วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย

เคยไหมครับที่เราต้องเดินทางเป็นเวลาไกลๆ และสิ่งที่เราจดจ่อที่สุดคือเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายสักทีหนอ ? เป็นคำถามที่เราต้องการคำตอบใช่ไหม

ผมเคยเดินทางไกลหรือไปค่ายอนุชน หรือต้องนั่งรถไกลๆ ไปอมก๋อยที่เชียงใหม่ ระหว่างทางดูช่างแสนยาวไกลนัก ผมคิดถึงจุดหมายอย่างเดียวว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมายสักที ผมถามคนที่เคยไปว่าอีกนานไหมกว่าจะถึง เพราะผมต้องพบอุปสรรคมากมาย ทั้งตะคริว ทั้งเหน็บชา ทั้งเมารถจะอาเจียน ปวดหัว ไม่สบายตัวเอาเลย ผมไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะถึงจุดหมาย

แต่คำหนึ่งที่พี่น้องคนหนึ่งในรถพูดแซวเล่นขึ้นมาในรถเชิงปลอบใจว่า อีกแป๊บเดียว ให้ร่างกายปรับสภาพไปก่อน .. ใช่ผมคิดได้แล้ว ร่างกายต้องปรับสภาพ ถ้าอยู่ๆผมไปอยู่บนอมก๋อยที่มีอากาศหนาว หรือความกดอากาศที่แตกต่างผมอาจจะไม่สบายก็ได้

ครั้งหนึ่งระหว่างสอนเด็กที่คริสตจักร เด็กบางคนบอกว่าโตขึ้นเขาอยากเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเชื่อได้เลยว่าเขาก็ต้องรอคอยว่าเมื่อไหร่เขาจะไปถึงสิ่งที่เขาฝันอยากจะเป็น

หลายครั้งเราอาจจะเป็นเช่นนั้น เราอาจจะอยากมีเป้าหมายหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เราอยากไปให้ถึง เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราได้ถูกนำออกมาจากถิ่นทุรกันดารที่เราเคยอยู่ และเราก็มักจัดการเป้าหมายด้วยตัวเองว่าอยากไปสู่จุดนั้นจุดนี้ แต่พระเจ้า พระองค์เจ้าชีวิตของเราพระองค์ทรงมี ตำแหน่ง และจุดหมายที่เหมาะสมให้กับเราแล้ว ซึ่งเกินความเข้าใจของเรา

ใน เฉลยธรรมบัญญัติ 8:2
ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงทางซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงนำท่านอยู่ใน ถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี เพื่อพระองค์จะทรงกระทำให้ท่านถ่อมใจ และทดลองให้ทราบว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร ดูว่าท่านจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์หรือไม่


ประชาชนอิสราเอลพร่ำถามโมเสสผู้ที่พระเจ้าทรงใช้ให้นำเขาออกมาจากอียิปต์ว่า เมื่อไหร่จะถึงสักที ? ก่อนนี้เขาเป็นทาสในอียิปต์ แต่พระเจ้าใช้โมเสสมาบอกเขาว่าจะนำพวกเขาเข้าสู่แผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์

อพยพ 3:8
เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ คือไปยังที่อยู่ของชาวคานาอัน คนฮิตไทต์ คนอาโมไรต์ คนเปริสซี คนฮีไวต์ และคนเยบุส

แทนที่เขาจะใช้เวลาเพียง 11 วัน แต่เขาต้องใช้เวลา 40 ปี ไม่ใช่เพราะพระเจ้ากลั่นแกล้งพวกเขา แต่เพราะพวกเขายังไม่พร้อม และเอาแต่พร่ำบ่น ต่อว่า ขาดความเชื่อ และถามแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึง เขาจดจ่อแต่ที่พระคุณ แต่ไม่ใช่พระเจ้า และแผ่นดินนั้นก็เปรียบเสมือนรูปเคารพของเขานั่นเองที่เขาจดจ่อ

แต่พระเจ้ามีเหตุผลบางอย่าง เพราะจากการเป็นทาสอยู่หลายร้อยปีในอียิปต์ การที่พวกเขาเป็นทาสอยู่ 400 ปีในอียิปต์นั้น ประชากรชาวอิสราเอลต้องได้รับการปรับสภาพเพื่อเข้าสู่แผ่นดินใหม่ บรรยากาศใหม่ๆ พวกเขาต้องได้รับการปรับสภาพหัวใจ และความคิด ซึ่งพระเจ้าให้เขาได้เรียนรู้ในถิ่นทุรกันดาร เขาต้องเรียนรู้การเชื่อฟัง และละทิ้งพระเดิมๆที่ติดมาจากอียิปต์

ย้อนไปที่อียิปต์ในสมัยนั้น อียิปต์เต็มไปด้วยพระรูปเคารพต่างๆมากมาย อยากร่ำรวยก็มีพระหนึ่ง อยากทำอะไรที่เจริญขึ้นก็จะมีพระประจำ และสนองตัณหานั้นๆ และเมื่อนิสัยแบบนี้ติดไปที่อิสราเอล เมื่อโมเสส เสนออิสระและการปลดปล่อยให้พวกเขาเป็นไท เข้าสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ พวกเขาก็ไม่ลังเล ที่จะต้อนรับพระอีกหนึ่งพระเข้ามาสู่พวกเขา โดยที่ไม่ได้ล่ะทิ้งพระเดิมๆ ไปเสีย ..
ถ้ายังจำได้ ในระหว่างถิ่นทุรกันดาร เมื่อใดที่พระเจ้าไม่ตอบสนองความต้องการของพวกเขา พวกเขาก็หันไปหารูปเคารพทุกครั้งไป ..และนิสัยแบบนี้แหละที่ต้องการการปรับสภาพ

เราเองบางครั้งเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เราเหมือนว่าทำไมไปไม่ถึงไหนสักที เหมือนเดินเป็นวงกลม วนไปวนมา เป็นเขาวงกต เราอาจจะได้รับถ้อยคำ หรือคำเผยพระวจนะ หรือพระวจนะจากพระคัมภีร์ที่ยืนยัน แถมด้วยพระสัญญามากมาย ที่ ศิษยาภิบาลย้ำนักย้ำหนาว่าพระสัญญาคือถ้อยคำที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ทำไมชีวิต ถึงไม่เป็นตามที่พระเจ้าสัญญาจะช่วย คำถามเดิมก็คือ
“พระเจ้า เมื่อไหร่จะถึง” ต้องรออีกนานสักแค่ไหน
พระเจ้าไม่ได้ให้ความสำคัญกับพระสัญญาแค่นั้น แน่นอนพระองค์ไม่มุสา แต่พระเจ้าต้องการปรับสภาพเราเสียก่อนที่จะเข้าไปสู่แผ่นดินใหม่ แทนที่จะดีและมีความสุข แต่อาจจะเป็นตัวทำร้ายเราเองก็ได้ พระเจ้าต้องการทดสอบเราก่อนว่าเราพร้อมหรือยัง

ถ้าเราดูใน โยชูวา 5
ในตอนนั้นชนชาติอิสราเอลรุ่นก่อน คือผู้ที่ออกมาจากอียิปต์ รุ่นนั้นได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เพราะเขาไม่ผ่าน ดื้อดึงจนถึงที่สุด แต่พระเจ้ายังทรงพระคุณในชนรุ่นต่อมา ซึ่งมีโยชูวาเป็นผู้นำ พระเจ้าได้ให้อิสราเอล แสดงเครื่องหมายของการเปลี่ยนสภาพ คือการเข้าสุหนัต

พระเจ้าตรัสกับโยชูวาว่า จงลับหินเป็นมีด เพื่อเข้าสุหนัตให้ ชนชาติอิสราเอล
เนื่องจากคนที่เกิดในถิ่น กันดาร ระหว่างเดินทางจากอียิปต์ ยังไม่เข้าสุหนัต
(การเร่ร่อน ของอียิปต์ผู้ชายที่อยู่ในวัยออกรบได้ ตายหมดแล้ว)
ชายอิสราเอลต้องทำพิธีเข้า สุหนัต เพื่อเป็นเครื่องหมาย ของพันธสัญญา
ระหว่างเขาและพระเจ้า แต่พิธีเข้าสุหนัตไม่ได้มีการปฏิบัติ ในระหว่างการอพยพในถิ่นทุรกันดารเมื่ออิสราเอลเตรียมที่จะทำ สงครามกับชาติต่างๆของคานาอัน พระเจ้าจึงบัญชาให้เขาเข้าสุหนัต

ชีวิตของเราต้องแสดงเครื่อง หมายของการเปลี่ยนแปลงอย่ากลัว มีด แห่งพระวจนะของพระเจ้าขณะที่กำลังทำเครื่องหมายในชีวิตของเราตำหนิของอียิปต์ คือความบาป จะต้องถูกนำออกไป เมื่อพระเจ้าเฉือนบางสิ่งบางอย่างออกไป

ไม่ว่าคุณจะรอคอยสิ่งใดก็ตาม ที่พระเจ้าต้องการมอบให้คุณ และมันดูเหมือนเนิ่นนานเหลือเกิน อย่าถามคำถามที่ว่าอีกนานแค่ไหน เราต้องรู้ว่าพระเจ้าให้ความสำคัญกับการเดินทางแต่ละย่างก้าวของเราด้วย ระยะทางแต่ละก้าวล้วนเป็นแผนการ และบทเรียนทดสอบจากพระเจ้า จงสวมความอดทน และถ่อมใจลง มีความเชื่อ ที่จะเชื่อฟังพระเจ้า และมั่งคงเข้าไว้  เมื่อเราคิดว่ามันเนิ่นนานเกินไปแล้ว นั่นแหละ สภาพเดิมๆของเราจะถูดเปิดเผยออกมา และช้าก่อน หยุดก่อนอย่างพึ่งเดินต่อไป รอให้มีดของพระองค์คือ

“มีด แห่งพระวจนะของพระเจ้าขณะที่กำลังทำเครื่องหมายในชีวิตของเรา
ตำหนิของอียิปต์ คือความบาป จะต้องถูกนำออกไป เมื่อพระเจ้าเฉือนบางสิ่งบางอย่างออกไป”




จงเดินทางด้วยการดำเนินชีวิตในพระวจนะ เชื่อฟังและทำตาม เราอาจจะไม่ต้องถามใครเลยว่า เมื่อไหร่จะถึง เพราะเราอาจะจะถึงจุดหมายใน 11 วัน ไม่ใช่ 40 ปี

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

หว่านความรัก


หว่านสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
เรื่องของการหว่านนี้ย่อมเป็นที่รู้ดีว่า ถ้าเราต้องการจะเก็บเกี่ยวอะไรนั้น เราก็ต้องหาเมล็ดพันธ์นั้นมาหว่านเพื่อปลูก และรอการเก็บเกี่ยว
มัทธิว 7:1-2
อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน
เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น

พระคัมภีร์ตอนนี้สรุปให้เราคือหว่านอะไรก็ได้ในสิ่งนั้น เราจะปลูกข้าวเราก็หว่านข้าว เมื่อผลผลิตออกจะได้เป็นอย่างอื่นก็เป็นไปไม่ได้

กาลาเทีย 6:7
อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น

บางครั้งผมและคุณอาจจะได้ยินคนที่พูดนินทาบ่อยๆ คำนินทาย่อมไม่เป็นเรื่องดีสำหรับเรา แต่สนุกปากสำหรับเขา เราอาจจะไม่เป็นแบบที่เขาพูด เราอาจจะรับใช้ด้วยใจจริงแต่อาจถูกตัดสินและถูกตั้งวงสนทนาเห็นชอบ ไม่ต่างกับพระเยซู หรือสาวกที่พวกฟาริสีและผู้เกลียดชังเกาะกลุ่มกันและหาพรรคพวกให้คล้อยตามด้วย นี่เป็นวิธีของซาตานที่ลงมาในโลกนี้ด้วยเช่นกัน บางครั้งแค่การเดินหรือท่าทางก็อาจจะไม่โดนใจบางคนและเป็นเป้าสายตาที่จะโดนจับผิด
….แต่เราต้องถามตัวเองว่าเรากำลังเกี่ยวอะไรอยู่??

มัทธิว 7:3-5
เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก
เหตุไฉนท่านจะกล่าวแก่พี่น้องว่า "ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ" แต่ที่จริงไม้ทั้งท่อนมีอยู่ในตาของท่านเอง
ท่านคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของท่านก่อน แล้วท่านจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของท่านได้

เราต้องไม่ใส่ใจและให้ความสำคัญจนทำให้วิญญาณจิตเศร้าไปกับคำนินทาเหล่านั้น เราต้องไม่แย่ไปกับคำนินทายังมีอีกหลายคนที่เจอเหตุการณ์ที่หนักกว่าเราและสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ทั้งพระเยซู หรือ เปาโลก็เจอกับเหตุการณ์เหล่านี้มาแล้ว
เราต้องเข้าใจยุทธศาสตร์ของซาตานที่ทำให้เราสาละวนอยู่กับการถูกตัดสินนินทาคนอื่น แต่ชีวิตของตัวเองไม่ได้ดีไปเลย พระคัมภีร์ตอนนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ให้เรา เอาเวลาไปใคร่ครวญถึงความผิดของเขาเป็นการตอบโต้ อย่าไปคิดทำไมเขาไม่ดูตัวเอง เราเปลี่ยนแปลงคนอื่นไม่ได้ แต่..พระเจ้าเปลี่ยนแปลงได้ แม้กระทั่งตัวเราเองเราก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่พระเจ้าช่วยให้เราทำได้ โดยการร่วมมือกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพียงแต่เรายอมให้พระองค์กระทำในชีวิตของเรา ดีกว่าจะเสียเวลากับคนหน้าซื่อใจคด ที่ลับหลังก็นินทาและสนุกสนานกับการใช้ลิ้นกระดกในทางที่ชั่ว โดยไม่มองไม้ในตาของตัวเอง ฟาริสีก็เป็นเช่นนี้ คือเปลือกนอกดูดีทำดี มีพระวจนะ แต่ลับหลังก็นินทา ใส่ร้าย ขอหนุนใจว่ามันไร้สาระมากๆ เราต้องต่างกับเขา พระเยซูไม่ตอบโต้ใดๆทั้งสิ้นกับคนเหล่านี้

เมื่อใดที่นินทาและพูดถึงแต่ความผิดของคนอื่น แต่ตัวเองยังประพฤติแย่กว่า อย่าลืมว่าไม่มีมนุษย์คนใดดีพอที่จะช่วยตัวเองให้รอดได้ ไม่มีใครรอดจากการพิพากษา และบึงไฟนรกได้ด้วยการกระทำดีด้วยตนเอง ไม่มีใครสมบูรณ์เลย ไม่มี นอกจากพระเยซู

เพราะเราไม่สมบูรณ์และสมควรจะรอด แต่เราทั้งหลายรอดก็รอดโดยพระคุณและความเชื่อ ไม่ใช่โดยเราทั้งหลายกระทำเองแต่พระเจ้า มีพระคุณและความรักต่อเรา
เอเฟซัส :8-9
ด้วยว่าซึ่งเราทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ และมิใช่โดยตัวเราทั้งหลายกระทำเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้
ความรอดนั้นจะเนื่องด้วยการกระทำก็หามิได้ เพื่อมิให้คนหนึ่งคนใดอวดได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเหล่านั้นมีสิทธิ์อะไร มานินทา ใส่ร้าย และตัดสิน หรืออาจะดูถูกปมด้อยของคนอื่นด้วยการล้อเลียน ไฉนจึงขาดหัวใจแบบพระคริสต์และขาดความรักเมตตาพี่น้องเล่า ?

พระเยซูบอกว่า อย่าไปสนใจกับความผิดของคนอื่น ทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้ดีเลย (ไม้ทั้งท่อนในตา) ถ้าพระเจ้าสนใจและจดจ่ออยู่แต่ความผิดของเรา เราคงไม่รอดแม้แต่คนเดียว พระเจ้ามองหาส่วนดีของเราและยังเชื่อในส่วนดีเพียงน้อยนิดของเรา นี่คือพระคุณและความรัก เราจึงยังมีโอกาสครั้งแล้วครั้งเล่า (ขอบคุณพระเจ้า)

ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ยกหนี้ให้เรา และเราก็จะยกหนี้ให้พี่น้อง และจะไม่ตัดสินพี่น้อง แทนที่จะนั่งนินทากัน ทำไมไม่คุยถึงเรื่องดีๆและปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี จะไม่ดีกว่าหรือ

นี่เป็นความรักของพระเจ้าและพระองค์ประสงค์ให้เรามีความรักด้วย …. ผู้ใดไม่มีความรักก็ไม่รู้จักพระเจ้า
มัทธิว 7:6
อย่าให้ของประเสริฐแก่สุนัข อย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำเสีย และจะหันกลับมากัดตัวท่านด้วย

เมื่อพระเจ้าให้เรามีความรักแล้ว การพูดนินทา การใส่ร้าย การตัดสิน และกล่าวโทษต่างๆ การเอาปมด้อยคนอื่น และตัดสินการรับใช้พี่น้องด้วยแรงจูงใจผิดๆของโลกนี้ ด้วยเหตุผลของโลกนี้ ก็เหมือนขาดความรัก เพราะเอาความรักโยนให้ให้กับสุนัขคือซาตาน ซึ่งมันไม่เห็นคุณค่า แถมมาแว้งกัดเราอีกด้วย

ความรักคือเกราะป้องกันการโจมตีของมานซาตาน จงรู้ว่าซาตานไม่สามารถมีอิทธิพลต่อคริสเตียนที่ดำเนินชีวิตในความรักได้เลย



จงเลือกที่จะหว่าน เพราะคุณจะเก็บเกี่ยวสิ่งที่จะหว่าน "หว่านสิ่งใดก็ได้สอ่งนั้น"
เรื่องที่เกี่ยงของ  ชีวิตที่มีความรักคือรากฐาน

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

พระวิญญาณแห่งความรัก


คำหนุนใจ ความรักอีกมุมหนึ่ง

ผมเขียนเรื่องความรักมามาก แต่มุมหนึ่งที่อยากเขียนหนุนใจอีกครั้ง คือ บางครั้งคริสเตียนเองที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แต่ทำตัวเหมือนไม่ใช่คริสเตียน และพยายามใช้ความรู้ของโลกนี้เรียกตัวเองว่าชอบธรรมและถูกต้อง

บางคนไม่พอใจผู้นำนมัสการและไม่ยอมร้องเพลง เขาไม่เห็นด้วยที่การนมัสการไม่เป็นรูปแบบที่เขาคาดหวัง และเขายอมนั่งกอดอกและปิดหนังสือเพลงนั่งเบ้ปากเสียดีกว่า นั่นเป็นการบ่งบอกว่า เขาไม่เห็นด้วย บางคนไม่เห็นด้วยกับโปรแกรมบางอย่างของคริสตจักรและยอมที่จะไม่มาร่วมหรือเมื่อถึงโปรแกรมนั้นๆ เขายอมที่จะออกมานั่งเล่นข้างนอกดีกว่าที่จะทนอยู่ร่วม บางคนไม่พอใจซึ่งกันและกันและยอมที่จะไม่เข้าร่วมโปรแกรมอธิษฐานเพื่อไม่ต้องพบเจอหน้าคนคนนั้น บางคนติเตียนงานรับใช้ของคนอื่น ผู้นำนมัสการบางคน นักเทศนาบางคน หรืองานรับใช้อื่นๆ มักถูกตำหนิติเตียน

เราเองที่เรียกตัวเองว่าคริสเตียน เราอาจจะมีเหตุผลและความถูกต้องมากมายนานัปการ แต่สิ่งที่ขาดไปคือบางครั้งเกิดความจงใจที่จะเลือกปราศจากความรัก และเลือกเหตุผลของตัวเองแทนการสำแดงความรักแบบพระเยซูต่อพี่น้อง

1 ยอห์น 4
ข้อ 20 ถ้าผู้ใดว่า "ข้าพเจ้ารักพระเจ้า" และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
ข้อ 21 พระบัญญัตินี้เราทั้งหลายก็ได้มาจากพระองค์ คือว่าให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย

บางครั้งเขาอาจจะพูดว่า พระเจ้าข้อรักพระองค์ แต่ถ้ามีพฤติกรรมเช่นนี้ นั่นก็เป็นแค่ความรักจอมปลอม ตราบใดที่ยังมีการนินทา ยังมีการพูดลับหลังกัน ยังมีการไม่พอใจกัน ยังมีการไม่ให้อภัยกัน ยังไม่พอใจซึ่งการและกัน มีแรงจูงใจในของประทานและการรับใช้ของผู้อื่นและไม่พอใจในการรับใช้ของเขา เราก็ยังไม่ได้มีความรักต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง พระคัมภีร์ของหนึ่งบอกเราว่า ถ้าผู้ใดว่า "ข้าพเจ้ารักพระเจ้า" และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้ พระเจ้าบอกว่าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เรารักตนเองเช่นไร ปกป้องตัวเองเช่นไร ทะนุทะนอมตัวเองแบบไหน เราก็ควรมีความรักต่อพี่น้องของเราแบบนั้นด้วย พระคัมภีร์บอกว่า ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก (ข้อ8) คำว่าพระเจ้าทรงเป็นความรักนั้นคือ พระเจ้าเป็นใคร และเราเป็นใคร พระเจ้ายอมให้บุตรของพระองค์มาตายแทนเรา ไม่ใช่เพราะความรักหรือ และเป็นความรักแบบสุดๆด้วย ที่ขนาดยอมเสียบุตรของพระองค์มาตายในโลกใบนี้ และพระเยซูเองก็รักเราด้วยเพราะพระองค์ก็ยอมที่จะตายเพื่อเราด้วยเช่นกัน เราล่ะเป็นใคร ทำบาปชั่วแค่ไหน ความบาปที่พระองค์แบกไว้นั้นมากมายกว่าการที่เราแค่ไม่พอใจบางคน และไม่ได้ดั่งใจบางอย่างเสียอีก และทำไมเราจะยอมเชื่อความรักแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราไม่ได้ ไม่ใช่โดยเราพยายามเอง แต่เป็นความรักที่พระเจ้าใส่ให้เราตั้งแต่เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราเองจะมีพระวิญญาณแห่งความรัก และเราจะรักคนอื่นได้ แม้เขาจะไม่น่ารัก ในข้อ (12-13) บอกว่า ไม่มีผู้ใดเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเราทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน พระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในเราทั้งหลาย และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา ดังนี้แหละเราทั้งหลายจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์และพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา เพราะพระองค์ได้ทรงโปรดประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา
ถ้าเราเชื่อในความรักนั้น เชื่อและกระทำตาม ความรักของเราก็จะสมบูรณ์ และหลังจากนี้ไปพระคัมภีร์บอกเราว่าเราก็จะมีความมั่นใจในวันพิพากษาได้เช่นกัน เพราะเราสวมความรักและหัวใจแบบพระองค์

ผมไม่ได้หมายความว่า แม้คนอื่นทำผิดเราก็ไม่เตือนไม่พูดเลย แต่จงเตือนกันด้วยท่าทีแห่งความรัก ด้วยหัวใจที่ถ่อมลง ปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี ไม่ใช่การทุ่มเถียงกันและคำพูดที่เสียดสีประชดประชัน เมื่อมีความรักเราต้องเชื่อในส่วนดีของกันและกัน หยุดที่จะคิดแต่แง่ลบและคิดว่าเขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ทุกคนไม่สมบูรณ์ จงระวังไม่ทั้งท่อนในตาของตัวเองก่อนที่จะไปเที่ยวชี้ให้คนอื่นดูผงในตาของเขา ยอมรับการรับใช้และของประทานซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะถูกใจเราหรือไม่

เมื่อเรามีความรักเช่นนี้แล้ว ความรักพระเจ้าจะช่วยเปลี่ยนแปลงเรา และเราจะไม่แสดงท่าทีที่ดูถูกผู้อื่นเพียงเพราะเราไม่เห็นด้วย หรือไม่ได้ดั่งใจและเหตุผลความน่าจะเป็นของเรา

การที่จะไปสำแดงความรักแก่คนอื่นขณะที่ท่าทีภาพในคริสตจักรยังขาดความรัก ใครเขาจะสัมผัสความรักได้เล่า ใครจะมองเห็นได้เล่า คนจะเห็นและสัมผัสความรักได้นั้นก็ต่อเมื่อเรามีความรักอย่างแท้จริง
ยอห์น 3:15
ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา"

แล้วเราล่ะมีความรักถึงขั้นนี้ได้หรือยัง ถ้ายังยอมและเชื่อฟังพระวิญญาณแห่งความรักที่พระองค์ใส่ไว้ในเรา ขอพระเจ้าอวยพระพรครับ
ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทวงคืนพื้นที่


คำหนุนน้ำใจ 2 ก.พ. 11
1 โครินธ์ 10:5-6
เพราะว่าศาสตราวุธของเราไม่เป็นฝ่ายโลกียวิสัย 
แต่มีฤทธิ์เดชจากพระเจ้า อาจทำลายป้อมได้
คือทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม 
และทิฐิมานะทุกประการที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า 
และน้อมนำความคิดทุกประการให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงรับฟังพระคริสต์

ขึ้นหัวข้อแบบนี้ ผมไม่ได้หมายถึงปัญหาชายแดนไทยกับเขมรนะครับ แต่ก็มีมุมที่ทำให้เราน่าคิดไม่น้อย ปัญหาพื้นที่ใคร ใครก็หวงและเมื่อหวงของๆเราใครที่มาบุกรุกหรือล้ำเข้ามาเป็นได้มีเรื่องมีราวกันแน่ๆ เอาง่ายๆ บ้านใครถ้ามีคนอื่นมาหน้าด้านถือกรรสิทธิ์ทำตัวเป็นเจ้าของเป็นได้เห็นดีกัน

การที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ของตนเอง สมมุติว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ของไทยจริง แต่ไม่เคยแสดงความเป็นเจ้าของเลย ปล่อยให้มีการบุกรุกจับจองเป็นเวลานาน ให้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของจริงๆมาแสดงความเป็นเจ้าของและไม่ทำอะไรเลย สุดท้ายเนิ่นนานมา การที่เราจะทวงเอาคืนย่อมเป็นการยาก เพราะได้ถูกยึดไปแล้ว

ผมเคยมีของอยู่ชิ้นหนึ่งที่ให้เพื่อนยืมไป และนานวันเข้าผมไม่เคยทวงเอามาเลย เพราะคาดหวังว่าเขาจะคืนสักวันหนึ่ง สุดท้ายของสิ่งนั้นกลายเป็นของของเขาไปโดยเต็มปากเต็มคำ โดยที่ผมอ้างอะไรไม่ได้เลย เพราะไม่เคยทวงมาหลายปี

แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เราเองไม่เคยหวงพื้นที่เลย แถมสมยอมให้เขาเข้ามายึดพื้นที่เราไปด้วยซ้ำ นั่นก็คือพื้นที่ในความคิดของเรานั่นเอง สงครามที่ใหญ่ที่สุดสำหรับผู้เชื่อไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลย ปัจจัยอื่นๆ หรือภายนอกเป็นแค่เพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น แต่สนามรบจริงๆนั้นคือภายในความคิดของเราเองนี่แหละคือสงครามที่หนักหนาสาหัสที่สุดที่เราต้องต่อสู้และผ่านพ้นไปในทุกๆวัน

ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของซาตานคือ ทำให้ผู้เชื่อขาดออกจากพระเจ้า พระเจ้าประสงค์ให้เรามีความเชื่อ แต่ซาตานต้องการให้เราขาดความเชื่อ สถานการณ์ต่างๆที่เราเจอในแต่ล่ะวัน ถ้าเราบ่นและสบถออกมาและมีแต่ความคิดในแง่ลบต่อทุกสถานการณ์ เช่นอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร ปัญหาที่เขาเจอมีแต่ความคิดในแง่ลบ ว่าแย่แน่ๆ ตายแน่ๆ ซวยแน่ๆ ทำไมเอาเรามาตายในที่แบบนี้ เอาเราออกมาทำไม ให้เราอยู่ในอียิปต์ยังจะดีเสียกว่า เมื่อเจอปัญหาก็จะโวยวาย ตีโพยตีพายไปก่อน คาดการแง่ลบเอาไว้และพยายามหาทางออกด้วยตัวเอง ซึ่งในปัจจุบันผู้เชื่อในยุคนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับอิสราเอลในยุคนั้นจริงๆ

ความเชื่อคือสิ่งที่สำคัญ เราต้องฝึกคิดในแง่บวก เราต้องเชื่อว่าพระเจ้าจะนำเราในแต่ล่ะย่างก้าวเราต้องมั่นใจว่าพระองค์จะทรงอยู่กับเราในทุกสถานการณ์ ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าทุกสิ่งจะถูกปูด้วยพรมแดงและราบรื่น และเมื่อเราเจออะไรที่ไม่สมดั่งที่เราต้องการเราก็หลุดบ่นออกมา และมีแต่ความคิดแง่ลบยิ่งเราคิดลบชีวิตก็จะมีแต่ลบลงไม่ได้มีอะไรดีขึ้นเลยมีแต่แย่ลง
มัทธิว 8:13
แล้วพระเยซูจึงตรัสกับนายร้อยว่า "จงกลับบ้านเถิด ท่านมีศรัทธาแล้ว จงได้ผลตามศรัทธานั้น" ในทันใดนั้นเองบ่าวของเขาก็หายเป็นปกติ

พระเยซูกำลังบอกเราว่า เมื่อมีความเชื่อเช่นไร และคิดในแง่บวก เชื่อในพระเจ้า มันก็จะเป็นไปตามที่เชื่อเช่นนั้นจริงๆ งูในสวนเอเดนพยายามหลอกเอวาว่า มันไม่จริงหรอกเรื่องที่พระเจ้าบอกน่ะ ทำให้เอวาเชื่อตามงูนั้น นั่นคือมีความคิดในแง่ลบแล้ว ผลที่ตามมาคืออะไรเราย่อมรู้กันดี

ถ้าเราเป็นเหมือนอับราฮัมที่ไม่มีบุตรล่ะ อยู่ๆพระเจ้าจะให้ท่านมีบุตร ถ้าอับราฮัมมองที่รอบข้างแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย และบ่นออกมา สบถออกมา พูดแต่ในแง่ลบ ว่าฉันแก่แล้วจะเป็นไปได้อย่างไร ภรรยาก็แก่แล้วหมดประจำเดือนแล้ว ตามธรรมชาติมันเป็นไปไม่ได้เลย แต่…อับราฮัมเลือกที่จะเชื่อพระเจ้า คาดหวังว่าจะได้รับสิ่งนั้น พระเจ้าไม่แค่ทำในสิ่งยาก แต่พระเจ้าทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และเมื่อความเชื่อเช่นนี้ อับราฮัมก็ได้บุตรจริงๆ ตามพระสัญญาของพระเจ้า

ซาตานมักจะใช้ความรู้สึกแย่ๆดึงเอาคนมากมายในโลกนี้ให้จมลงสู่ก้นเหว เราอาจะเห็นในข่าวว่ามีการฆ่าตัวตายมากมายเพราะคนเหล่านี้ไม่มีทางออกและคิดในแง่ลบ และคิดว่าเมื่อตายไปทุกอย่างจะจบ ซาตานได้แย่งชิงเอาความหวังของพวกเขาไป

จงเลือกแทนที่ความคิดในแง่ลบด้วยความคิดที่เป็นแง่บวก ความคิดก็เปรียบได้กับชายแดนสนามรบที่เราต้องรบอยู่ทุกๆวัน จงใช้พระวจนะที่เป็นดาบ ฟาดฟันพวกมันให้ย่อยยับ จงพูดออกมาว่าอ้ายซาตานจงไปเสียให้พ้น เช่นพระเยซูที่โดนทดลอง

อย่ายอมเสียพื้นที่ในความคิดให้กับเรื่องไร้สาระโดยการเอาแต่คิดในแง่ลบและเรื่องแย่ๆ เราสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ได้เสมอ เราไม้ได้ขอบพระคุณในเรื่องร้ายที่เกิดกับเรา แต่การขอบพระคุณคือการเลือกที่จะถวายการขอบพระคุณพระเจ้าดีกว่าที่จะเสียพื้นที่ความคิดในแง่ลบให้กับซาตานไป
สดุดี 34:1 ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้าตลอดไป คำสรรเสริญพระองค์อยู่ที่ปากข้าพเจ้าเรื่อยไป

คุณจะแพ้หรือชนะก็ขึ้นอยู่กับการเลือกที่จะคิด

ขอพระเจ้าอวยพระพร
Ktm.worship