจ้าว่า "พระองค์เจ้าข้าทำไมข้าพระองค์ถึงต้องแบกภาระนี้ ข้าพระองค์ไม่ไหวแล้วนะ"

ความรัก หรือการตัดสิน


ความรัก หรือการตัดสิน

ตัดสินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงกรรมการที่ตัดสินมวย หรือกีฬานะครับ ..ผมเองเคยเขียนบทความเกี่ยวกับนินทามาและครั้งนี้ก็คล้ายๆกัน ในการตัดสิน คริสเตียนหลายคนมักถูกตัดสินโดยไม่ยุติธรรมจากพี่น้องในคริสตจักร และแทบทุกคริสตจักร มักเจอกับปัญหาเหล่านี้ไม่มากก็น้อยสิ่งที่อยากจะหนุนใจคุณคือ
จงลุกขึ้นจากหลุมกับดักเดี๋ยวนี้

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

คริสเตียน..ทุกเวลา

บทความหนุนใจ 26 เมษายน 2011
คำว่าคริสเตียน เป็นสิ่งที่เราถูกเรียกเมื่อเราตัดสินใจรับเชื่อพระเยซู เชื่อพระเยซูคือเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าและเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ทรงพลีกายตายบนไม้กางเขน และก่อนนั้นพระองค์ถูกเฆี่ยนยับทั้งตัว เพื่อรับเอาความบาปของเรา ไปไว้ที่ไม้กางเขนของพระองค์

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

งานรับใช้ไม่ใช่ภาระ แต่จะมีชัยชนะโดยพระคุณของพระเจ้า



คริสเตียนกับงานรับใช้เป็นอะไรที่คู่กัน เมื่อเป็นคริสเตียนเราต้องรับใช้ เราเองก็ต้องมีเป้าหมายในการรับใช้ตามของประทานทางใดทางหนึ่ง หลายคนไม่เข้าใจความหมายของการรับใช้ที่แท้จริง อะไรล่ะคืออุปสรรค์

ในงานคริสเตียนหลายงานบางครั้งทีมรับใช้ไม่ได้มีความแตกต่างจากโลกนี้เลย ขาดซึ่งความรักและขาดการควบคุมสภาวะทางด้านอารมณ์ บางครั้งการทุ่มเทรับใช้อย่างสุดใจ สละเวลาส่วนตัว เวลางาน ถวายสุดใจเพื่องานของพระเจ้า แต่ขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันเป็นจุดประสงค์ของการรับใช้ และเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า สาเหตุส่วนมากมาจาก ความโกรธและการขาดความควบคุมอารมณ์

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

คริสเตียนกับเวลา

บทความหนุนใจ 21 เมษายน 2011
คุณผู้อ่านว่าการตรงต่อเวลาจำเป็นไหมสำหรับคริสเตียน ?
สำหรับคริสเตียนแล้ว การเคร่งครัดเรื่องเวลาเป็นเรื่องของเนื้อหนังหรือไม่ ?
เราเองเมื่อพระเจ้าเรียกเราให้เป็นผู้นำ (ทุกคนคือผู้นำ) จำเป็นไหมที่ต้องตรงต่อเวลาและให้ความสำคัญหับเรื่องของเวลา ?

เราเองมีเสรีภาพ พระเจ้าให้เรามีเสรีภาพแน่นอน แต่พระคัมภีร์บอกว่าเสรีภาพที่ดีและถูกต้องคือเสรีภาพในพระองค์
1 โครินธ์ 10:23 เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น
การใช้เสรีภาพตามใจตนเองโดยการละเลยเรื่องของเวลาไม่ใช่เสรีภาพแต่เป็นพันธนาการและบ่วงที่ดักคนคนนั้น
พระเจ้าพระองค์มีพระประสงค์ให้เราเป็นเหมือนดั่งพระองค์ เมื่อเราเป็นคริสเตียนชีวิตของเราจะค่อยๆเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเรานำเรา เปลี่ยนเราจากคนใช้การไม่ได้ ให้เป็นคนใช้การได้ และค่อยๆเป็นเหมือนพระองค์ มีบุคลิกภาพที่สำแดงออกดั่งเช่นพระองค์

เราต้องไม่ใช้การตรงต่อเวลาเป็นเจ้านายและเราเป็นทาสกฎเกณฑ์ของการตรงต่อเวลา แต่เราต้องเห็นแก่พี่น้องเมื่อมีการรับใช้ร่มกัน คนที่มาตรงเวลาเขาเหล่านั้นคือผู้เสียสละ บางคนละทิ้งครอบครัวในการใช้เวลาร่วมกัน บางคนเลื่อนนัดหรือปฏิเสธนัดหมาย บางคนละงานบ้านงานเรือนมา บางคนลางานมาในเวลาที่จำกัด บางคนบากบั่นมุ่งหน้ามาจากที่ที่ไกลแสนไกลเพื่อมาให้ตรงเวลา

แต่หลายครั้งผู้นำที่เป็นคริสเตียนกลับละเลยในเรื่องของเวลาและมาไม่ตรงเวลา เลยเวลาไปหลายสิบนาที บ้างก็ครึ่งชั่วโมง แย่หน่อยก็เป็นชั่วโมงไปเลยก็มี และคนที่นั่งรอเขาสามารถทำอะไรได้อีกมากมายหลายอย่างแทนที่จะต้องมานั่งรอ บางคนอาจจะเบื่อหน่ายกับการผิดเวลาของผู้นำ จนไม่คิดอยากจะมาเร็วอีกต่อไป และกลับที่จะมาช้าเช่นเดียวกัน และผลเสียที่ตามมาคือ คริสตจักรจะเป็นคริสตจักรแห่งความเอื่อยเฉื่อย เมื่อผู้นำเป็นคนไม่รู้จักการบริการเรื่องของเวลา ไม่รู้จักที่จะปรับปรุงตัว ซ้ำร้ายิ่งไปกว่านั้น เขาเหล่านั้นบางคนรู้ตัวแต่ไม่สามารถจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นมาได้ หลายคนเริ่มที่จะบ่น หลายคนเริ่มที่จะนินทา หลายคนเริ่มตัดสิน และพูดถึงการไม่ตรงต่อเวลา และขาดสันติสุข แต่ก็ไม่กล้าพูดกันซึ่งๆหน้า นี่คือผลร้ายที่จะเกิดขึ้นในคริสตจักร อย่าคิดตื้นๆแค่ว่า ฉันมีเหตุผลของฉัน การมีเหตุผลสุดวิสัยเป็นเรื่องที่ให้อภัยได้ แต่การเป็นแบบนี้จนติดเป็นนิสัยและบุคลิกภาพ จนเป็นสัญลักษณ์ส่วนตัวนับว่าเป็นเรื่องที่อันตราย อย่าเป็นคนที่เห็นแก่ตัว แต่จงเห็นแก่พี่น้อง อย่าเป็นเหตุให้ตัวเองในฐานะผู้นำเป็นเหตุให้พี่น้องสะดุด

พระเจ้าพระองค์ไม่เคยล่าช้าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและตรงต่อเวลาเสมอ คริสเตียนต้องเป็นคนที่มีวินัยด้วย
1 โครินธ์ 14:40
"แต่จงทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ"

คริสเตียนต้องสะท้อนชีวิตที่เป้นพระเยซูน้อยๆ ที่อยู่ภายในเราออกมาเพื่อคนจะได้เห็นและสัมผัสและชื่นชม ไม่ใช่ชื่นชมเราแต่เขาจะชื่นชมพระเจ้าภายในเรา

จงเป็นคนที่คาดหวังได้ ดีกว่าที่จะเป็นคนที่ไม่มีใครคาดหวัง

คริสเตียนบางคนก็ไม่คิดว่าการตรงต่อเวลาเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายวิญญาณ การพัฒนาบุคลิกภาพไม่ใช่แค่เรื่องตรงต่อเวลานั้นเกี่ยวกับนิสัยและวินัยโดยตรง

คนที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้เวลาล่วงเลยมานานนับสิบปีหรือหลายปี คือคนที่ไม่ยอมจำนนในเรื่องแบบนี้ และไม่ถ่อมใจที่จะยอมรับฟังและไม่เคยนำไปคิดและใคร่ครวญ หากเขากระทำดั่งที่กล่าวมา เขาจะเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่พยายามด้วยตัวเอง เมื่อใดที่ยอมจำนนและยอมรับในความสามารถอันน้อยนิดพระวิญญาณจะเปลี่ยนแปลงและช่วยเราไม่ว่าเรื่องอะไร

ผมเชื่อว่าการขาดวินัยในเรื่องนี้ เป็นวิญญาณตัวหนึ่งที่ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด วิญญาณตัวนี้จะไม่สนใจในเรื่องของเวลา ดูเหมือนเป็นคนใจเย็น ไม่ร้อนรนในเรื่องของเวลา ไม่สนใจใคร แม้ทุกคนจะมีความหวังกับเขา
นัด 9.00 ก็จะมา 9.30-10.00
นัด 10.00 ก็จะมา 10.10-10.30
นัด 19.00 ก็จะมา 20.00 แบบนี้เป็นต้น คือขอให้ได้ช้าไว้ก่อน นี่เป็นวิญญาณที่ผูกมัดจริงๆ หลายครั้งก็เป็นเหตุสุดวิสัย และมากกว่า 80% ก็เป็นเรื่องที่โดนผูกมัด
โทษของการไม่ตรงต่อเวลา 
     1.กลายเป็นคนเกียจคร้าน คอยหาสาเหตุหลีกเลี่ยงงาน
     2.เป็นคนผลัดวันประกันพรุ่ง
     3.กิจกรรมหรือการงาน และชีวิตยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ
     4.กลายเป็นคนไม่ซื่อตรงต่อตนเอง
     5.ทำให้ผิดนัด  กิจกรรมหรืองานเกิดความเสียหาย
     6.ไม่เป็นที่เชื่อถือของคนอื่น

ผมเชื่อว่าหลายคนที่อ่านบทความนี้ เป็นคนที่รักษาเวลาขอบคุณพระเจ้า แต่หลายคนก็อาจจะบกพร่องในจุดเหล่านี้ แม้ไม่มากแบบที่กล่าวมา แต่ก็อาจจะมีอยู่บ้าง เราต้องพัฒนาบุคลิกภาพของเราเองให้เป็นที่ถวายเกียรติพระเจ้า ซาตานต้องการทำลายและตั้งป้อมในความคิด และคนที่โดนผู้มัดด้วยวิญญาณเหล่านี้ก็มักจะเป็นกุญแจของซาตานที่จะทำลายสันติสุขของพี่น้องในคริสตจักรให้ขาดสันติสุข ขาดการชื่นชมยินดี และ เข้าสู่การนินทา ผมไม่ได้หมายถึงว่าคนคนนั้นเป็นซาตาน แต่ซาตานมักใช้จุดอ่อนของเขาโจมตีคริสตจักรโดยไม่รู้ตัว คนที่เข้มแข็งก็อาจจะผ่านจุดนี้ไปได้โดยการใช้ความรัก ความอดทนและการให้อภัย

ปัญหามันไม่ได้จบลงแค่การมาผิดเวลา แต่ปัญหามันจบลงที่บรรยากาศฝ่ายวิญญาณในการรับใช้จะอึมครึมไม่โปร่งใส

ข้าแต่พระเจ้าขอพระองค์ทรงเมตตาผู้รับใช้ของพระองค์ที่จะเปิดตาและเปิดใจยอมรับความอ่อนแอที่มียอมให้พระองค์เข้ามามีส่วนและเปลี่ยนแปลงในจุดอ่อนนี้ ขอพระองค์ทำลายป้อมของซาตานที่ตั้งป้อมผูกมัดเราไม่ว่าจะเรื่องตรงต่อเวลา และเรื่องวินัยอื่นๆ เพื่อเราจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไอ้ซาตานเราสั่งเอ็งในพระนามพระเยซูคริสต์ว่า เอ็งจงออกไปเดี๋ยวนี้ ในพระนามพระเยซู
อาเมน

และขอหนุนใจคนที่รักษาเวลาและตรงต่อเวลา เป็นสิ่งที่ดีแล้วแต่เราต้องไม่ให้สิ่งนี้เป็นรูปเคารพด้วยเช่นกัน จงสวมผลของพระวิญญาณ
กาลาเทีย [5:22] ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย

ไม่ว่าเรากำลังเผชิญสถานการณ์ใดก็ตาม จงมีความรักเพราะความรักเอาชนะได้ทุกสิ่ง
จงคงไว้ด้วยความปลาบปลื้มใจและสันติสุข เพราะเราไม่ได้รับใช้มนุษย์แต่เรารับใช้เพื่อถวายเกียรติพระเจ้า ใครหว่านสิ่งใดก็จะได้ในสิ่งนั้น
จงอดกลั้นใจ อดทนคือสิ่งที่เราต้องสวม ไม่บ่น ไม่ว่า ไม่นินทาและไม่ตัดสิน พระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิ์
ความปราณีความดีเท่านั้น จงแสดงความเมตตาเห็นเห็นใจเขาเหล่านั้นเพราะเขาถูกพันธนาการและน่าสงสารมากกว่า
ความสัตย์ซื่อ เท่านั้นจงสัตย์ซื่อแบบนี้ต่อไป อย่าเปลี่ยนแปลงและประพฤติตามคนที่ขาดวินัยและไม่ตรงต่อเวลา ซาตานมักล่อลวงเราให้สงสารตัวเองและติดกับดักมัน
จงสวมความสุภาพอ่อนน้อม การแสดงท่าทีไม่พอใจ และกระฟัดกระเฟียด ย่อมส่งผลที่ร้ายหนักเข้าไปอีก ถ้าเป็นงานรับใช้คุณทำให้พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จงทำโดยสุดกำลังของเราเองเท่านั้นพอ
และรู้จักบังคับตน บังคับตนเองในทุกอย่าง กดและทุบตีเนื้อหนังให้อยู่หมัด ซาตานต้องการให้เราแตกความสามัคคีและขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

“อย่าให้เราเมื่อยล้าในการทำความดี  เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว  เราก็จะเก็บ  เกี่ยวในเวลาอันสมควร”  กาลาเทีย 6 : 9
เปาโลหนุนใจให้เราทำดีต่อไปและเชื่อในผลที่ได้หว่านลงไป ในเวลาอันเหมาะสมเราจะได้เก็บเกี่ยว

ถ้าคิดจะรับใช้ อย่าเป็นคนที่ขาดวินัยในการไม่ตรงต่อเวลา เมื่อคนที่มานั่งคอยคุณสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้มากมาย บางคนยอมสละสิ่งที่สำคัญยิ่งเพื่อพระเจ้า จงอย่าให้สิ่งนี้เป็นนิสัย คำว่าสันดานไม่ใช้คำหยาบ แต่ความหมายของมันคือสิ่งที่ติดตัวมาและเป็นมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ก็ติดตัวเป็นนิสัย เมื่อมนุษย์ทุกคนเกิดมามีบาป และมีความบาป เมื่อเราตัดสินใจเชื่อในพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เราต้องเชื่อว่ามันจะถูกกำจัดออกไป จงตัดสิ่งเหล่านี้ออกไป

ถ้าเราเป็นทหารของพระเจ้าในฝ่ายวิญญาณ เราก็ต้องเป็นทหารที่ดีในฝ่ายกายภาพด้วย คือมีนิสัยที่ตรงต่อเวลา ขอพระเจ้าอวยพระพร
ด้วยรักในพระคริสต์
ktm.worship


บทความที่เกี่ยวข้องhttp://missionkorat.blogspot.com/search?q=%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%A5%E0%B8%B2

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

เหมือนดั่งสิ่งที่อยู่ใกล้


เคยได้ยินไหมครับว่าเมื่อเราอยู่ใกล้กับสิ่งไหน หรือคนคนไหน เราก็อาจจะมีบุคลิก ลักษณะนิสัยที่เหมือนกับคนคนนั้น และคนคนนั้นก็อาจจะมีบางอย่างที่เหมือนกับเรา ไม่ว่าจะเป็นท่าทาง หรือคำพูดที่ออกมา
ในอดีตสิบกว่าปีที่ผ่านมา ผมเคยถูกห้ามจากพี่เลี้ยงในคริสตจักรว่า ไม่ควรไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆที่กินเหล้าเมายา และเสพติดบุหรี่ ในสมัยนั้นไม่มีเกม ไม่มีคอมพิวเตอร์เหมือนสมัยนี้ (บ่งบอกอายุผู้เขียนนิดหน่อย) ผมมีเหตุผลที่แย้งมากมายว่า ทำไม เราจะคบเพื่อนไม่ได้ ไปไหนมาไหนกับเพื่อนๆไม่ได้ เรากลัวที่จะถูกล้อเลียนว่า ลูกแหง่ กลัวว่าไม่เจ๋งจริง ผมมีเหตุผลต่างๆว่าเราไปแต่เราไม่ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ หรือสูบบุหรี่ก็ได้นี่ เรามีจุดยืน และผมเองก็ไม่เชื่อฟังพี่เลี้ยงในตอนนั้น

เมื่อผมไปกับเพื่อนๆผมสั่งน้ำส้มมาดื่ม และนั่งดูเขาดื่มเขากินกันอย่างเมามัน เมื่อเราเข้าสู่อาณาจักรของความมืด พระวิญญาณที่อยู่ในเราเสียพระทัยและเตือนผมหลายครั้งแต่ผมเองไม่เชื่อ ผมเริ่มที่จะกินและดื่มเหล้าและเบียร์ เริ่มที่จะลองบุหรี่ สุดท้ายผมไม่ต่างจากคนเหล่านั้นเลย ผมเริ่มที่จะพูดจาหยาบคายแบบพวกเขา ผมเริ่มที่จะดูหนังมากแทนที่จะอ่านพระวจนะ ผมเริ่มที่จะหนีเรียนทั้งที่ไม่เคย ทั้งที่ผมเองได้เคยถูกเรียกว่าเรียบร้อย และน่ารักในคริสตจักร ความรู้สึกและสิ่งดีๆของผมถูกทำลายลงในตอนนั้นและผมเปลี่ยนไป แต่ในทางที่แย่ลง

แม้ผมจะเข้าสู่วงจรความมืดโดยที่ไม่เต็มใจหรือไม่อยากนัก แต่ความรู้สึกกลัวการไม่ยอมรับทำให้ผมเองได้เปิดช่องทางให้ความชั่วเหล่านั้น แม้คนที่ดีที่สุดเมื่อได้ลิ้มลองความชั่วร้าย และกว่าจะรู้ตัวก็เป็นทาสของมันไปแล้ว โยเซฟเองไม่ยอมเปิดช่องว่างให้ความชั่วนั้นและยอมโดนจองจำดีกว่าจะเปิดช่องให้กับความชั่วและความบาป

เปาโลเองก็ได้บอกทิโมธีให้ลบเลี่ยงและหนีความชั่วร้าย 2 ทิโมธี [2:22] ดังนั้นท่านจงหลีกหนีเสียจากราคะตัณหาของคนหนุ่ม และจงใฝ่ในทางธรรม ในความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับผู้ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์

บางครั้งการที่เราจะวิ่งหนีก็เป็นเหมือนคนที่ขี้แพ้ ขี้ขลาดเราอาจจะโดนล้อเลียนว่าตาขาว แต่คนที่มีสติปัญญาจากพระเจ้าย่อมต้องเข้าใจว่ากรหนีและหลบจากการทดลอง (การทดลองมาจากซาตาน) คือการกระทำที่กล้าหาญ ไม่ใช่ขี้ขลาด เราอาจจะประสบการทดลองที่ยากและเย้ายวนล่อลวงเรา จงหลีกหนีจากสถานการณ์นั้นที่จะกระตุ้นเราให้เกิดความปรารถนาที่จะกระทำบาปนั้น อย่าให้ภาพของการวิ่งหนีและยอมแพ้เป็นภาพของคนขี้ขลาดและทำให้เราก้าวเท้าเข้าไปเผชิญหน้ากับความบาป แต่การวิ่งหนีต่างหาก
คือชัยชนะที่แท้จริง

ในโรม 8:5-8 เราต้องเลือกว่าจะเป็นคนที่ยอมให้วิสัยบาปครอบงำหรือเป็นคนที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ หลายครั้งเราหลงอยู่ในประเภทแรก เมื่อเราเลือกใช้ชีวิตจดจ่อที่พระเจ้า เราต้องรู้ว่าอะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรที่ดียอดเยี่ยม ต้องรู้ว่าพระเยซูประสงค์ให้เราทำอะไร เมื่อพระวิญญาณเตือนเราจากภายในจงเชื่อฟังและทำตาม

กาลาเทีย [5:16] แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนัง
กาลาเทีย [5:17] เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้

เมื่อเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณพระเจ้าองค์บริสุทธิ์จะชี้ทางถูกต้องให้เรา เราเองมีเสรีภาพที่จะเลือก แต่พระวจนะบอกว่า อย่าใช้เสรีภาพในการปล่อยตัวตามวิสัยบาป การทำบาปความจริงไม่ใช่เสรีภาพ แต่เป็นการถูกพันธนาการต่างหาก

จงใช้ชีวิตใช้ชีวิตทุกวันโดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรา เมื่อเรายอมจำนน ฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะควบคุมตัณหาของเรา เราต้องเข้าใจว่า ร่างกายของเราเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระวิหารย่อมไม่รับและต่อสู้กับความบาป

กฎของการหว่านเมื่อเราหว่านอะไรเราก็ได้สิ่งนั้น ถ้าเราหว่านความบาปเราเองก็จะเก็บเกี่ยวเอาความบาป
เราควรอยู่ใกล้สิ่งไหนมากกว่ากัน ดาวิดเองปรารถนาอยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้าตลอดวันคืน เพื่อติดสนิทกับพระเจ้า พระเจ้าต้องการความสัมพันธ์สนิทกับเราไม่ใช่เพราะพระองค์ขี้เหงาหรือไม่มีเพื่อน หรือต้องการการยอมรับแต่พระองค์เองต้องการความสัมพันธ์ที่สนิทของเรา ต้องการหัวใจของเรา เพื่อที่เราเองจะไม่ต้องอยู่ใกล้กับโลกและซึมซับเอาความบาปความเสื่อมโทรมที่ตกต่ำลงไปทุกๆวัน พระองค์ต้องการให้เราเป็นดั่งพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์เมื่ออยู่ใกล้กับพระองค์

เอเฟซัส [5:1] เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก
ไม่ได้หมายความว่าเราจะมีเพื่อนหรือคบใครไม่ได้เลย แต่การปฏิเสธต่อความบาป และสิ่งที่ไม่สมควรคือสิ่งที่เราต้องกล้ายืนหยัด ถ้าเขานำเราเพื่อจะให้เข้าสู่ความบาป ไม่ว่าจะเป็นการนินทา พูดจาตัดสิน กินเหล้าเมายา เสพยา ล่วงประเวณี คำหยาบคายต่างๆที่หลุดออกมา คริสเตียนหลายคนพูดคำหยาบคาย คำพูดที่ไม่สมควร ทำสิ่งที่ไม่สมควรต่างๆ พระคัมภีร์บันทึกชัดเจนว่า เอเฟซัส [5:7] เหตุฉะนั้นท่านอย่าคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นเลย เราสามารถเป็นเพื่อนกันได้รู้จักกันได้ แต่ต้องไม่ให้เขามามีอิทธิพลเหนือเรา

ตอนนี้ผ่านมาเป็นสิบปี คนเหล่านั้นไม่ได้มีอิทธิพลต่อผมแล้ว เพราะผมมีพ่อกับแม่ที่รักพระเจ้าอย่างสุดใจ ทุ่มเทสุดๆ และอยู่ในทางของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ผมมีแบบอย่างที่ดีและผมได้ซึมซับจนเหมือนท่านทั้งสอง เมื่อเราใช้เวลากับพระเจ้า อ่านพระวจนะ อธิษฐานและนมัสการ นี่เป็นอาวุธที่จะใช้ต่อสู้กับเนื้อหนังความบาป พระเยซูเป็นแบบอย่างที่ดี พระองค์ไม่มีบาป พระองค์บริสุทธิ์ ความบาปและซาตานพ่ายแพ้พระองค์อย่างหมดรูป เมื่อเราใกล้ชิดและสนิทกับพระองค์ เป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าในชีวิตของเราคือการทำให้เราเป็นเหมือนพระคริสต์ ชีวิตคริสเตียนเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระ
คริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ 1 ยอห์น 3:2

ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

การหนุนใจที่มากกว่าคำพูด

ผมเชื่อว่าไม่ใช่แค่คริสเตียนเท่านั้น แต่ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาอะไร สิ่งที่มนุษย์มักทำเสมอก็คือการหนุนใจ คริสเตียนเองก็มักหนุนใจ พระคัมภีร์สอนเราให้หนุนใจซึ่งกันและกัน
1 เธสะโลนิกา [5:11] เหตุฉะนั้นจงหนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น
2 โครินธ์ [1:3] สาธุการแด่พระเจ้า พระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงความเมตตา พระเจ้าแห่งความชูใจทุกอย่าง
2 โครินธ์ [1:4] พระองค์ผู้ทรงชูใจเราในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา เพื่อเราจะสามารถชูใจคนเหล่านั้น ที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยความชูใจ ซึ่งตัวเราเองได้รับจากพระเจ้า
2 โครินธ์ [1:5] เพราะว่าเรามีส่วนทนทุกข์กับพระคริสต์มากฉันใด ความชูใจของเราเนื่องจากพระคริสต์ก็มากฉันนั้น

การหนุนใจ ชูใจ หรือปลอบประโลมใจ หมายถึงการที่เราได้ยืนอยู่ข้างๆคนคนนั้น เพื่อคอยพยุงให้คนคนนั้นมีกำลังยืนอยู่ได้ต่อไป หรือหมายถึงการทำให้มีกำลังเพิ่มขึ้น คุณเองเมื่ออ่านบทความนี้หลายคนคงเคยได้รับคำหนุนใจ เมื่อยามยากลำบากต่างๆ เรามักได้ยินคำหนุนใจมากมาย มากจนเยอะหรือเมื่อเราเองกำลังอยู่กับคนที่โศกเศร้า เราเองก็อาจจะอยากปลอบใจ อยากหนุนใจ เพื่อให้คนคนนั้นรู้สึกดีขึ้น เรามักมีความคิดว่าเราต้องพูดต้องหนุนใจ บางครั้งเคยมีคนต่อว่าผมว่า ทำไมไม่หนุนใจเพื่อนบ้างในยามที่เขาทุกข์ยาก ทำไมไม่มีคำพูดหนุนใจเลย

หลายคนมีความคิดว่า การหนุนใจต้องเดินเข้าไปและหาคำพูดที่จะพูด พยายาม หาถ้อยคำที่กินใจ และแตะใจ จนบางคนกลัวที่จะหนุนใจ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี
ผมเคยรู้สึกผิดหวังอะไรบางอย่างจนถึงกับไม่สบาย มีเพื่อนๆมาหนุนใจผม พยายามหาเหตุผล วิเคราะห์ต่างๆ วิจารณ์ เพื่อให้ผมรู้สึกดีขึ้น แน่นอนเมื่อมองที่ความพยายามแล้วเขามีความตั้งใจที่ดี เขาพยายามหาสาเหตุ ว่าทำไมจึงเกิด ย้อนไปถึงอดีตความดีที่เราเคยทำ อีกหลายคนต่อมาก็พูดในทำนองเดียวกันเรื่องคล้ายๆกัน จนผมรู้สึกอยากอยู่คนเดียวเสียมากกว่าที่จะมานั่งฟังคำหนุนใจที่บางครั้งอาจจะทำให้รู้สึก
แย่ลงมากกว่าที่จะดีขึ้น

ผมไม่ได้หมายถึงการพูดไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่เมื่อเราต้องการจะหนุนใจใครสักคนพระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานถ้อยคำให้กับเราที่จะมีวิธีการ ซึ่งไม่ได้หมายถึงการที่เราต้องพูดเยอะๆ มากๆเสมอไป ผมเคยได้ยินคำหนุนใจคนป่วยคนหนึ่ง และเมื่อมีพี่น้องมาหนุนใจ กลับกลายเป็นทำให้เขารู้สึกแย่ลง เมื่อมีการพูดว่า นี่ถ้าไม่ไปทำแบบนั้น แบบนี้ก็คงไม่ป่วย ถ้าเชื่อฉันเธอคงไม่เป็นแบบนี้

ผมเองเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบที่จะพุดมาก แต่ชอบฟังเขาพูดมากกว่า เขาอาจจะพูดอะไรที่น้อยเนื้อต่ำใจ พูดในแง่ลบมุมลบ หมดอาลัยตายอยาก แต่นั่นเป็นช่องทางที่เราจะอธิษฐานสั้นๆและสวนกระแสถ้อยคำแห่งคำแช่งสาบเหล่านั้น หรือตอบคำถามสั้นๆ บางครั้งการนั่งเฉยๆในความเงียบไม่ต้องพยายามหาเหตุผลและถ้อยคำต่างๆอะไรมากมายก็อาจดีกว่าก้ได้

ไม่มีสูตรตายตัวในการหนุนใจว่าเราต้องทำวิธีไหน การหนุนใจชูใจไม่ใช่มาม่าเทน้ำร้อนและสำเร็จรูป แต่พระวิญญาณจะประทานวิธีการให้แก่เรา
โยบเองได้เบื่อกับถ้อยคำหนุนใจมากมาย โยบต้องการความเงียบมากกว่าที่จะมีคนพุดมากมายสวนกันไป
สวนกันมา จนทำให้รู้สึกแย่ลง
 
โยบ [13:5] โอ ท่านน่าจะนิ่งเสีย และความนิ่งนั้นจะเป็นสติปัญญาของท่าน
เพื่อนๆของโยบนั้นพูดถูกว่าพระเจ้านั้นเป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรมและพระองค์เกลียดความบาปและทรงลงโทษความบาป แต่เพื่อทั้งสามของโยบเหมาเอาเองว่าสิ่งที่โยบกำลังเจออยู่นั้นเป็นสิ่งที่โยบสมควรจะได้รับและสมกับความผิดบาปของโยบ เขาพยายามพูดๆถึงสาเหตุและความทุกข์ยากลำบากของโยบ
เพื่อนของโยบใช้ความถูกต้องมาตีความใช้อย่างผิดๆ การหนุนใจคือการยืนอยู่เคียงข้างเพื่อไม่ให้เขาล้มลง คอยพยุงให้เขามีกำลังขึ้น ไม่ใช่การตัดสินโทษ
บางครั้งคนที่ต้องการคำหนุนใจมากที่สุดคือ เพื่อนที่อยู่เคียงข้างเขามากกว่าผู้บรรยายและผู้ตัดสินและผู้ต่อว่า
เหนือสิ่งอื่นใดจงวางใจในพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

จัดการกับปิศาจตาเดียว

ปิศาจตาเดียว

บทความหนุนใจ 16 เมษายน 11
วันนี้บทความนี้ไม่รู้จะยังมีคนอ่านอยู่อีกไหม หลังจากที่ผมเขียนเรื่องสงกรานต์ไปซะแรง ซึ่งอาจจะไม่โดนใจวัยรุ่นหลายๆคน

ครั้งหนึ่งผมเคยฟังคำเทศนาของนักเทศท่านหนึ่งซึ่งผมจำชื่อไม่ได้แล้ว และจำรายละเอียดไม่ได้ด้วย จำได้แต่จุดประสงค์ที่พระเจ้าให้ท่านหนุนใจพวกเราว่าเราควรทำเช่นไร แต่ผมอยากจะนำเสนอแบ่งปันตามสิ่งที่พระเจ้าประทานถ้อยคำให้เขียนออกมาทีละบรรทัดซึ่งบรรทัดต่อไปจะเขียนอะไรผมเองก็ยังไม่ทราบเลยด้วยซ้ำ


คุณเชื่อไหมว่าบางครั้งในบ้านของคุณบางครั้งมีการข่มขืน มีการฆาตกรรรม มีซากศพที่ตายแล้วลุกขึ้นมาเดินป้วนเปี้ยน หรือที่เรียกว่าผีนั่นแหละ มีการใช้เวทมนต์ มีการกระทำลามกอนาจารในบ้าน มีคนมาตะโกนคำหยาบคาย และด่าทอกันในบ้านของคุณ มีการค้าขายยาเสพติดต่างๆ


หลายคนคงปฏิเสธแน่ๆ ว่าบ้านของคริสเตียน หรือแม้ไม่ใช่คริสเตียนจะมีเรื่องแบบที่กล่าวมาได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้แน่นอน  แต่ผมอยากจะเพิ่มเติมด้วยว่า คุณเองที่เป็นเจ้าของบ้านก็เป็นคนหนึ่งที่เฝ้าดูและส่งเสริม ในเรื่องของการข่มขืน การฆาตกรรรม รวมถึงซากศพที่ตายแล้วลุกขึ้นมาเดินป้วนเปี้ยน การใช้เวทมนต์ ไสยศาสตร์ การกระทำลามกอนาจาร มีคนมาตะโกนคำหยาบคาย และด่าทอกันในบ้านของคุณ มีการส่งเสริมเรื่องยาเสพติดต่างๆ นั้นอยู่ด้วยซ้ำ คำตอบของทุกคนก็ยังคงยืนยันว่าไม่จริงอย่างแน่นอน


แต่ถ้าสิ่งเหล่านั้นอยู่ในบ้านคุณจริงๆล่ะถ้ามีสิ่งเหล่านั้นอยู่ในบ้านเราจริงๆเราจะทำยังไง สิ่งที่ผมกำลังกล่าวถึงนี้คือปิศาจตาเดียว ปิศาจตาเดียวที่ผมกล่าวถึงนี้ คือทีวีหรือโทรทัศน์ที่เรามีในบ้านนั่นแหละครับที่เป็นปิศาจในบ้านเรา มันโผล่มาและกลายร่างเมื่อผู้ติดตามมีความต้องการมันก็จะกลายร่างเป็นปิศาจตาเดียวและเอาสิ่งดังที่กล่าวมา เข้ามาในบ้านของคุณ


ละครต่างๆที่ส่งเสริมการนินทา อิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดีกันแม้ต้องฆ่ากันเพื่อจะได้สิ่งที่ต้องการ การมีสัมพันธ์ทางเพศกันแบบไม่เลือกหน้า การข่มขืน การใช้ถ้อยคำหยาบโลนและหยาบคาย เมื่อใดที่นางร้ายหรือตัวโกงโดนฆ่าหรือโดนข่มขืนกลับคืนบ้าง เราก็นั่งดูด้วยใจสมน้ำหน้า และสะใจ เห็นด้วยกับสิ่งที่ตัวละครโดน แม้กระทั้งเดี่ยวไมโครโฟน ขอยกตัวอย่าง อุดม หรือน้าเน็กโดยเฉพาะคนหลัง แน่นอนมันเคยผ่านตาผมผมถึงเอามาแบ่งปันได้ ขอโทษนะครับขอยกตัวอย่างเต็มๆ ทั้งคำว่า ไอ้เฮี้ย ไอ้สัตว์ กูมึง แม่ง สารพัด คำพูดสองแง่สองง่าม นั่นคือพูดให้จินตนาการเอาเองในเรื่องสัปดนและทะลึ่ง ตลกหยาบโลนหยาบคาย ตลกบางคณะที่ถ้าไม่พูดหยาบคายเล่นอะไรกันแบบสกปรกก็ทำให้คนขำไม่ได้ รายการบางรายการที่ผู้หญิงออกมาแต่งตัวยั่วยวนและแฝงตามละครต่างๆ ที่นางเอกได้ขึ้นชื่อในด้านความเซ็กซี่ หนังไทยสมัยนี้เมื่อตลกมากำกับหรือแสดงก็มีแต่คำหยาบคาย คำหยาบโลน และไม่ก็มีแต่หนังผี และจากที่เคยสังเกตคริสเตียนหลายคนก็ชอบในเรื่องเหล่านี้ด้วย


ผมคงพูดไม่ได้ว่าให้เราทำตัวเป็นคนบริสุทธ์แต่ภายนอก ทำตัวโฮลี่ แต่เราต้องพิจารณาว่าเมื่อทำไปแล้ว พระเจ้าได้รับเกียรติไหม เป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณไหม เราไม่ได้พูดในแง่มุมของคนเคร่งศาสนานะครับ


เนื้อหาต่างๆในรายการโทรทัศน์ทำให้ศีลธรรมเสื่อถอยลงไปทุกวัน มีแต่แย่ลง คำถามคือทำไมเราเองต้องเป็นตามกระแสของโลกนี้ด้วย


สดุดี 119:37 (NIV)
ขอทรงหันสายตาของข้าพระองค์จากสิ่งที่ไร้ค่า ขอทรงสงวนชีวิตของข้าพระองค์ตามพระวจนะของพระองค์ หรือในทางของพระองค์



ผู้เขียนสดุดีกล่าวว่า ขอทรงหันสายของข้าพระองค์ออกจากสิ่งที่ไร้ค่า แน่นอนว่าสิ่งไร้ค่านั้นย่อมเป็นสิ่งที่ล่อลวง น่าติดตามน่าดึงดูดเพราะนี่เป็นจุดเด่นของซาตาน เราไม่สามารถจะหันออกด้วยตัวของเราเอง เราต้องพึ่งพระเจ้าที่จะจับหน้าเราให้หันออกจากสิ่งไร้ค่าเหล่านั้น


ความบันเทิงของโลกนี้หลอกเราว่าความสุขวันพักผ่อน หรือการผ่อนคลายจากความเหนื่อยคือการที่ได้ดูละคร หนัง และอื่นๆ เพราะเหตุนี้แหละในช่วงที่เราอ่อนแอที่สุด เหน็ดเหนื่อย จิตวิญญาณเราก็อ่อนกำลังลงด้วย แทนที่เราจะเติมสิ่งไร้สาระลงไปเพื่อให้ซาตานทำลายเราได้ง่ายขึ้นในช่วงเวลาที่อ่อนแอ เรากลับต้องฟื้นฟูจิตวิญญาณเราด้วยการอธิษฐาน อ่านพระวจนะ และนมัสการพระเจ้า มากกว่าจะฟังเพลงทางโลกที่มีแต่คำแช่งสาบ บางเพลงกล่าวว่าฉันสมควรตาย เอสมควรตาย เธอมันเลวเธอมันแย่ และอีกมากมาย


ความคิดที่ว่าเมื่อเป็นแค่การแสดง เป็นแค่หนังแค่ละครจะไปซีเรียสทำไม ใช่นั่นเป็นแค่การแสดง แต่เวลาเราคิดเราคิดจริงๆไม่ใช่เหรอครับ เมื่อซาตานตั้งป้อมในความคิดของเราได้เมื่อไร เราก็เป็นทาสสิ่งเหล่านั้น ละครไทยหลายเรื่องเลย จะว่าทุกเรื่องก็ได้ ต้องมีการบวงสรวงก่อนการถ่ายทำ และดาราทุกคนต้องเข้าพิธีนี้ นั่นหมายถึงว่า เราได้ดูการแสดงอันมีซาตานเป็นผู้กำกับการแสดง เพราะพิธีบวงสรวงและการครอบครูไหว้ครูนั้น เท่ากับเป็นการเชิญวิญญาณชั่วให้เข้ามามีอิทธิพลและควบคุมการแสดงนั้น  หลายคนอาจจะบอกว่ายังงั้นก็ดูหนังฝรั่งก็ได้ แต่ในความเป็นจริงวิญญาณชั่วมันเข้ามาตั้งแต่เนื้อหาของหนังที่ขัดแย้งกับพระวจนะและพระคำของพระเจ้าแล้ว เมื่อเราดูก็เท่ากับเราเห็นด้วยกับความบาปในทางความคิด ข่าวการฆ่าตัวตาย การเลียนแบบพฤติกรรมต่างๆ โดยที่ยังไม่ได้สอนเด็กเลย ก็มาจากพฤติกรรมในละครด้วย


เราต้องปกป้องความคิดอย่าให้สิ่งใดมาตั้งป้อมอยู่ในความคิดของเรา อย่าได้อะลุ่มอะหล่วยกับความบาปและปิศาจตาเดียว อาวุธที่เราจะจัดการมันได้คือ พระวจนะ การนมัสการ และคำอธิษฐาน เมื่อเรามีอาวุธ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเตือนเรา แต่การเลือกเป็นของเราเองว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร สิ่งใดเป็นที่ชอบพระทัย สิ่งใดไม่ชอบพระทัย เมื่อนั้นจงลุกขึ้นและเดินหนีไปเนื้อหนังเราไม่เข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้ากับมันโดยไม่คิดอะไร เป็นเหมือนโยเซฟที่วิ่งหนีนายหญิง ภรรยาของเจ้านายที่ยั่วยวนโยเซฟ

ปฐมกาล 39:12 นางก็คว้าเสื้อผ้าโยเซฟเหนี่ยวรั้งไว้ แล้วพูดว่า "มานอนอยู่กับฉันเถิด" แต่โยเซฟทิ้งเสื้อผ้าไว้ในมือนางหนีไปข้างนอก


1 โครินธ์ 6:18NIV
บอกว่า จงหลีกหนีจากการผิดศีลธรรมทางเพศ

ไม่ใช่แค่เรื่องเพศเท่านั้นการเห็นด้วยกับปิศาจตาเดียวคือการที่เรานั่งดูมันและสนุกกับมันเพลิดเพลินไปกับพวกมัน


เอเฟซัส 5:4 บอกว่า อย่าพูดหยาบโลน ลามก เฮฮาไร้สาระหรือตลกหยาบช้า ซึ่งไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่า
ไม่ใช่แค่คำพุดที่เราต้องสงวนไว้ แต่หมายถึงการรับฟังด้วย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เมื่อพระคัมภีร์เน้นในเรื่องของลิ้นมากมาย เราเองต้องสนับสนุนถ้อยคำของพระเจ้าโดยการไม่สนับสนุนกิจการเหล่านนั้น


ปิศาจตาเดียวมีอันตรายหลายอย่างแม้กระทั่งความโลภที่ล่อลวงมนุษย์ให้เกิดความโลภ
อพยพ 20:17
อย่าโลภอยากได้บ้านเรือนของเพื่อนบ้าน อย่าโลภอยากได้ภรรยาของเพื่อนบ้านหรือคนรับใช้ชายหญิงขจองเขา วัวหรือลาของเขา หรือสิ่งใดๆที่เป็นของเพื่อบ้านของเจ้า


ถ้าเราสังเกตละครและสิ่งที่สื่ออกมาในทีวี มักจะขัดแย้งกับพระวจนะทั้งสิ้น ทั้งการแก่งแย่งชิงดี แย่งทรัพย์สมบัติกัน แย่งผัวแย่งเมียกัน เอาคนรับใช้มาเป็นเมียน้อย แน่นอนเราอาจจะไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้น แต่การที่เราเสพเรื่องแบบนี้ก็เท่ากับเราเห็นด้วย เพราะว่าเพียงแค่ความคิดของเราก็มีผลและเราก็ต้องรับผลนั้นแล้ว ในละครในโฆษณามักสอดแทรกสิ่งเหล่านี้เข้ามาด้วย โฆษณาบัตรเครดิตต่างๆ หรือรถแลกเงิน เงินด่วนทันใจ มีบ้านมีรถลอยมา ทำให้คนไทยเป็นหนี้กันบานเบอะจนท่วมหัวไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นเราจะทำบัตรไม่ได้ แต่หมายถึงการสื่อสารที่ออกมามันบ่งบอกถึงความต้องการที่จะล่อลวงคนให้มีความโลภและมีในสิ่งที่คนอื่นมีด้วย


ในบทเฝ้าเดี่ยวของเช้าวันหนึ่งใน มานา ได้กล่าวว่า ใน โคโลสี 3:5
เหตุฉะนั้นจงประหารโลกียวิสัยในตัวท่านเสีย มีการล่วงประเวณี การโสโครก ราคะตัณหา ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ

ข้อ6 กล่าวต่อไปว่า เพราะสิ่งเหล่านี้ พระอาชญาของพระเจ้าก็จะลงมา


ใช่แล้วการพิพากษาของพระเจ้าจะลงมา และมาถึงอย่างแน่นอน เมื่อซาตานยึดป้อมความคิดเราได้เมื่อใดและตั้งป้อมความคิดได้เมื่อใด มนุษย์ก็จะตกเป็นทาสของมัน หลายคนติดละคร ติดหนัง เพราะนี่คือวิญญาณที่เสพติด เมื่อดูแล้วก็ติด และตกในกับดักของซาตาน มันเองไม่ต้องการลงไปในบึงไฟนรกคนเดียวหรอก


ฉะนั้นเมื่อสิ่งที่เห็นด้วยตาจะถูกนำไปประมวลเป็นความคิด และเมื่อคิด ซาตานก็ต้องป้อมในความคิดได้ เท่ากับเป็นการเปิดประตูให้ซาตาน อย่าให้ตาของคุณนำไปสู่ความตายเลย


มัทธิว 18:9
และถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้ทำบาป จงควักทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตโดยมีตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีสองตาแต่ต้องถูกทั้งลงในบึงไฟนรก



เมื่อคุณเลือกที่จะเป็นคริสเตียน คือการที่เราเลือกที่จะเดินตามทางของพระเจ้า อะไรที่เป็นหินให้คุณสะดุดเราต้องจัดการ จงหยุดที่จะเป็นทาสการสะกดจิตของปิศาจตาเดียวที่จะทำให้คุณหยุดการเจริญเติบโตฝ่ายวิญญาณ ซะตอนนี้


ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะสอนเรา คงเป็นไม่ได้ที่เราจะไม่ดูโทรทัศน์หรือไม่ดูอะไรเลย ยังมีรายการที่ดี ส่งเสริม และมีสาระ ข่าวสารต่างๆ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เราจะมีความไว มีตาฝ่ายวิญญาณที่ดี มีหูฝ่ายวิญญาณที่ไว เหมือนแอนตี้ไวรัสที่สแกนความสกปรกที่เข้ามา ขอพระเจ้าอัปเดทโปรแกรมของเราที่เราจะตรวจจับความบาปเหล่านี้ได้


ไม่เคยมีใครเสียชีวิตเพราะเลิกดูละครไม่เคยมีใครเจ็บป่วยเพราะเลิกดูหนังหรือตลกหยาบโลน ความสุขแท้อยู่ในพระเจ้าไม่ใช่สิ่งเหล่านี้


จงถวายเกียรติพระเจ้าที่อยู่ในเรา เมื่อใดที่เราเสพติดสิ่งเหล่านี้พระองค์ผู้ทรงขาวบริสุทธ์ ขาวคือไม่มีจุดดำไม่มีสีอื่นปน ไม่ใช่สีเทา เมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาพระวิญญาณผู้บริสุทธิ์จะพรากจากเราไปด้วยความเสียพระทัย จงเฝ้าระวังให้ดีเราเองจะมีชัยชนะและมีอำนาจเหนือมัน เราจะควบคุมมันไม่ใช่มันกลายร่างเป็นปิศาจตาเดียวแล้วมาควบคุมเรา ทุกสิ่งอยู่ที่เรา เมื่อเราทุบตีเนื้อหนังได้อยู่มือคำหลอกลวงของมันก็ไม่มีอิทธิพลและไม่สามารถฝังเชื้อใดในชีวิตและความคิดของเราได้


ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย 
1 โคริน 6:12
 

เราทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม..แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ ..เราทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น 1 โครินธ์ 10:23
เราจะทำสิ่งสารพัดเพื่อความสนุกแค่นั้นแล้วไม่ได้มีประโยชน์มีสาระ หรือจะทำสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณโตขึ้น เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่คุณต้องตัดสินใจเอง ว่าก่อนที่เราจะหาความบันเทิงของโลกนี้ เล่นคอมวันล่ะหลายชั่วโมง เสพเกมส์ในคอมพิวเตอร์ มุ่งมั่นหาโหลดหนังจนเต็มเครื่อง และดูแต่หนังอย่างที่บอกไป หรือดูละครยอดฮิตที่มีแต่อิจฉาริษยา และถูกกำกับโดยวิญญาณชั่ว จงชั่งน้ำหนักว่าเราให้อาหารฝ่ายจิตวิญญาณมากพอหรือยัง ถ้ายังอ่านพระวจนะวันล่ะ 20 นาทีหรือไม่อ่านเลย ไม่เคยนั่งลงอธิษฐานเลย ไม่เคยนมัสการเฝ้าเดี่ยวเป็นส่วนตัวเลย เมื่อนั้นประเด็นไม่ได้อยู่ที่ผมมาพูดแบบเคร่งศาสนาหรือเป็นลัทธิ หรือมานั่งถกเถียงกันแต่มันอยู่ที่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของท่านเอง

จงกล้าหาญและตัดสินใจแบบโยเซฟ และคุณจะคือผู้ชนะ

แถมอีกสักนิด
อยากหนุนใจท่านจากประสบการณ์เรื่องหนึ่ง เมื่อเราเองอยู่ในทีมนมัสการ หรือแม้แต่เป็นผู้นมัสการก็ดี และถ้าคืนก่อนจะถึงวันอาทิตย์ ถ้าเราเองยังดูละคร ไม่ว่าจะละครอะไร จะอิจฉาจะฆ่าล้างตระกูล หรือหนังผีสยดสยองก่อนจะนอน และตื่นเช้ามาวันอาทิตย์ซึ่งต้องนำนมัสการพระเจ้า สิ่งที่เราต้องรับผิดชอบคือเราได้ปลดปล่อยสิ่งใดออกมาสู่บรรยากาศของการนมัสการ เมื่อเราต้องทำการเปิดฟ้าสวรรค์เพื่อนำการทรงสถิตของพระเจ้ามาถึงพี่น้องในคริสตจักร สิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลอย่างมากมาย เมื่อทหารจะออกรบคงไม่มีกองทัพไหนดื่มเหล้าเมายาคืนก่อนรบในตอนเช้า เราเองซึ่งเป็นผู้นมัสการ ก็ไม่ควรรับสิ่งใดๆที่ซาตานพยายามตั้งป้อมความคิดของเรา มอมเมาเราเพื่อไม่ให้ไปถึงพระนเวศของพระเจ้าแบบหน้าต่อหน้า ลองดูสิครับและคุณจะสังเกตบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน เมื่อเราเฝ้าระวังนมัสการและอธิฐาน เพื่อยิงขีปนาวุธออกไปเคลียร์พื้นที่เพื่อบรรยากาศที่สดใสในการนมัสการ



ขอพระเจ้าอวยพระพร
ด้วยรักในพระคริสต์
Ktm.worship

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

ขอบเขตของเสรีภาพ

ขอบเขตของเสรีภาพ
บทความหนุนใจ 15 เมษายน 11


สวัสดีครับ ขอบคุณพระเจ้าวันนี้ได้หยุดพักผ่อนจากงานรับใช้ แต่จะไม่หยุดที่จะอธิษฐานและ ก็มีเวลาได้เขียนบันทึกถ้อยคำที่พระเจ้าให้อีกครั้งหนึ่ง


ถ้าเราพูดถึงเสรีภาพ มันก็ทำให้เราคิดได้ว่าเราจะทำอะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ แต่ถ้าพูดถึงการขาดเสรีภาพล่ะ ก็คือเราไม่มีอิสระไม่จะทำอะไรก้ไม่ได้เพราะเหมือนถูกจำจองพันธนาการ


ผู้ต้องขังในเรือนจำก็เช่นเดียวกัน เขาต้องอยู่ในรั่วที่มีกำแพงสูงใหญ่และหนา มีลวดหนามคอยกันไม่ให้ปีนหนี มีโซ่และกุญแจมือ พันธนาการไว้ เพราะก่อนที่เขาจะถุกคุมขังเขาได้ใช้เสรีภาพในการออกทำความผิดและนำสู่การถูกจับกุม

แต่เราเองเราเป็นคริสเตียนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงไถ่ออกมาจากความมืด จากดินแดนของซาตานจากโลกที่มืดมิดมาสู่ความสว่าง จากการถูกพันธนาการต่างๆด้วยอำนาจมืด และบัดนี้เราเป็นไทแล้ว เรามีอิสระ และเสรีภาพแล้ว อาเมน

แต่หลายครั้งเราใช้เสรีภาพด้วยเหตุผลการวิเคราะห์ด้วยตัวของเราเองหรือไม่?

เราต้องไม่ใช้เสรีภาพนี้จนเกินขอบเขตและใช้อย่างผิดพลาดหลายคนใช้เสรีภาพเพื่อสนองความต้องการตัณหาและโลกียวิสัยของตัวเอง และเอาตัวเข้าไปสู่วิถีชีวิตเนื้อหนังของโลกนี้

ซาตานมักมีวิธีการและกลยุทธ์ที่นิ่มนวลเพื่อดึงดูดเราให้กลับไปหาสิ่งเดิมๆ วิถีของโลกนี้ และเมื่อนั้นเราก็จะกลับไปติดคุกที่ถูกพันธนาการเช่นเดิม

อาดัมเอวาเองก็มีเสรีภาพทุกอย่างในสวนเป็นผู้ครอบครองสวนเอเดนอันอุดมสมบูรณ์ เพียงแต่พระเจ้าสั่งห้ามอย่าแตะต้องผลไม้ต้องห้ามต้นหนึ่ง เมื่อเขาถูกล่อลวงโดยงูที่ใช้การหว่านล้อมต่างๆ เขาก็กินผลไม้นั้นเสีย ถ้าเราติดสนิทกับพระเจ้าเข้าสู่ความสัมพันธ์สนิทกับพระองค์เราจะรู้ได้ว่า สิ่งใดเป็นที่ชอบพระทัย และสิ่งใดไม่เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า

เสรีภาพของคริสเตียนไม่ได้หมายความจะทำอะไรก็ได้ เรารอดได้ไม่ใช่เพราะการทำดี แต่เป็นสิ่งที่พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้าเข้ามาและเอาชีวิตของพระองค์แลกมาด้วยเลือดด้วยเนื้อด้วยชีวิตและด้วยความเจ็บปวด
เสรีภาพของคริสเตียนจึงต้องติดอยู่กับความสำนึกและความรับผิดชอบ

2 โครินธ์ [3:17] องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และพระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น

เสรีภาพที่เรามีจึงเป็นเสรีภาพที่จะมีชีวิตเพื่อพระองค์ เสรีภาพจากตัณหาเนื้อหนังของโลกนี้ ความสนุกส่วนตัวทั้งหลาย เราต้องมีเสรีภาพต่อสิ่งนี้ คือไม่ให้สิ่งเหล่านี้มามีอิทธิพลต่อชีวิตของเราและมาพันธนาการชีวิตของเราอีกต่อไป เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่ในเรา เป็นผู้ช่วยของเราเราจะรู้ว่าสิ่งใดควรและไม่ควร ควรเข้าไปยุ่งหรือไม่ควรเข้าไปยุ่งและเมื่อนั้นเราเองจะมีเสรีภาพ

กาลาเทีย [5:1] เพื่อเสรีภาพนั้นเอง พระคริสต์จึงได้ทรงโปรดให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย

อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น ทุกคนรู้ดีว่าพระคริสต์เข้ามาในโลกเพื่ออะไร พระคริสต์พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อให้เรามีเสรีภาพ จากบัญญัติจากกฎเกณฑ์ต่างๆ และรวมถึงประเพณีต่างๆของโลกนี้ เราจึงมีเสรีภาพ แต่ไม่ใช่เสรีภาพที่เราจะทำอะไรก็ได้ตามที่เราต้องการ เพราะนั่นเป็นการนำตัวเองหวนกลับไปสู่การเป็นทาสของพันธนาการของความเห็นแก่ตัวของเรา

เรามีเสรีภาพแล้ว คือเสรีภาพที่เมื่อก่อนเราหลุดไม่ได้ หลุดจากความเห็นแก่ตัว คนที่อ้างเสรีภาพในการทำตามใจของตนเองก็จะหวนกลับไปสู่มันอีกครั้ง ไม่ใช่แค่พระเยซูที่อ้าแขนรับเรา ซาตานเองก็อ้าแขนรับเราอยู่อีกฝั่งด้วยเช่นกัน เสรีภาพของเราคือเราต้องเลือกข้าง ว่าจะอยู่ข้างพระเจ้าผู้ได้รับชัยชนะ หรือจะอยู่ข้างซาตานผู้พ่ายแพ้ เพราะเห็นแก่ความสนุกสนานในโลกใบนี้เท่านั้น

กาลาเทีย [5:13] ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด

เปาโลกำลังทำให้เราเห็นว่า เสรีภาพในความบาป และเสรีภาพในพระเจ้า เสรีภาพในการทำตามใจปรารถนา หาเหตุผล วิเคราะห์ เพื่อจะเอาตัวเองเข้าไปในดงของซาตานนั้น จริงๆแล้วไม่ใช่เสรีภาพ ความหมายของเสรีภาพไม่ใช่ความหมายนี้แน่นอน เมื่อเราอ้างเสรีภาพเพื่อการนี้มันจะเป็นตัวผูกมัดให้เป็นทาสของซาตาน วิสัยบาป การทำตามใจปรารถนา ตามตัณหาของเนื้อหนัง เห็นแก่ความสนุกเพียงไม่กี่นาที ไม่นาน สันติสุขแท้ที่เราจะพบได้ ไม่ใช่การดำเนินตามใจปรารถนา หรือเดินตามโลกนี้ที่ถูกจัดงานสังสรรค์ขึ้นและสุดท้ายเป็นกับดัก แต่ความสุข สันติสุขที่แท้จริงอยู่ในพระเจ้า แต่เรามักโดนหลอกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายในการแสวงหาพระเจ้า ถ้าแบบนั้นลองสำรวจตัวเองดูว่า เพราะอะไรถึงไม่พบสันติสุขแท้ เราอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพราะอะไร โดนบังคับหรือเป็นกฎเกณฑ์ เราอธิษฐานวันล่ะกี่นาที ดูหนังกี่ชั่วโมง คอมพิวเตอร์กี่ชั่วโมง ในแต่ละวันเคยนั่งลงนมัสการพระเจ้าไหม แบบด้วยจิตวิญญาณและความจริงนะ ไม่ใช่เพราะว่าเพลงเพราะ แบบนี้ล่ะแผนการของซาตานจึงทำให้เราได้หาความสุขโดยการใช้เสรีภาพแบบได้มาง่ายๆ แต่ใครจะรู้ว่าความสุขนั้นเมื่อเราเดินเข้าไปเต็มตัวเมื่อไร ก็หมายถึงความตายเท่านั้น เพราะแบบนี้ ค่าจ้างของความบาปก็คือความตาย (ตายในฝ่ายวิญญาณ)

การมีชีวิตคริสเตียนจึงไม่ใช่พรมแดงที่ปู และเมื่อพระเยซูไถ่เรามาด้วยพระโลหิต และพระวิญญาณพระองค์ทรงอยู่ในเราประทานเสรีภาพให้กับเรา ใช่ว่าเราจะลากพระองค์ไปทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ที่ขัดกับพระทัยของพระองค์ รางวัลแห่งชัยชะ เปาโลถึงบอกเราว่า จงบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย และเมื่อนั้นเราจึงจะมีชัยชนะ

1 เปโตร [2:16] จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้น เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า
ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

ความสุขแท้ในวันสงกรานต์

ควรหรือไม่ควร ?



บทความนี้เป็นเพียงบทความเพื่อให้เราได้คิดสักนิด มีเหตุผลมากมายที่เราขัดแย้งได้ว่าควรหรือไม่ควร บทความนี้ไม่ได้เป็นการต่อว่าใคร ตำหนิใคร หรือค้นหาว่าใครผิดใครถูก แต่เพื่อให้เราได้ใช้เวลาคิดร่วมกัน แต่สำหรับผมแล้ว คำตอบคือไม่อย่างเด็ดขาด

คำว่า "สงกรานต์" มาจากภาษาสันสฤกตว่า สํ-กรานต แปลว่า ก้าวขี้น ย่างขึ้น หรือก้าวขึ้น การย้ายที่ เคลื่อนที่ เคลื่อนเข้าไปสู่ คือพระอาทิตย์ย่างขึ้น สู่ราศีใหม่ หมายถึงวันขึ้นปีใหม่ ซึ่งตกอยู่ในวันที่ ๑๓,๑๔,๑๕ เมษายนทุกปี

สงกรานต์  ไม่ใช่ของไทยแห่งเดียว
แต่มีในหลายประเทศ  เช่น  เขมร, ลาว,พม่า
สงกรานต์ ถูกทำให้เชื่อมานานแล้วว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยแท้ๆ มาแต่โบราณกาล  แต่ไม่เป็นความจริง  เพราะสงกรานต์เป็นประเพณีทางศาสนาพราหมณ์  

มีกำเนิดในชมพูทวีป (อินเดีย)  เกี่ยวกับดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ  จึงไม่ใช้ประเพณีไทยแท้ๆตามที่กล่าวอ้าง

สงกรานต์ของศาสนาพราหมณ์แพร่หลายจากชมพูทวีปเข้าสู่อุษาเคนย์  ถึงราชสำนักสุวรรณภูมิราวหลังพ.ศ. 500 แล้วเป็นพิธีกรรมสำคัญอยู่ในราชสำนักก่อน

สมัยแรกๆยังไม่แพร่หลายลงสู่สามัญชนชาวบ้าน  ต้องใช้เวลาอีกนานมาก  จนราวหลัง พ.ศ. 2000 ถึงลงสู่สามัญชนชาวบ้าน

ราชสำนักในสุวรรณภูมิที่อยู่ใกล้ทะเลแล้วรับศาสนาพราหมณ์และพุทธ   ล้วนมีสงกรานต์เหมือนๆกัน  เช่น  กัมพูชา, ไทย, ลาว, พม่า, ฯลฯ  หลังจากนั้นแพร่หลายเข้าสู่ดินแดนภายใน  เช่น  ล้านนา, ล้านช้าง, จนถึงสิบสองพันนา (ในจีน)

บ้านเมืองเหล่านี้มีประเพณีสงกรานต์เหมือนกันทั้งหมดสืบจนทุกวันนี้  แล้วบอกว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของตนทั้งนั้น

ดังนั้น  สงกรานต์จึงไม่ได้มีที่ไทยแห่งเดียว  แต่มีทั่วไปทั้งในกัมพูชา, ลาว, พม่า, รวมทั้งในจีน
วันขึ้นปีใหม่ เป็นประเพณีตะวันตก  มีกำเนิดทางตะวันตก  ไม่ใช่ของตะวันออก  จึงไม่ใช่ของไทยแท้ๆ  เพราะไทยแท้ๆไม่มีประเพณีวันขึ้นปีใหม่

เดือนอ้าย หมายถึง เดือนที่ 1    อยู่ช่วงเวลาตั้งแต่หลังลอยกระทงกลางเดือน  12 รุ่งขึ้นก็เริ่มเดือนอ้ายนับเป็นขึ้นฤดูกาลใหม่  แล้วขึ้นนักษัตรใหม่ของดินแดนสุวรรณภูมิ  เช่น  กัมพูชา, ลาว, และไทย  เทียบสากลได้ว่าขึ้นปีใหม่   แต่ก็ไม่ใช่ขึ้นปีใหม่  หากเป็นขึ้นฤดูกาลใหม่  หรือ ขึ้นนักษัตรใหม่

นี่เป็นข้อมูลคร่าวๆที่นำมาแบ่งปันครับ
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน มีคำถามว่าควรหรือไม่ควร และถ้าไม่ควรจะทำตรงจุดนั้น จุดนี้ได้ไหม ?
เราอาจมีหลายเหตุผลที่จะเล่นสงกรานต์ แน่นอนล่ะมันสนุกเพราะได้สาดน้ำกัน เราอาจจะค้นหาข้อมูลต่างๆเพื่อเป็นเหตุผลที่เราจะเล่นสงกรานต์ เราอาจจะวิเคราะห์ได้เก่ง เป็นฉากๆว่าการเล่นสงกรานต์ไม่ผิด เราอาจจะเอาบางส่วนของสงกรานต์ที่เราคิดว่าทำได้ไม่ผิดเพื่อที่เราจะอ้างที่จะเข้าร่วมและมีส่วน หรือไม่ก็ไม่สนใจอะไรเลย จะเล่นซะอย่าง

เมื่อเราเข้าไปอยู่ในวงล้อมนั้นไม่มีใครรู้หรอกว่าเราคือคริสเตียนและเขาก็ไม่สนใจว่าเราเป็นคริสเตียนด้วย
ผมเห็นคริสเตียนหลายคนที่เข้าไปในกลุ่มแบบนั้นและก็ทำตามกฎของสังคมนั้นๆ โดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เมื่อเราเข้าร่วมก็เหมือนกฎที่เราปฏิบัติตาม

ซาตานไม่เคยคิดอะไรและสร้างอะไรได้ด้วยตัวของมันเอง มันแย่งชิงสิ่งดีๆและความคิดของพระเจ้าและทำให้สิ่งนั้นเป็นของๆมัน เมื่อน้ำเล็งถึงการชำระ และการบัพติศมาและมันเองได้แย่งชิงสิ่งเหล่านี้ไป

ถ้าเราได้อ่านประวัติของสงกรานต์ และถ้าเรารู้ว่าสงกรานต์มีที่มายังไง เมื่อคนทั้งประเทศเฉลิมฉลองสิ่งเหล่านี้ร่วมกัน ร่วมใจกันบูชารูปเคารพ เวลานี้เองในช่วงเวลาของสงกรานต์ ซาตานเองจะมีอิทธิพลต่อคนที่บูชาพวกมันอย่างมาก เพราะจะมีผู้คนทั้งประเทศออกมาสักการะบูชาพวกมัน เพราะประเทศนี้ถือรูปเคารพอยู่แล้ว

สงกรานต์ถูกดัดแปลงมาเรื่อยสมัยก่อนไม่ได้สาดน้ำกันขนาดนี้ มีเพียงรดน้ำขันน้อยๆ แล้วก็ไหว้พระ ทำบุญ ตักบาตร รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ ซึ่งจะว่าไปเมื่อจะใช้เหตุผลวิเคราะห์ก็ไม่ผิด เพราะบางคนแค่ขอออกไปเล่นน้ำไม่ได้ไปกราบไหว้รูปเคารพที่ไหนสักหน่อย ?

แต่เมื่อเรารู้ว่าซาตานคือผู้มุสา คือพ่อของการโกหก ยอห์น 8:44 คำว่าโกหกคือมีทั้งเรื่องจริง และไม่จริงปนกันเพื่อให้ดูสมเหตุสมผลและน่าดึงดูดให้น่าเชื่อถือ ฉะนั้นมันจะไม่ใช้การไหว้รูปเคารพอย่างเดียว สิ่งที่มันใช้คือสิ่งที่คิดว่าดูดี และสิ่งนั้นก็อยู่ร่วมกันในกิจการของมันเอง กลยุทธ์ซาตานปรับเปลี่ยนและทันยุคทันสมัยเสมอ มันคงไม่เอาความโบราณ มาใช้เป็นอุบายหลอกวัยรุ่นยุคไอทีแน่นอน

แม้กระทั่งการรดน้ำดำหัวบิดามารดาผู้สูงอายุขอพร การที่ต้องถือปฏิบัติและทำในช่วงเวลาของสงกรานต์มุมที่ไม่ควรไม่ใช่อยู่ที่การไหว้บิดามารดา แต่อยู่ที่เราได้ยอมรับในธรรมเนียมปฏิบัตินั้น การเล่นน้ำก็เช่นเดียวกันจริงอยู่เราไม่ได้เข้าวัดและรดน้ำขันน้อยๆใส่รูปเคารพ และหยอดน้ำใส่กัน แต่หลุมพรางของซาตาน มักเอาความสนุกสนานมาล่อลวงให้เราชอบ สงกรานต์หลายที่ไม่ต่างจากโสโดมและโกโมราห์ ที่วัยรุ่นสาวๆเต้นกันอย่างหัวแทบหลุดไม่อายใคร เมามายกันอย่างไม่ได้สติ จนถึงทะเลอะกันและมีเสียชีวิต มีล้วงมีจับมีทำอนาจาร อย่างมากมายและนี่เป็นสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจ

จริงๆแล้วการรดน้ำดำหัวก็เป็นสิ่งที่แฝงอยู่หลังจากวันแรกๆของสงกรานต์คือ การรดน้ำพระหรือสรงน้ำพระ การรดร้ำดำหัวผู้ใหญ่จึงอยู่ในโครงข่ายของการไหว้รูปเคารพในงานเลี้ยงสังสรรค์ของมัน อย่าเข้าใจผิดว่าผมหมายถึง พ่อแม่ผู้หลักผู้ใหญ่เป็นซาตานมารร้ายนะครับ

อียิปต์ในยุคที่เข้มแข็งในพระเจ้า จนถึงเมื่อเขาต้องออกมาจากอียิปต์ สิ่งที่ติดตัวพวกเขามาก็คือ พระต่างๆ และประเพณี และธรรมเนียมของอียิปต์

เพราะในการสรงน้ำพระนั้น มีความหมายถึง เป็นการบูชาบุคคลที่ควรบูชา คือพระพุทธเจ้าด้วยของหอม คือ น้ำสะอาดและดอกไม้ การบูชา คือ เกิดจากการที่เรามองเห็นความดีของผู้อื่นครับ เช่น มองเห็นว่าพระพุทธเจ้ามีดีอย่างไร พอเห็นความดีแล้วเราจึงได้มาบูชาความดีของพระพุทธเจ้า แม้ในการรดน้ำดำหัวในสมัยก่อนโบราณจะมี เครื่องสักการะด้วย

 - ต้นดอก คือพุ่มดอกไม้ที่ประกอบด้วยดอกไม้นานาชนิด

- ต้นเทียน คือพุ่มเทียน

- ต้นผึ้ง คือพุ่มขี้ผึ้ง

- หมากสุ่ม คือพุ่มหมากแห้งที่ประดับด้วยหมากแห้งผ่าซึก

- หมากเบ็ง คือพุ่มหมากดิบที่ประดับด้วยหมากดิบเป็นลูก ๆ

พิธีกรรมในการดำหัวเมื่อรับพระเสร็จทุกคนจะกว่าวว่า สาธุ

  
เราอาจมีเหตุผลอีกว่า รดน้ำดำหัวเป็นการขออภัยผู้ใหญ่ที่ได้เคยล่วงเกิน และการเล่นน้ำหลายที่ก็เล่นด้วยความสุภาพ และเราเองซึ่งเป็นคริสเตียนก็เล่นด้วยความสุภาพและความสนุกสนาน เราเองก็อาจไม่รู้ตัวว่าตัวเราเองก็อยู่ในงานเลี้ยงสังสรรคของซาตานความบาปและรูปเคารพ เราเห็นไหมสิ่งที่เราเห็นรอบข้างเรา ข้างๆเรา ที่ผ่านหน้าเรา มีแต่ความลามก ทะลึ่ง ความหยาบ การเมามาย ไร้สติ มันไม่ต่างจากการที่เราเองอยู่ในวงล้อมของงานสังสรรค์ซาตานไม่มีผิด เราเห็นคนที่เหมือนซากศพที่ตายแล้ว เหมือนผีดิบไร้วิญญาณ เต้นกันเกลื่อนถนน ซึ่งถ้าไม่เมาบางคนก้ไม่กล้าทำขนาดนี้ บางคนถูกสุราเหล้าเบียร์ควบคุมเหมือนหุ่นยนต์ เหมือนงานที่จัดขึ้นเพื่อบูชาซาตานไม่มีผิด เราเองต้องไม่หยวนและอะลุ่มอหล่วยกับสิ่งเหล่านี้

ถ้าการรดน้ำดำหัว เป็นการขอขมาขออภัยให้ความเคารพ พระคัมภีร์มีสอนว่า การให้อภัยการขออภัย ขอโทษ ทำได้ในทุกวัน การคืนดีกันก็ทำได้ในทุกวัน ไม่ต้องรอให้ถึงวันสงกรานต์ คนล่ะประเด็นกับไม่เคารพผู้ใหญ่นะครับ นี่เป็นภาพของฝ่ายวิญญาณ

ถ้าเรายังคิดว่าควรหรือไม่ควร ก็อย่าพยายามหาข้อมูล หรือหลักฐาน หรือการวิเคราะห์ เพื่อจะเข้าไปมีส่วนร่วม แต่ละคนล้วนย่อมต้องต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ เมื่อเรามีหัวใจที่จะยืนหยัด พระเจ้าจะประทานหนทาง
ซาตานรู้ดี มันรู้จักเราตั้งแต่เกิด มันรู้ว่าเรา ชอบหรือไม่ชอบอะไร อะไรที่จะทำให้เราอยู่ในแผนการของมันและเข้าสู่งานเลี้ยงสังสรรค์ของมัน มันจะใส่ความคิดแก่เรา และตั้งป้อมในหัวของเราว่า สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนไม่มีอะไรและไม่ผิดอะไร

1 โครินธ์ 10:23 เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น

บทที่ 6:12 ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้
แต่ข้าพเจ้าไม่ให้สิ่งใดมาเป็นเจ้านาย

ความสมควรจึงไม่ได้อยู่ที่โลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน เราจะปรับเปลี่ยนแผนการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมได้ยังไง จุดไหนทำได้หรือทำไม่ได้ แต่มันอยู่ที่เราเข้าไปอยู่ในงานเลี้ยงสังสรรคของมันหรือเปล่า ถ้าสมมุติจุดที่คุณอยู่เป็นเมืองโสโดมที่มีแต่ความบาป และเราอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเมืองนั้น เราไม่ได้ไปล่วงประเวณี ไปร่วมเพศ ไปดื่มเหล้า แม้เราไม่ได้เข้าไปทำสิ่งแบบที่กล่าวมา แต่เมื่อพระเจ้าพิโรธ เมื่อพระพิโรธของพระองค์ลงมา พระองค์จึงบอกให้โลท ออกจากเมืองนั้น เพื่อพระองค์จะเผาความบาปและความโสมมในเมืองนั้นให้วอดวายไป

ผมไม่ได้หมายความว่านี่เป็นการเคร่งศาสนา แต่พระเจ้าองค์บริสุทธิ์ พระองค์ขาวคือขาว ดำคือดำ ไม่มีสีเทา ไม่มีการเจือปนเชื้อแห่งความบาป ไม่บังเอิญที่สงกรานต์นี้ ใกล้กับเทศกาลปัสกา ทำไมเราต้องรับประทานขนมปังไร้เชื้อ เพราะขนมปังไร้เชื้อคือขนมปังที่ไม่มีเชื้อใดเจือปน เมื่อพระเจ้านำเราออกจากแผ่นดินของศัตรูในช่วงเวลานี้ ซาตานจะดึงคนเข้าสู่แผ่นดินของมัน นี่เป็นภาพของการแย่งชิงกันอย่างชัดเจน แน่นอนพระเจ้าเป็นผู้ชนะ

เวลานี้คำถามคือคุณจะอยู่ฝ่ายใคร ฝ่ายที่มีชัยชนะ หรือซาตานที่แพ้ตั้งแต่แรกและดิ้นรนอย่างสุดชีวิต

ขอมีดแห่งพระจนะที่จะเข้าสุหนัตเราตัดเชื้อแห่งความบาปออกไป เราต้องไม่ไหลตามน้ำ ไม่เลยตามเลย

สงกรานต์เป็นเทศกาลหนึ่งที่คนตายและเสียชีวิตมากที่สุด ซาตานพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเอาดวงวิญญาณไปให้มากที่สุด ส่วนเรายังจะเข้ามีส่วนร่วมกับงานเลี้ยงสังสรรคที่จะนำไปสู่การตายแบบนี้หรือ

หลายคนการอ่านพระคัมภีร์เป็นอะไรที่ยากและลำบาก หลายคนการอธิษฐานเหมือนภาระหน้าที่ หลายคนการมาคริสตจักรและงานรับใช้เป็นภาระที่ต้องแบกรับและเหน็ดเหนื่อย



แต่หลายคนสนุกกับการดูหนัง ฟังเพลงทางโลก และเทศกาลของโลกนี้ และเข้าร่วมอย่างสนุกสนาน และไม่คำนึงถึงภาพฝ่ายวิญญาณที่แฝงอยู่

2 โครินธ์ [10:3] เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกก็จริง แต่เราก็มิได้สู้รบตามโลกียวิสัย

2 โครินธ์ [10:4] เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้

2 โครินธ์ [10:5] คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์

อาวุธที่จะจัดการกับซาตาน เราเองต้องรับเอาอาวุธจากพระเจ้า อ่านบทความรับศาสตราวุธจากพรเจ้า
ได้ที่ http://missionkorat.blogspot.com/2011/04/blog-post.html .... คลิ๊กอ่าน


เลวีนิติ [18:30] เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงปฏิบัติตามคำสั่งของเรา อย่าประพฤติตามธรรมเนียมอันพึงรังเกียจ ซึ่งเขาประพฤติกันอยู่ต่อหน้าเจ้า และอย่าทำตัวเจ้าให้ลามกด้วยสิ่งเหล่านี้ เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า"

สำนวน NIV บอกว่า ฉะนั้นจงปฏิบัติตามข้อกำหนดของเรา อย่าดำเนินตามเยี่ยงอย่างอันน่ารังเกียจเหล่านี้ ซึ่งทำกันอยู่ก่อนหน้าพวกเจ้าเข้ามา อย่าทำตัวแปดเปื้อนไปกับพวกเขา เราคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้า

เราอาจคิดว่าสิ่งนี้ดูเหมือนเป็นประเพณีอันดีงาม ผมเองไหว้พ่อกับแม่เกือบทุกวัน หลังจากอธิษฐานกับพระเจ้าสูงสุดแล้ว ผมเองก็จะให้พ่อกับแม่อธิษฐานเผื่อก่อนรับใช้ทุกครั้ง ไม่จำเป็นต้องวันนี้

เมื่อร่างกายของเราเป็นพระวิหาร เมื่อเราอธิษฐานยอมจำนนให้พระเจ้าเข้ามานั่งบนบัลลังก์ใจของเรา เราเคยถามพระเจ้าไหมว่าพระองค์ที่อยู่ในเราซึ่งเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลกผู้นี้อยากจะเข้าร่วมเทศกาลสงกรานต์กับเราหรือไม่?

โรม [12:1] พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย

โรม [12:2]
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

ผมเองไม่ได้สัมผัสและเล่นน้ำสงกรานต์มานานแล้วหลายปีมากๆ ไม่แน่ใจถึง 10 ปีไหม แต่ผมยังมีชีวิตอยู่ ยังมีความสุขและสันติสุขเต็มเปี่ยม สงกรานต์นี้ผมอยู่อธิษฐาน เพราะอยู่ในช่วง 40 วันอธิษฐาน คริสตจักรมีการอธิษฐานทุกวัน เผื่อคนไทยทุกคนในเทศกาลสงกรานต์นี้ 

พระเจ้ากู้เราออกจากแผ่นดินพระอียิปต์ และตอนนี้พระเยซูคริสต์ ได้มาตายแทนเราพระองค์ทรงเป็นลูกแกะปัสกา ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกคนนะครับ

สุดท้ายนี้ผมยังยืนยันว่าส่วนตัวผมแล้ว ผมปฏิเสธที่จะร่วมสิ่งใดๆของเทศกาลนี้ แต่ส่วนทุกคนจะคิดยังไงอันนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าจะตรัสเป็นส่วนตัวกับท่านเองครับ

นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าเร้าใจและอยากจะแบ่งปันร่วมกัน 

สำหรับคนที่ไม่แน่ใจและหาคำตอบอยู่หรือกำลังสงสัย ทั้งสงกรานต์ ทั้งลอยกระทง ก็ขอให้สิ่งเหล่านี้ผ่านท่านไปด้วยความสบายใจ อย่าเสียเวลาวิเคราะห์เลย
ความสนุกสนานถาวร รอเราอยู่บนสวรรค์ การทำตามสิ่งพระเจ้าเป็นแบบอย่างและสอนเรา และให้เราเดินตามนั้น สิ่งนี้สำคัญมากกว่า การยึดติดกับประเพณีที่สืบทอดกันมาของมนุษย์

เราเองต้องปกป้องสิ่งที่เป็นมรดกที่พระเจ้ายกให้เราและซาตานพยายามแย่งชิงเอาไป เป็นเวลาที่เราต้องออกนอกกรอบ คือกรอบของโลกนี้ เราต้องแตกต่าง และคริสตจักรต้องลุกขึ้นและต่อสู้ แย่งชิงทุกอย่างกลับคือมา พลังของผู้เชื่อมีพลังที่จะง้างอุ้งมือซาตานให้อ้าออก มันจะกำสิ่งที่มันแย่งไปไม่ได้อีกต่อไป

ด้วยความปรารถนาดี และรักในพระคริสต์
Ktm.worship

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

รับศาสตราวุธของพระเจ้า


คัมภีร์ ทองมาก เทศนาเรื่อง "รับศาสตราวุธของพระเจ้า"
เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน 2011 ณ คริสตจักรธารพระพร
Kumpee Alex Thongmak Preached about "Get the Weapons of God"
in Sunday Morning service, on April 10, 2011, @Stream of Blessing church.
คลิ๊กเพื่อฟังคำเทศนา <<<

จงรับเอาศาสตราวุธแห่งชัยชนะ


ถ้าเราพูดถึงศาสตราวุธ และชัยชนะก็ย่อมแน่นอนที่ต้อง เกี่ยวข้องกับ สงครามอย่างแน่นอน
เราอาจจะมีความคิดที่ว่า พูดเรื่องสงครามกันอีกแล้ว เราไม่ชอบสงคราม อยู่แบบสงบๆ
แต่เมื่อเราตัดสินใจ เชื่อในพระเจ้าแล้ว เราก็เข้าสู่สงคราม เพราะเราจะถูกโจมตีทันที
คำว่าสงคราม คือเมื่ออีกฝ่ายรุกคืบเข้ามา
และถูกรุกราน อีกฝ่ายย่อมต้องเตรียมจัดทัพเพื่อปกป้องประเทศของตัวเอง
เราเป็นชนชาติของพระเจ้า และเราต้องรู้ที่จะทำสงคราม

เอเฟซัส 6:12 เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ

เราจะเห็นภาพได้ว่า เราอยู่ในสภาวะของสงคราม เพราะซาตานมุ่งมั่นที่จะทำลายผู้ที่เชื่อในพระเจ้า
แต่พระเจ้าเอง พระองค์ต้องการให้เราแน่ใจในชัยชนะ
ซาตานพยายามทำให้เราล้มลง พ่ายแพ้ไป และหันเราออกจากทางของพระเจ้า
เรามักถูกซาตานจู่โจมทุกเวลา เช่นความคิดของเรา

ยอห์น 8:44
มันเป็นพ่อของการมุสา เราได้ยินพระองค์สอนและประสงค์ให้เรารักกันและกัน
แต่ซาตานเองมักจะเอาเรื่องไม่จริงของผู้อื่นมาปั่นในหัวของเรา และเราก็เชื่อในสิ่งนั้น
เพราะมารจะเอาทั้งเรื่องจริงปนกับเรื่องโกหกเสมอ

และเมื่อเราต้องรับใช้ร่วมกัน รวมตัวกัน เป็นหนึ่งเดียว คริสตจักรเองก็มักจะโดนจู่โจม
ด้วยวิธีเหล่านี้ เพราะซาตานไม่ชอบการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วย จึงต้องขัดขวาง
ใส่ความคิด ไม่พอใจ จับผิด ตัดสิน ระแวงกันและกัน
สงสัยในกันและกัน หมั่นไส้ซึ่งกันและกัน ความกลัว
และการใช้เหตุผล ทฤษฏีของโลกนี้ในการวิเคราะห์
ซาตานรู้ว่าเราชอบและไม่ชอบอะไร รู้ว่าเราอยู่ในสภาวะอารมณ์แบบไหน
เรากลัวอะไร มันช่างเป็นสงครามที่ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ
บางคนอาจจะไม่เจอสงครามเลย เพราะชีวิตเป็นไปตามใจของซาตานอยู่แล้ว

2 โครินธ์ 10:4-5  เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้ คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์
อาวุธนี้ไม่ใช่อาวุธของโลกที่กำลังตกต่ำลงทุกวัน
เราเองไม่จำเป็นต้องแสวงหาการต้อสู้ด้วยตัวเราเอง เพดราะมันไม่มีประโยชน์พระเจ้าทรงมี
อาวุธอันทรงอานุป็นนัภาพที่พร้อมที่จะให้เราใช้ ไม่มีศาสตรวุธใดจะเท่าเทียมได้เราสามารถ
รับเอาศาสตราวุธนั้นได้ ถ้าเพียงเราเลือกที่จะรับ
ศัตรูในสงครามของเราคือซาตาน โรม 12:2
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม

การปฏิเสธแบบอย่างของโลกนี้ ไม่ใช่แค่พฤติกรรมภายนอกเท่านั้น
ไม่ใช่การพยายามด้วยตนเอง แต่หมายถึงภายในที่หยั่งรากลึกลงไป
คือยอมจำนน และรับการเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณภายในเราเท่านั้น
ที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจของเราใหม่ สอนเราใหม่ ให้แนวทางแก่เรา

เมื่อเราต้องออกสงครามเราจำเป็นต้องมีอาวุธ
จงรับเอาศาสตราวุธ
ศาสตราวุธของเราคืออะไร ?
1.อาวุธแห่งพระวจนะ  พระคำของพระเจ้า
ถ้าเราเปรียบพระวจนะก็คือพระแสงดาบของพระเจ้า
(ให้ชูพระวจนะ) ใครพกมาบ้างครับ พระคัมภีร์รุ่นใหม่บางเฉียบ
คงไม่เป็นภาระมากนักที่เราจะพกเอาพระวจนะของพระเจ้ามา
หนังสือเรียนหนักว่าพระวจนะเสียอีก
คอมพิวเตอร์หนักกว่าพระวจนะเสียอีก
แต่หลายคนมาหาดาบ เอาดาบหน้า
เมื่ออกสงคราม ไม่มีใครให้เรายืมดาบ

พระวจนะอยู่ที่ไหน … อยู่ในมือของพี่น้อง เราเองไม่ต้องบากบั่น
มุ่งหน้าออกป่า ข้ามน้ำ ข้ามภูเขาเพื่อหาดาบเล่มนี้ ดาบนี้อยู่ที่ไหนครับ
เราไม่ต้องไปแย่งชิงดาบนี้กับซาตาน เพราะมันไม่สนใจดาบนี้
เราไม่ต้องต่อสู้กับใคร เพื่อแย่งชิง เหมือนดาบ 7 สีมณี 7 แสง
ดาบในมือท่านคือดาบที่วิเศษที่สุดครับ (อาเมน)

การใช้ชีวิตแบบสบายๆ เมื่อถูกให้อ่านพระวจนะ
ก็เหมือนยาขม ยาพิษ บ่นโอดโอย ..ว่าน่าเบื่อมีแต่พงศ์พันธ์ ยากจริงๆ
แต่..เวลาอ่านนิยาย อ่านการ์ตูน  หรือดูซีรี่เกาหลีดูได้เป็นชุดๆ จนดึกจนดื่น
ดูละคร ดูหนัง กลับมีเวลา แต่อ่านพระคัมภีร์บอกว่า ไม่มีเวลาเลย..
ต้องถามตัวเองว่าทำไม สิ่งเหล่านี้ดึงดูดเราได้มากกว่า

บางทีจำชื่อดาราได้ ไกลไปถึงวงตระกูล พ่อแม่ ปู่ย่าตายายไปเลยก็มี
แต่ชื่อบุคลในพระคัมภีร์ มีประวัติอะไร โอย งง ไม่รู้เรื่อง พงศ์พันเยอะม๊ากก

ใน 1 วันเรามีเวลาในการฝึกฝนมาแค่ไหน เรามีเวลาให้พระเจ้า ถึง 30 นาทีไหม
บางคนอาจจะมีทั้งวัน บางคนไม่ถึง 30 นาที แล้วเวลาที่เหลือเราให้เวลากับอะไร
บางคนเป็นงานประจำที่ทำ บางคนเป็นธุรกิจ คอมพิวเตอร์ 5 ชม
ละคร 2 ชม หนัง ภาพยนตร์ 2 ชม ไม่ใช่ว่าเราทำสิ่งใดไม่ได้เลย เราเป็นนักรบไม่ใช่นักบวช
และเราก็ต้องมีช่วงเวลาพักผ่อน แต่ถ้าเรารู้ว่าเราอยู่ในสงคราม เราต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ

1 โครินธ์ 10:23 เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำได้นั้นเป็นประโยชน์ เราทำสิ่งสารพัดได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่จะทำให้เจริญขึ้น

บทที่ 6:12 ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ทำทุกสิ่งได้
แต่ข้าพเจ้าไม่ให้สิ่งใดมาเป็นเจ้านาย
เราต้องไม่ให้สิ่งใดมาเป็นรูปเคารพ สิ่งที่เราจะวัดได้คือ เราให้เวลาสิ่งไหนมากกว่ากัน
บางครั้งหน้า โดม ที่แสดงเป็นผีดิบน่ะ พลอย เฌอมาล ปลายฉัตร ลอยมา โอยนังนี่น่าตบจริงๆ
เห็นไหมครับ ใส่ความคิดจอมปลอม ดูเป็นเรื่องไม่มีอะไร แต่มันมี

แล้วเราจะเอาอะไรล่ะ ไปต่อสู้ในสงครามล่ะครับแบบนี้ ถ้ารักไม่วันตาย หน้าโดม ปกรลัม ยังลอยอยู่ในเวลานี้  ซาตานรู้ดีว่าเรื่องใดรบกวนเราได้มากที่สุด มันก็จะทุ่มเทเวลาในสิ่งนั้น เพื่อเราโดยเฉพาะ

เมื่อเราดูมาก และรู้สึกว่า เราต้องติดตามและขาดไม่ได้ เมื่อนั้นเท่ากับว่าเรานมัสการมันแล้ว
พระคำของพระเจ้าคือความคิดของพระองค์ที่บันทึกไว้เพื่อเรา
จะได้ศึกษาและดำเนินตาม ให้เราได้ไตร่ตรอง
เป็นแนวความคิดของพระเจ้า ที่มีต่อสถานการณ์ต่างๆ
ทำลายป้อม และความคิดจอมปลอมที่ตั้งตัวขัดขวาง
เราพร้อมจะใช้ดาบแห่งพระวจนะ ขลิบเอาความบาป เอาเนื้อหนังออกไปจากชีวิตเราหรือยัง

เราต้องภาวนาพระคำของพระเจ้า ภาวนาในภาษากรีกคือ
การเอาใจใส่ เข้ามาใกล้ ฝึกฝน หรือการรำพึง และอีกคำยังหมายถึง
การเคี้ยวเอื้องด้วย ผมเคยยกตัวอย่าง วัวที่กินหญ้าและเคี้ยวอย่างช้าๆ
คายออกมา และกินซ้ำเข้าไปอีก เพราะว่ามันจะได้ประโยชน์และคุณค่าสูงสุด
ต่อน้ำนมที่จะมีสารอาหารทีมากมาย
โยชูวา 1:8 อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัตินี้ห่างเหินไปจากปากของเจ้า แต่เจ้าจงตรึกตรองตามนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อเจ้าจะได้ระวังที่จะกระทำตามข้อความที่เขียนไว้นั้นทุกประการ แล้วเจ้าจะมีความจำเริญ และเจ้าจะสำเร็จผลเป็นอย่างดี
เราจึงต้องอ่านพระวจนะอย่างสม่ำเสมอ เมื่อเราอยู่ในโลกนี้
ก็เหมือนเดินในความมืด ที่มืดสนิท แต่พระวจนะเป็นอาวุธที่
จะช่วยเราต่อสู้แม้ในความมืด พระวจนะเป็นแสงส่องสว่างให้เราเดินไปได้อย่างถูกทาง
เมื่อเราขับรถตอนกลางคืน เราก็ต้องมีไฟหน้ารถ
เมื่อไฟดับเราต้องมีไฟฉาย ถ้าไม่มีเราก็จะเดินสะดุดโต๊ะและเก้าอี้
แต่ในสงคราม เราอาจจะเดินเหยียบเอากับดัก นั่นหมายถึงชีวิต
สดุดี 119:105 พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์และเป็นความสว่างแก่มรคาของข้าพระองค์
ถ้าเราดูโยชูวา สำหรับโยชูวาความสำเร็จคือการทำตามพระวจนะ ของพระเจ้า
ตามมาตรฐานของโลกเราอาจจะดูไม่ดีพร้อม ไม่สมบูรณ์ทุกอย่าง มีข้อติมากมาย
การศึกษาไม่สูง ความสามารถอะไรก็ไม่มี
… แต่เราจะประสบความสำเร็จในสายพระเนตรของพระเจ้า

การอ่านพระวจนะเป็นอะไรมากกว่าหน้าที่
มากกว่าเป็นกฎข้อบังคับ มากกว่าเป็นข้อท่องจำ แต่ไม่เคยนำมาใช้
เราอาจจะท่องจำพระวจนะได้มากมาย แต่ไม่ได้นำมาใช้เลย
เรามีอาวุธแต่เราใช้ไม่เป็น
อาวุธแห่งพระวจนะนี้จะช่วยเราแยกความดีและความชั่ว
ดาบเล่มนี้จะมีประโยชน์มากแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่ เรามีดาบสวย และแพงมากแค่ไหน
แต่อยู่ที่เราฝึกฝนและใช้งานมากเพียงไร
ประโยชน์ 4 อย่างของพระวจนะ
-พระวจนะจะวางโครงสร้างความคิด
สนามรบคือความคิด ในสมองที่ถูกโจมตี และซาตานพยายามจะตั้งป้อม
แต่ถ้าเรามีป้อมแห่งพระวจนะแล้วเราก็จะมั่นคง อย่าปล่อยให้มัน
ว่างเปล่าแต่จงแทนที่ด้วยพระวจนะ ถ้าโครงสร้างความคิดของเราไม่ถูกต้อง
เราก็จะดำเนินชีวิตแบบไม่ถูกต้อง ความเชื่อจะกำหนดสิ่งที่เราปฏิบัติ

พระวจนะบอกว่า จงรักเพื่อนบ้าน เชื่อในส่วนดี อดทนต่อกันและกัน
รักซึ่งกันและกัน หนุนใจซึ่งกันและกัน แต่ถ้าเราไม่มีอาวุธแห่งพระวจนะ
เราก็จะมีการวิเคราะห์ว่าควรจะรักเขาไหม เขาทำเกินไปไหม
เขาเป็นแบบนี้มานานแล้ว เขาดันทุรังจริงๆ และฉันก็หมดเวลาให้อภัยเธอแล้ว
และมองหาจุดเสียมากกว่าจุดดี
-พระวจนะช่วยในการตักเตือน
พระวจนะจะบอกว่าตรงไหนถูก ตรงไหนไม่ถูก เลี้ยวตรงไหนผิดตรงไหนถูก
และจะบอกสิ่งที่พระเจ้าต้องการที่สุดในชีวิตของเรา
-พระวจนะช่วยในการแก้ไข
ดาบแห่งพระวจนะนี้ยังช่วยในการทำความสะอาดได้อีกด้วย
เพราะชีวิตเราเองก็เหมือน ห้องเก็บของมีอะไรก็ยัดเข้าไปสะสมไว้
(เคยสะสมของไว้ไหมครับ แล้วมารู้ตัวอีกที มันเยอะจนเรารู้สึกเหนื่อยและอ่อนล้า ถ้าต้องจัดการด้วยตนเอง) มีหลายอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์เลย

พระวจนะจะช่วยเรา ไม่ต้องเลือกของ ไม่ต้องเสียดาย
เพราะพระวจนะจะฟันประตูนั้นจนขยะทะลักออกมาและกำจัดมันทิ้งไป
สิ่งไร้สาระในชีวิตจะถูกเปิดเผยออก และเราจะมีห้องที่สะอาด (อาเมน)
-พระวจนะช่วยฝึกฝน
พระเจ้าใช้อาวุธนี้นอกจากจะแก้ไขส่วนไม่ดีแล้ว พระวจนะ
จะเตรียมเราให้พร้อมทุกอย่าง ถ้าเราอยากเป็นนักรบที่มีประสิทธิภาพแล้ว
เราต้องสำรวจว่าเราได้ทำสิ่งใดที่เป็นการเตรียมตัวเอง

เราทำสิ่งสารพัดได้ ผมไม่ได้บอกว่าห้ามดูหนัง ห้ามดูละคร
แต่ถ้าเราชอบและให้เวลามากกว่าการศึกษาพระวจนะ พี่น้องครับ
ผมเกรงว่ามันจะไม่ทันเวลา เพราะสงครามกำลังเข้มข้น ผมเคยติดหนัง
และไม่ได้อ่านพระวจนะมากนัก แต่ตอนนี้1 เดือนบางทีดูไม่ถึง 2 เรื่อง หรือเรื่องเดียว
และผมก็ยังอยู่ดี ไม่ได้เป็นโรคอะไรที่ขาดการดูหนัง และมีเวลาอ่านพระวจนะมากขึ้น
ฟิลิปปี 2:16 จงยึดมั่นในพระวาทะแห่งชีวิต เพื่อข้าพเจ้าจะมีที่อวดในวันของพระคริสต์ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งเปล่าๆและไม่ได้ทำงานโดยเปล่าประโยชน์ NIV แทนพระวาทะว่า พระวจนะ
เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อม

ขอให้พระวจนะเป็นสิ่งที่หวานเหมือนน้ำผึ้งสำหรับพี่น้องนะครับ
สดุดี 119:103 พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริงๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์

แทนที่ความคิด คิดแบบระเยซู พระวจนะ ลูกา 4:1-12

มารจึงทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร"
ตอนนี้มารมักทำให้การทดลองของมันน่าดึงดูดเสมอ
ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้

แล้วมารจึงนำพระองค์ขึ้นไป สำแดงบรรดาราชอาณาจักรทั่วพิภพในขณะเดียวให้พระองค์เห็น
แล้วมารได้ทูลพระองค์ว่า "อำนาจทั้งสิ้นนี้ และศักดิ์ศรีของราชอาณาจักรนั้นเราจะยกให้แก่ท่าน เพราะว่ามอบเป็นสิทธิ์ไว้แก่เราแล้ว และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น
เหตุฉะนั้นถ้าท่านจะกราบนมัสการเรา สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของท่านทั้งหมด"
ตอนนี้มารพยามยามให้พระเยซูหลีกเลี่ยงการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มันจึงติดสินบน
เราเองอาจจะเจอการทดลองแบบนี้ ว่าไม่ต้องอ่านพระวจนะ ไม่ต้องมีพระวจนะ ชีวิตก็สุขสบายได้
การงานดีได้

ฝ่ายพระเยซูตรัสตอบมารว่า "มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว

แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ประทับอยู่ที่ยอดหลังคาพระวิหาร(ประมาณ 30 เมตร) แล้วทูลพระองค์ว่า "ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงโจนลงไปจากที่นี่เถิด
เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตของพระองค์ในเรื่องท่าน ให้ป้องกันรักษาท่านไว้
และ เหล่าทูตสวรรค์ จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน
ซาตานมักทดสอบเราให้สงสัยในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า เราเราคิดว่าเราทำเองได้
ด้วยกำลังของตัวเอง
ฮีบรู 4:12 เพราะว่า พระวจนะของพระเจ้านั้นไม่ตายและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆแทงทะลุกระทั่งจิตและวิญญาณ ตลอดข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย
คำเผยพระวจนะของ ไอลีน ฟิชเชอร์บอกว่า พระองค์ผู้ที่อยู่ในท่านเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
ถ้าเรามีดาบแห่งพระวจนะ เราเองจะจับมันวางไว้ในที่ๆมันควรจะอยู่คือ ใต้เท้าของเรานั่นเอง

พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า "มีคำกล่าวไว้ว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน
พระเยซูชนะการทดลองก็เพราะพระองค์ใช้อาวุธแห่งพระวจนะ (อาเมน)

2.อาวุธแห่งการสรรเสริญ นมัสการ
บางครั้งร้องเพลงคาราโอเกะคล่องแบบหลับตาร้องไม่ต้องดูเนื้อ
บางเพลงฟังแล้วก็ไม่ค่อยจะได้สาระอะไรมาก อกหัก จะตายอย่างเดียว
แหกปากร้อง ออกท่าทาง ออกสเตปเต็มที่ไม่อายใคร
เราต้องไม่ลืมว่า มาร รู้ดีว่าเราชอบอะไรและไม่ชอบอะไร อยู่ในอารมณ์ไหน
เพลงไหนโดนใจเรา และสถานการณ์ที่เราเจออยู่ บางเพลงก็มีคำแช่งสาปอยู่ในนั้น

ละครบางเรื่อง ฆ่าฉัน ฆ่าเธอ ผมไม่รู้ว่ามีประโยชน์มากแค่ไหน
แต่พอมานมัสการ กลับยืนหุบปากนิ่ง
มือแนบลำตัวแบบเคารพธงชาติตอน 8 โมงเช้าหน้าเสาธง
นมัสการไปตดไม่ทันหายเหม็นก็ออกไปข้างนอก ถ้าสุดวิสัยเช่นมีลูกก็อีกเรื่อง

บางครั้งเราอาจจะสายตาสั้นมากจนมองจอเนื้อเพลงไม่เห็น
ก็เลยชักมือถือรุ่นใหม่ออกมา อันนี้ไม่รู้มีเทคโนโลยีใหม่ไหมที่ ส่งเนื้อเพลงเข้ามือถือ
พอถึงช่วงอาจารย์เทศนา ดังหน่อย ก็บอกว่า “เฮ้อ ข่อยรับ บ๊ออ ด๊ายย”
แต่คอนเสิร์ตไอ้ที่แหกปาก ว๊ากๆ กลับว่าดีไปนั่น
เรากำลังอยู่ในสงคราม ถ้าเราเป็นนักรบที่ไม่เตรียมพร้อม เราจะเป็นอย่างไรในสงคราม
เราได้รู้แล้วว่า เดือนนี้คือ นิสาน และเผ่ายูดาห์
ยูดาห์ = การสรรเสริญ การสรรเสริญ นมัสการเป็นการเคลื่อนทัพ
เห็นไหมว่าเรายังไม่พ้นจากสงครามจริงๆ เราอยู่ในสงคราม (มีนักรบที่ไหน รบไปแล้วยังยิ้มได้)

พระเจ้าเองพระองค์ทรงแสวงหาผู้ที่นมัสการ อ.จิ๋ว สอนเราว่า ทำอะไรก็ให้นมัสการไปก่อน
ยูดาห์ไปก่อน Judah go first การนมัสการเป็นการเคลื่อนทัพ
การออกสงครามและนำหน้าด้วยการสรเสริญ นมัสการ เป็นการทำให้
ซาตานพ่ายแพ้ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น มีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าอาวุธใดๆ
นั่นคือการสรรเสริญจากหัวใจของเรา ไม่ใช่แค่การร้องเพลง และการขยับปาก

บิล ย้อน เผยพระวจนะว่า การนมัสการของเราจะทำให้สิ่งชั่วช้าระเหยไปอย่างรวดเร็ว
เพียงแต่เจ้านมัสการพระองค์จะพาเราไปสู่ระดับใหม่เอี่ยมอันเป็นเหตุให้บัลลังก์ของพระองค์ลงมา และเป็นการขับไล่ฝูงมารด้วย

เมื่อเราสรรเสริญเราได้ประกาศถึงอธิปไตยสูงสุดของพระเจ้า
และปลดปล่อยสิ่งต่างๆ ในย่านฟ้าอากาศ

สดุดี 149:6-9
ขอให้คำสรรเสริญพระเจ้าติดปากของพวกเขา
และดาบสองคมอยู่ในมือของพวกเขา เพื่อแก้แค้นประชาชาติต่างๆ
เพื่อลงโทษชนชาติทั้งหลาย เพื่อพันธนาการเหล่ากษัตริย์
ของเขาด้วยโซ่ตรวน และพันธนาการเจ้านายของพวกเขาด้วยโซ่เหล็ก
เพื่อจัดการกับเขาตามคำตัดสินที่เขียนไว้ นี่คือศักดิ์ศรีของประชากรทั้งปวง
ของพระองค์ จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า
นี่เป็นเวลาที่พระเจ้าจะพิพากษาคนชั่ว และรบกับคนอธรรม

คำเผยของอ.ชัคเพียซ ครั้งก่อนๆ เราจำได้ไหม การสรรเสริญแบบรุนแรง
ซึ่งหมายถึงการกระทำที่เป็นการทำลายล้าง การสรรเสริญเป็นการนำเรา
ไปยึดคืน สิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้สำหรับเรา คืนจากมือของศัตรู
ตัวอย่างการสรรเสริญแบบรุนแรง
-กำแพงเมืองเยรีโค โยชูวา 6
-กิเดโอน แสดงออกการสรรเสริญแบบรุนแรงต่อคนมีเดียน ผู้วินิจฉัย 7
-เปาโล และสิลาส แสดงออกการสรรเสริญแบบรุนแรง จนคุกสั่นสะเทือน
และหลุดจากพันธนาการ กิจการ 16:33

เราเองเป็นเหมือนทหาร ที่รวมตัวกันเป็นกองทัพของพระเจ้าในโลกนี้
และเราได้เข้าสู่สงคราทุกรอบด้าน ทั้งด้านความคิด และฝ่ายวิญญาณย่านฟ้าอากาศ
ร่วมกับกองทัพทูตสวรรค์ และเมื่อใดที่ฟ้าสวรรค์ได้เปิดออก การสรรเสริญจะปลดปล่อย
พระพรอันยิ่งใหญ่มากมาย การอัศจรรย์ใหม่แบบที่ไม่เคยเกิดมาก่อน มาสู่แผ่นดินโลกนี้ (อาเมน)

จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เพื่อจะปลดปล่อยบรรยากาศการสรรเสริญ
ซึ่งจะปราบศัตรู คือซาตานให้ย่อยยับ ลงแทบเท้าของคุณได้ (อาเมน)

ถ้าเราดูชีวิตของ กษัตริย์ดาวิด ดาวิดปรารถนาสิ่งใดมาที่สุด ??
การเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่หรือเปล่า ความร่ำรวยหรือเปล่า อำนาจบารมีหรือเปล่า
ชื่อเสียงเกียรติยศหรือเปล่า
คำตอบของดาวิดอยู่ใน สดุดี 27
ดาวิดปรารถนาดำเนินชีวิตอยู่ ต่อหน้าพระเจ้าทุกวันๆ ตลอดชีวิต
เราต้องไม่เป็นผู้เชื่อที่แสวงหาแต่ตำแหน่งหน้าที่การงาน
เราต้องไม่เป็นผู้เชื่อที่มีเวลาให้หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ขาดการนมัสการ

การเลือกดำเนินชีวิตอยู่ในการสรรเสริญในแต่ละวันนั้น
เราจะพบกับความชื่นชมยินดี กับความสัมพันธ์ชั่วนิรันดร์
“ไม่ว่าอยู่แห่งหนไหน ข้าจะนมัสการ ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ข้าจะนมัสการ”

อยากเป็นเช่นดาวิดไหมครับ เป็นนักรบที่เก่งกล้าในสงคราม
ไม่มีกษัตริย์องค์ไหนในยุคนั้น หรือนักรบคนใด เก่งกล้าเท่ากษัตริย์ดาวิด ไม่มีเลย

กุญแจ คือ การสรรเสริญ การนมัสการ เข้าสู่ความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า
เป็นผู้ที่นมัสการอย่างแท้จริง
ยอห์น 4:23-24 แต่วาระนั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้องจะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะว่าพระบิดาทรงแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง

เราคิดว่าการอ่านพระวจนะมักต้องต่อสู้อย่างหนัก
แต่ซาตานพยายามขัดขวางการ
สรรเสริญ นมัสการของผู้เชื่อมากกว่าสิ่งอื่นใด
เพราะนี่คืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุดที่มันกลัว

ยิ่งเวลาไหนเราเหนื่อย เบื่อหน่ายไม่อยากนมัสการ
นั่นแหละครับ เรายิ่งต้องนมัสการ
อาวุธแห่งชัยชนะของเราคือการนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง
เราจะรับเอาอาวุธนี้ได้อย่างไร ? อุปสรรคในการสรรเสริญ และนมัสการ
อย่ายอมให้สิ่งใดเป็นอุปสรรคในการนมัสการ ถ้าเรารู้ว่ามันพยายามขัดขวาง
ก็เท่ากับมันกำลังกลัว
-หัวใจที่ยอมจำนน
ลูกา 9:23 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า "ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา
การเอาชนะตัวเองก็คือการขับเอาเนื้อหนังออกไป และให้พระเยซูคริสต์เข้ามาแทนที่
เรานั่งบนบัลลังก์ใจของเรามานานพอหรือยัง เวลานี้ให้เราให้พระเยซูคริสต์
ครอบครองบัลลังก์ใจของเราแทนที่ จงยอมจำนนต่อพระเจ้า
-หัวใจที่ไม่สารภาพ
ความบาปใดที่เรายังไม่สารภาพ เราอย่าทึกทักเอาเองว่า พระเจ้าจะลืมมันไป
ผมยกตัวอย่างของเด็ก เมื่อเขาทำความผิด และพ่อแม่ก็ไม่ตักเตือนว่าผิด
ไม่บังคับให้เขารับรู้ว่าผิดและขอโทษ เด็กก็จะทำเลยตามเลย
บางทีเรียกว่าทำเนียน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไหลตามน้ำไป
เมือเขาโตขึ้น ก็อาจจะติดเป็นนิสัยส่วนที่เสียไป

เช่นเดียวกันครับ เมื่อเราทำบาป และเมื่อเรานมัสการพระเจ้า
เราจะไปพบพระเจ้าทั้งที่ยังมีตัวถ่วงอยู่หรือ เราจะเข้าพบพระเจ้าได้หรือ
เรายังไม่วางภาระบาปและสลัดมันออกไปเลย
แต่เราต้องสารภาพและกลับใจทันที ไม่มีผลัดวันประกันพรุ่ง
ไม่มีการขี้เกียจ ไม่มีทำเนียน เลยตามเลย (อาเมน)
-ท่าทีที่ผิด
มัทธิว 5:23-24 เหตุฉะนั้น ถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และระลึกขึ้นได้ว่า พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน
ความสัมพันธ์ที่แตกร้าว ระว่างเรากับพี่น้อง
จะขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า
เราจึงต้องแก้ไขปัญหาก่อน มาตรการวิเคราะห์อาจจะคิดว่า
เล็กน้อยน่า ไม่เป็นไร หรือ โอ๊ย เขาไม่คิดอะไรหรอก เราต้องไวนะครับ
ท่าทีของเราที่มีต่อพี่น้อง ก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าด้วย

ในการสงคราม กองทัพไหนไม่สามัคคี ไม่มีทางชนะ
ถ้าเรายังมีท่าทีที่ผิด พระวิญญาณทรงสียยพระทัย
จงจัดการกับท่าทีที่ผิดก่อน (อาเมน)
-ความไม่เชื่อ
ในฐานะที่เราเป็นคริสเตียน คุณสมบัติที่เราต้องมีคือความเชื่อ
ไม่ใช่ความสงสัย นี่เป็นอุปสรรคในการนมัสการ เราต้อง
มีความเชื่อ เชื่อในช่วงเวลาที่ดีกับพระเจ้า
เราจำช่วงเวลา พันธกิจ หายโรคโดยความเชื่อได้ไหม
เมื่อเรามีความเชื่อ และเริ่มที่จะนมัสการ บางคนถึงกับ
หายโรคทั้งที่ยังไม่ถึงช่วงเวลาของการวางมือด้วยซ้ำ

ถ้าเรายังยึดติดที่ว่า นมัสการไปก็ส่วนนมัสการ และรออาจารย์วางมือ
ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นี่เป็นท่าทีที่ขาดความเชื่อ

จะเกิดอะไรขึ้นกับซาตาน ถ้าผู้เชื่อจำนวนมาก
ร่วมกันเปล่งเสียงสรรเสริญด้วยความเชื่อ มันคือพลังที่มากมายจริงๆ

ซาตานไม่เคยกลัวผู้สังเกตการณ์ ซาตานไม่กลัวคนนั่งจับผิด
ซาตานไม่กลัวคนที่เอาแต่คุยตอนนมัสการ ซาตานไม่กลัวคนที่นั่งเล่นมือถือตอนนมัสการ
ซาตานไม่กลัวคนที่มายืนเคารพธงชาติ ในห้องนมัสการ

แต่ซาตานกลัวเสียงของผู้เชื่อที่เปล่งออกมา
จากหัวใจที่นมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง (อาเมน)

เพลง ในพระนามพระเยซู เราทำลายป้อมปราการด้วยคำสรรเสริญ

3.อาวุธแห่งการอธิษฐาน
อาวุธแห่งการอธิษฐาน ของนักรบอธิษฐานวิงวอน
เชื่อว่าที่นี่มีนักรบแห่งการอธิษฐานวิงวอน และเป็นนักรบชั้นยอดมากมาย (เอเมน)

เรื่องการอธิษฐาน ผมเชื่อว่า พี่น้องในที่นี้ เป็นนักรบ นักอธิษฐานวิงวอน มืออาชีพ
ผมคงไม่ลงรายละเอียดมากนัก แต่อยากหนุนใจซึ่งกันและกันว่า

เมื่อเราออกพันกิจ ช่วงนี้เป็นช่วงของ อัศจรรย์หายโรคโดยความเชื่อ
พี่น้องครับ กฎของการหว่านสิ่งใดได้สิ่งนั้น หว่านมากได้มาก
ยังเป็นกฎที่ไม่เสื่อมคลาย
เจมส์ ดับเบิ้ลยู กอลล์ เผยว่า ขอทรงสอนข้าพระองค์ให้อธิษฐาน
2 โครินธ์ 2:11 เพื่อว่าเราจะไม่เสียทีซาตาน เพราะรู้ทันอุบายของมัน

ถ้าเราลงทุนหว่าน โดยอดอาหารและอธิษฐาน มันจะมีพลังอย่างมากมาย
มัทธิว 17:21 บอกไว้ว่า แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออก เว้นไว้โดยการอธิษฐานและการอดอาหาร

ให้เราติดอาวุธโดยการอธิษฐาน ถ้าพระวจนะเป็นดาบ
คำอธิษฐานของนักรบ ก็เปรียบได้กับ ขีปนาวุธ ที่สามารถสั่งกดรีโมท แล้วบอม ระเบิดป้อมปราการของซาตานได้ ตูมม

ในสงครามฝ่ายวิญญาณก็เช่นกัน พระเจ้าได้ประทานโอกาสแห่งชัยชนะให้แก่คน
ของพระองค์ที่มีอานุภาพอย่างยิ่ง สิ่งนั้นคือ การอธิษฐาน

การอธิษฐานเปรียบเสมือน  ขีปนาวุธ  ที่ยิงออกไปก่อนเพื่อทำการเคลียร์พื้นที่
ก่อนที่นักสู้ของพระเจ้าที่สวมยุทธภัณฑ์จะลงไปต่อสู้อีกครั้ง สงครามนี้จะง่ายขึ้น

ในพระธรรมเเอฟซัสในบทที่ 6:18-20 นี้เปาโลได้กล่าวถึงเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณที่คริสเตียนต้องเผชิญ นั่นย่อมสะท้อนว่า คนของพระเจ้าต้องเป็นนักสู้


โคโลสี.4:12 เอปาฟรัส “เขาได้ปล้ำสู้อธิษฐาน” เพื่อท่านเสมอ คำว่า สู้รากศัพท์มาจากคำว่า “ความเจ็บปวด การปล้ำสู้  ความพยายามดิ้นรนอย่างสุดขีด ซึ่งมักใช้กับคนที่ต้องการทำงานหนักจนหมดเรี่ยวแรง ไม่สามารถทำอะไรได้อีก  ดังนั้นการอธิษฐานต้องใช้กำลัง  คือการทำสงคราม

การอธิษฐานจึงเป็นศาสตราวุธแก่เราที่ทำลายป้อมได้ 2คร.10:3-4 เราต้องมุ่งหมายสู่ชัยชนะ การอธิษฐาน  ต้องอุทิศตน “ไม่ใช่เพียงความคิด เพ้อฝัน ไม่ขึ้นกับอารมณ์ ความสะดวกสบาย ความอยากจะอธิษฐาน
ให้เลือกได้ไม่มีใครอยากเข้าสงคราม แต่ถ้าจำเป็นที่จะอยู่ในสงคราม ต้องฝึกฝนด้วยความลำบาก บากบั่น”

2 พงศ์กษัตริย์ 6
15 เมื่อคนใช้ของคนแห่งพระเจ้าตื่นขึ้นเวลาเช้าตรู่และออกไป ดูเถิด กองทัพพร้อมกับม้าและรถรบก็ล้อมเมืองไว้ และคนใช้นั้นบอกท่านว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า เราจะทำอย่างไรดี"

ผมเดาว่า คนใช้คนนี้คงไม่ใช่นักอธิษฐานแน่นอน โอยยย  แย่แล้ว นายท่าน
จะทำยังไงกันดี โดนล้อมหมดแล้ว

เอลีชาเลยตอบว่า "อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา"
แล้วเอลีชาก็อธิษฐานว่า "ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็น" และพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา

พี่น้องครับ ผมหนุนใจว่า ถ้าพระเจ้าทรงโปรด ถ้าใครเห็นภาพอะไร
อธิษฐานให้เราเห็นด้วยกันบ้างนะครับ แต่เหนือสิ่งอื่นใด สุดแล้วแต่พระองค์

18 และเมื่อคนซีเรียลงมารบกับท่าน เอลีชาก็อธิษฐานพระเจ้าว่า "ขอทรงโปรดให้คนเหล่านี้ตาบอดไปเสีย" พระองค์จึงทรงให้เขาทั้งหลายตาบอดไปตามคำอธิษฐานของเอลีชา

เมื่อเราต้องเผชิญกับความยากลำบาก และรู้สึกว่าไม่อาจจะเอาชนะได้
จงจำไว้ว่าเรายังมีอาวุธ คือคำอธิษฐาน เรายังมีขีปนาวุธอยู่ (อาเมน)
จงมองด้วยสายตาแห่งความเชื่อ นักอธิษฐานต้องมีสายตาแห่งความเชื่อ

พระเจ้าพร้อมจะประทานการช่วยเหลือ ลองสำรวจดูว่าเรามีปัญหาอะไรไหม
ที่ทำให้เราไม่อยากจะอธิษฐาน ไม่พร้อมจะอธิษฐาน
บางทีปัญหาที่เราเจออยู่ อาจจะอยู่ที่สายตาฝ่ายจิตวิญญาณของเรา
ไม่ใช่ปัญหาที่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า

เราสามารถร้องทูลต่อพระเจ้าได้ เพราะในความเป็นมนุษย์ เรายังคงมีเนื้อหนัง ยังอ่อน
กำลังได้ และเราก็อาจจะถูกทดลองได้โดยง่าย พระเยซูเองก็เจอมาแล้ว แต่พระองค์สอบผ่าน
ก็ด้วยพระวจนะและคำอธิษฐาน
ดังนั้นเราเองก็ควรจะเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อไม่เปิดโอกาสนั้นแก่ซาตาน

มาระโก [14:38] ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง"

พลังของการอธิษฐานมีอำนาจมากพอที่จะกระชาก อุ้งมือของซาตานที่ครอบงำมนุษย์นั้นออกได้
ยากอบ บันทึกว่า คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมมีพลังทำให้เกิดผลได้

พระคัมภีร์บอกว่าซาตานเหมือนกับสิงห์ที่วนเวียน รอที่เมื่อไหร่ที่เหยื่อเผลอมันก็จะเล่นงาน

กิจการ 9:40 ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งปวงออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐาน แล้วหันมายังศพนั้นกล่าวว่า "ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น" ทาบิธาก็ลืมตา เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง

พี่น้องครับ เราได้อาวุธนี้มาแล้ว (อาเมน) คนตายฟื้น ด้วยคำอธิษฐาน
ด้วยการป่าวประกาศพระวจนะ
ด้วยการสรรเสริญ ส่งเสียงแตร
ด้วยการอธิษฐานวิงวอน และยึดคืน
อาวุธนี้ได้ง้างอุ้งมือของซาตานออก และกระชากยึดกลับคืนมา (อาเมน)

เดือนแห่งการไถ่นี้ เราจะฟาดฟัน สาสตราวุธนี้ ใส่ซาตาน
และยึดทุกสิ่งกลับคืนมา
เอากลับคืนมา (อาเมน)

เดือนแห่งการเริ่มต้นการอัศจรรย์นี้ จะเป็นการอัศจรรย์ แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน (อาเมน)

เราพร้อมจะออกรบกับพระเจ้าของเราหรือยังครับ นักรบทั้งหลาย (อาเมน)
เมื่อพระเจ้าเสด็จออกรบเราต้องพร้อมเสมอ
2พงศาวดาร 14:12 เมื่อเราพบกับสงครามที่ยากจะเอาชนะได้ เรายังมีขีปนาวุธฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเจอกองทัพที่ใหญ่โตจงอธิษฐาน ถ้าเราเอาความสามารถของเราเทียบกับปัญหา เราก็จะท้อ
แต่ถ้าเรามีอาวุธแห่งคำอธิษฐาน ปัญหานั้นก็จิ๊บจ๊อยมาก

เศราห์ยกทัพมหึมาจาก คูชมาที่มาเรชาห์ใหญ่กว่าอาสามาก แต่เมื่ออาสาอธิษฐาน ชาวคูซก็พ่ายแพ้และถอยหนีไป

เราไม่ได้อยู่ในโลกนี้ พันปี หมื่นปี แบบหนังจีนที่อวยพรกัน แต่เราอยู่แค่ประเดี๋ยวเดียว
ทหารไม่ต้องรบตลอดไป เมื่อเราฝึกฝน อดทน และเป็นนักรบที่มีประสิทธิภาพ เราเองจะมีชัยชนะ
ประเทศไทยจะเป็นไท สมชื่อ
แผ่นดินโลกจะเป็นของพระองค์ ข่างประเสริฐจะออกไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก

ถ้าเรายังนิ่งนอนใจ ไม่ฝึกฝนอาวุธที่พระเจ้ามอบให้กับเรา เราอาจจะตายในสงครามครั้งนี้
ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะตายไป

จงบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย มันอาจจะไม่สดใสเหมือนพรมแดงที่ปูอยู่ แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง เมื่อเรา
ฝึกปรือและรับเอาศาสตราวุธจากพระเจ้าแล้ว เราจะมีชัยชนะแน่นอน พระเจ้าพระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่เคยแพ้ เราอยู่ฝ่ายพระเจ้า

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ktm.worship