ถ้าเราพูดถึงคำว่าผู้ใหญ่ อะไรที่จะเป็นตัววัดว่า เราเป็นผู้ใหญ่
ถ้าภายนอกก็คือร่างกาย ความสูง ความคิดอ่าน อายุและวุฒิภาวะใช่
และถ้าเป็นฝ่ายวิญญาณล่ะอะไรที่เป็นตัววัดถึงการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
- การจบโรงเรียนพระคัมภีร์หรือ (ด๊อกเตอร์)
- การท่องพระคัมภีร์ ความรู้พระคัมภีร์มากๆหรือ
แต่มันอยู่ที่เมื่อเรามีพระวจนะเราใช้พระวจนะมากเพียงใดต่างหาก
ตรงกันข้ามกับความโง่เขลา คือความรู้
แต่ฝ่ายวิญญาณ สิ่งที่ตรงข้ามกับความโล่เขลาก็คือ การเชื่อฟัง
ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณนั้นเพื่อสร้างนิสัยเพื่อเป็นบุคลิกภาพที่ดี
เราจะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ในความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ คือเราต้องเห็นผลของชีวิตที่ออกมา
สุภาษิต 11:30
ผลของคนชอบธรรมเป็นต้นไม้แห่งชีวิต การฝ่าฝืนกฎหมายย่อมทำลายชีวิต
ผลจะดีหรือไม่ดีก็อยู่ที่ต้น ผลของพระวิญญาณเมื่อก่อนพระองค์จะไปพระองค์
บอกว่าจะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน แล้วพระองค์ก็เอาวิญญาณของพระองค์
ใส่ไว้ในเรา พระองค์ต้องการให้เรามีผลที่ดี เราต้องแตกต่างจากโลก
ความรู้นั้นคนที่ไม่เป็นคริสเตียนก็หาความรู้พระคัมภีร์ได้ แต่เขาเป็นต้นไม้ที่ไม่มีผล
ผลที่ดีก็คือแบบอย่างที่ดี เช่นพระเยซู ผลที่ดีจะเป็นตัวดึงดูด
คนเข้ามาถึงพระเจ้า
มัทธิว 7:17-20
ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว
ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
ต้นไม้ซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลงและทิ้งเสียในไฟ
เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
เราต้องเป็นต้นไม้ที่ดี ที่ออกผลถ้าปราศจากผลเราก็เป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว
เราต้องมีผล ผลที่ว่าคือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใน
กาลาเทีย 5:22-23
ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย
1.ความรัก
ประการแรกพระเจ้าให้เรามีความรัก ความรักที่เอาใจใสและเป็นห่วง
ความรักคือ ความชอบ พึงใจ หลายครั้งเราบอกว่า รักๆๆ แต่ผลที่แสดงออกมาเราเป็นดั่งที่ปากเราได้พูดไหม เรายังนินทากันเองอยู่ด้วยซ้ำ เรายังไม่ให้อภัยกันด้วยซ้ำ มองและคอยแต่จับผิดไม่ได้มองหาส่วนดีของกันแต่มองหาแต่ส่วนเสียหายและทำร้าย กัน
แน่นอนมันช่างเป็นอะไรที่ง่ายที่เราจะเปล่งเสียงว่ารัก
แต่มันเป็นอะไรที่ยากที่เราจะสำแดงความรักและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก
เราจะระงับอารมณ์โกรธได้แค่ไหนเมื่อมีคนที่ทำผิดต่อเรา
เอาเปรียบเราในการรับใช้ ความรักของพระเจ้านั้นทนได้แม้ความผิด
พระเจ้าไม่ได้พูดเท่านั้น แต่พระองค์ทำด้วย ความผิดเราล่ะ
เรารู้แน่นอนว่าพระเจ้ารักเราไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่เรามีความผิดนี่แหละ
เห็นไหมพระองค์ก็รักและอดทนต่อความผิดของเราด้วย
นี่คือความรักแท้ที่พระคัมภีร์บันทึกและให้ความหมายของความรักได้ดีที่
สุดกว่าหนังสือทุกเล่มบนโลกนี้ นี่เป็นความรักแบบอย่างของพระเยซู
พระองค์ทำได้ทุกอย่างที่กล่าวมา และพระองค์ที่อยู่ในเราคือพระวิญญาณก็พร้อมที่จะช่วยเราด้วย ความรักนั้นไม่มีวันสูญสิ้น ไม่ว่าเรากำลังเผชิญสิ่งใดก็ตามแม้เราจะเจอคนที่ทำให้เราเจ็บแค่ไหน ทำผิดต่อเราแค่ไหน เราต้องไม่ลืมว่า ความรักที่ไม่มีวันสูญสิ้นยังคงอยู่ และไม่เคยหมดไปจากเราเลย
เอเฟซัส 5:1,2
เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
เลียนแบบพระเจ้าสิ คือทำตามพระเจ้า จะดีมั๊ยถ้ามีคนบอกว่า เก่งเหมือนพ่อเลย เราจะภูมิใจขนาดไหน เพราะเราสมกับเป็นลูกของพ่อของเรา จงดำเนินชีวิตในความรัก
1 เปโตร 4:8
ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
ถ้าเราตอบแทนความโกรธด้วยความโกรธจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเราตอบแทนความโกรธด้วยความรักล่ะพระคัมภีร์บอกเราว่า ความรักลบล้างความผิดมากมายได้ ถ้าเรามีความโกรธและความเกลียดชัง ความเกลียดชังเร้าให้เกิดการวิวาท
สุภาษิต 10:12
แต่ความรักนั้นครอบงำบรรดาการทรยศเสีย
สำนวนพระคัมภีร์ NIV บอกว่า ความเกลียดชังยั่วยุให้เกิดความแตกแยก แต่ความรักบดบังความผิดทั้งมวล
ความเข้มแข็งของคริสตจักรที่เป็นกายเดียวคือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว จงมีความรักแก่กันและกันเพื่อหล่อหลอมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ซาตานต้องการให้เราขาดความรักและแตกแยกกันเองเกลียดชังกันเอง “จงมีความรัก”
ลูกา6:35
แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของท่านทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด เพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว
คือการอุทิศตนโดยไม่มีเงื่อนไข ความรักคือกุญแจที่ไขไปสู่ของผลฝ่ายวิญญาณทั้งหมด
1 โครินธ์ 13:1-7 กาลาเทีย 5:22-23
ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ,ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ความรัก
ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความปลาบปลื้มใจ (ชื่นชมยินดี)
ไม่ฉุนเฉียว สงบและมั่นคง สันติสุข
ความรักก็อดทนนาน ความอดกลั้นใจ (อดทนนาน)
กระทำคุณให้ไม่อิจฉา ความปราณี (ใจเมตตา)
ความรักนั้นยิ่งใหญ่ ทรงคุณ ใจกว้าง กรุณาให้แต่สิ่งดี ความดี
ความรักไม่ช่างจดจำความผิด แต่มีความเชื่อ เชื่อในส่วนดี ความสัตย์ซื่อ
ความรักไม่หยิ่งผยอง และสุภาพ ไม่อวดตัว ความสุภาพอ่อนน้อม (ถ่อมสุภาพ)
ความรักคือมีวินัยและรู้จักบังคับตน
ไม่ประพฤติเหลวไหล การรู้จักบังคับตน (การควบคุมอารมณ์)
1 เปโตร 1:22
ที่ท่านทั้งหลายได้ชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อฟังความจริง จนมีใจรักพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงรักกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง
พระวจนะบอกเราว่าถ้าเราเกลียดชังผู้ใด เกลียดชังพี่น้อง เมื่อเราเป็นกายเดียวกันก็เป็นเหมือนพี่น้องกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะพ่อคนเดียวกัน เมื่อเราเกลียดกันขาดความรักต่อกันและกัน มันได้ได้จบแค่นั้น แต่เราเปรียบเหมือน ฆาตกร
1 ยอห์น 3:15
ผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้องของตนผู้นั้นก็เป็นผู้ฆ่าคน และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย
ดังนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก โดยที่พระองค์ได้ทรงยอมสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย และเราทั้งหลายก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง
พระเจ้าให้เรารักทุกๆคน ไม่เว้นแม้แต่คนที่ทำร้ายเรา ด้วยการกระทำหรือคำพูด
เราอาจจะอยากตอกกลับไปแต่พระเจ้าให้เราหันแก้มอีกข้างให้เขาตบ (1 โครินธ์ 13:7)
ความรักนั้นมาจากพระเจ้า เมื่อเราทุกคนเรียนที่จะรักเราก็เป็น
ผู้ที่บังเกิดมาจากพระเจ้า
เราต้องให้อภัยคนที่เรารัก เคยได้ยินไหมครับว่า
ลืมๆไปซะ ให้ยกโทษให้เขาเถอะ แล้วก็อย่าไปยุ่งกับเขาอีก
ต่างคนต่างอยู่ไป
แต่…..พระเจ้าให้เรา ให้อภัยและต้อนรับด้วยความรัก … โอว ยากนะ
เมื่อเขากลับใจเราต้องไปไกลกว่าเดิม คือ ยอมรับด้วยความรัก
และไม่เรียกร้องการชดใช้หนี้
มัทธิว 5:43,44
ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า จงรักคนสนิท และเกลียดชังศัตรู
ฝ่ายเราบอกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน
มาจากพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก
เมื่อพระเจ้ารักเราขนาดยอมให้พระบุตรพระองค์มาสิ้นพระชนม์เพื่อเรา
เราก็ควรจะรักกันและกันด้วย
1 ยอห์น 4:20
ถ้าผู้ใดว่า "ข้าพเจ้ารักพระเจ้า" และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
ความรักจึงเป็นทางไปสู่ความรอดด้วยเช่นกัน ตอนที่บาเรียนทดสอบพระเยซูแล้วถามว่าทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์
ลูกา 10:27
เขาทูลตอบว่า "จงรักพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
ยอห์น 13:34
เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น
ยอห์น 13:35
ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา
2.ความปลาบปลื้มใจ ชื่นชมยินดี
ความชื่นชมยินดี ความดีใจ ยินดีปรีดา
ความปลาบปลื้มใจ คือ ความยินดีที่เกิดขึ้นจากภายใน เป็นความยินดี ดีใจ ปลื้มใจ
สิ่งต่างๆมากมายในแต่ละวันอาจจะรบกวนเราให้เราขาดความชื่นชมยินดีไป พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตที่อยู่ในความปลาบปลื้มใจ
สดุดี 9:2
ข้าพระองค์จะยินดีและปลาบปลื้มใจในพระองค์ ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์
บางครั้งบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าก็กำลังคลืบคลานเข้าไปยึดเอา ความปลาบปลื้มใจของเราไป และแทนที่ด้วย ความเศร้า หดหู่ และการคิดร้ายต่างๆ เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเราเป็นพระวิญญาณแห่งความปลื้มปีติยินดี ให้เราจงปลาบปลื้มยินดีในพระองค์ที่ออกมาจากภายใน
พระเจ้าผู้ประทานสิ่งดีพระองค์ไม่ได้ประทานงูให้กับบุตรของพระองค์แทนปลา แต่พระองค์ได้จัดเตรียมคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ให้กับเราทั้งหลายที่เป็นบุตรของ พระองค์ มัทธิว 7:9,10
เยเรมีย์ 31:12
เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยนและเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดี ของพระเจ้า เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมัน และเพราะลูกของแกะและโค ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป
อย่าให้ซาตานแย่งความปลาบปลื้มใจในพระองค์ไปจากเราเลยพระเจ้าเตรียมสิ่งดี ไว้เพื่อเราจะปลาบปลื้มใจในสิ่งดีทั้งหลายที่พระองค์จะทรงประทานให้แก่เรา อาเมน
ยอห์น 15:11
นี่คือสิ่งที่เราได้บอกแก่ท่านทั้งหลายแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเรา ดำรงอยู่ในท่านและให้ความยินดีของท่านเต็มเปี่ยม
ความชื่นชมยินดีเป็นเรื่องภายในฝ่ายวิญญาณ ไม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ภายนอก เรายังสามารถชื่นชมยินดีได้ แม้ถูกทดลอง
ยากอบ 1:2
ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี
ความชื่นชมยินดีเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรพระเจ้า
โรม 14:17
เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรมและสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระคัมภีร์หนุนใจให้เราชื่นชมยินดี
สดุดี 5:11
แต่ให้คนทั้งปวงที่ลี้ภัยอยู่ในพระองค์นั้นเปรมปรีดิ์ ให้เขาร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดีอยู่เสมอ และขอทรงป้องกันเขาไว้ เพื่อคนที่รักพระนามของพระองค์จะปรีดาปราโมทย์อยู่ในพระองค์
ฟิลิปปี 4:4
จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด
ในพระคัมภีร์สั้นๆ ฟิลิปปีมีคำว่า ชื่นชมยินดีอยู่ 16 ครั้งด้วยกัน
จงชื่นชมยินดีไม่ใช่แค่ตัวเองแต่ในผู้อื่นด้วย
4 ขั้นตอนที่ฟิลิปปีบอก
- เลิกตัดสินแรงจูงใจของผู้อื่น ในขณะรับใช้
ใน1 โครินธ์ 4:4 อ. เปาโลบอกว่า ท่านผู้ทรงพิพากษาตัวข้าพเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า
- ใส่ใจในงารับใช้ของพี่น้องคนอื่นด้วย
แม้งานรับใช้เราเองจะมีอุปสรรค แต่เราสามารถชื่นชมยินดีได้
เมื่อเราเห็นงานรับใช้ของพี่น้องก้าวหน้า เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน
- เรียนที่จะถ่อมตัวลงเช่นพระเยซูคริสต์
แม้จะโดนดูถูกเหยียดหยาม แต่พระเจ้าจะยกเราขึ้นสู่จุดที่สูงที่สุด
- อย่าหวังสิ่งตอบแทน
จงเรียนรู้ที่จะเผชิญในทุกสถานการณ์ ทั้งอิ่มท้อง และอดอยาก
อิสยาห์ 35:10
ผู้ที่รับการไถ่แล้วของพระเจ้าจะกลับ และจะมายังศิโยนด้วยร้องเพลง มีความชื่นบานเป็นนิตย์บนศีรษะของเขาทั้งหลาย เขาจะได้รับความชื่นบานและความยินดี ความโศกเศร้าและการถอนหายใจจะปลาตไปเสีย
สดุดี 98:4
ชาวโลกทั้งสิ้นเอ๋ย จงเปล่งเสียงชื่นบานถวายแด่พระเจ้า เปล่งเป็นเสียงเพลงชื่นบานและร้องเพลงสรรเสริญ
3. สันติสุข
สันติสุขคือความเงียบสงบจากภายใน ปราศจากการต่อสู้กัน
ปราศจากความกระวนกระวาย และวิตกกังวล และความกลัว
ความวุ่นวาย มักตรงข้ามกับ สันติ
พระเจ้าไม่ได้ให้เราวุ่นวายใจ แต่พระองค์นำสันติมาให้แก่เรา
ชีวิตเราบางครั้งเราขาดสันติสุขหรือไม่ เช่นเดียวกันเรามักโดนแย่งสันติสุขที่เราควรมีไปจากภายในเรา อันที่จริงเราไม่ได้โดนแย่ง แต่เรายอมที่จะเสียมันไปเองต่างหาก เราต้องเชื่อๆว่าพระเจ้าได้ประทานสันติสุขให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นสันติสุข
2 เธสะโลนิกา 3:16
ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุข ทรงโปรดประทานสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลายทุกเวลาและทุกทาง ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่กับท่านทุกคนเถิด
เอเฟซัส 6:23
ขอให้พวกพี่น้องได้รับสันติสุขและความรักโดยความเชื่อ มาจากพระบิดาเจ้า และจากพระเยซู
คริสตเจ้า
พระเจ้าบอกเราหลายครั้งในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ได้ทรงประทานสันติสุขไว้ปล้ว ให้กับเรา สันติสุขที่พระองค์ทรงมอบแก่เรานั้นไม่ใช้สันติสุขหรือทรัพย์สมบัติมากมาย ทรัพย์สินเงินทอง แต่สันติสุขของพระเจ้าที่มอบให้กับเรานั้นไม่ใช่แบบที่โลกนี้มี
ยอห์น 14:27
เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
สันติสุขแท้คือสันติสุขที่ออกมาจากภายในมาสู่ภายนอก ไม่ใช่ภายนอกเข้าไปสู่ภายใน ถ้าเราพบสันติสุขที่แท้จริงแม้เราจะพบเจอความยากลำบาก หรือการทุกยากในโลกนี้ เราก็จะยังคงมีสันติสุขซึ่งอยู่ภายในเรานั่นเอง
ยอห์น 16:33
เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว
ขอสันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
สันติสุขแท้ที่เราอาจะไม่สามารถอธิบายหรือเข้าใจได้ คือสันติสุขที่จะนำเราเข้าสู่ความสุขภายในแม้สถานการณ์รอบข้างเราจะเป็นเช่น ไร เราจะยังคงไว้ด้วยชีวิตที่มีสันติสุข สันติสุขที่จะดูแลคุ้มครองความคิดของเราไว้ ขอบคุณพระเจ้า
ฟีลิปปี 4:7
แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
1 โครินธ์ 14:33
เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าแห่งการวุ่นวาย แต่ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุข ตามที่ปฏิบัติกันอยู่ในคริสตจักรแห่งธรรมิกชนนั้น
ลูกา 2:14
"พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น"
เอเฟซัส 2:14
เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นสันติสุขของเรา เป็นผู้ทรงกระทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และทรงรื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง
โรม 5:1
เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้เป็นคนชอบธรรมเพราะความเชื่อแล้วเราจึง {หรือ ให้เรา} มีสันติสุขในพระเจ้า ทางพระเยซูคริสตเจ้าของเรา
พระเยซูประทานสันติสุขให้แก่ผู้ที่ติดตามพระองค์
ยอห์น 14:27
เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย
ยอห์น 16:33
เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว"
จำเป็นที่เราต้องมีสันติสุข เราต้องสวมสันติสุขที่เป็นยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า
เอเฟซัส 6:15
และเอาข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพรั่งพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า
ฟิลิปปี 4:7
แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
2 โครินธ์ 13:11
ในที่สุดนี้พี่น้องทั้งหลายขอลาก่อน ท่านจงปรับปรุงตัวให้ดี จงฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้า จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะทรงสถิตอยู่กับท่าน
โคโลสี 3:15
และจงให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจของท่าน พระเจ้าทรงเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติสุขนั้น และท่านจงมีใจกตัญญู
4. ความอดกลั้นใจ อดทนนาน
คุณสมบัติของการอดทนคือ ความสามารถในการอดทน
ต่อสถานการณ์ที่ไม่น่าจะทนได้ และทำอย่างชื่นชมยินดี
และอดทนได้อย่างทรหดยาวนาน
ความอดทนนี้จะเป็นคุณสมบัติที่พระเจ้าเองก็มีด้วย
ความอดกลั้นใจ คือ ระงับ ยับยั้ง ระงับใจ ยับยั้งใจ
หลายครั้งเลยใช่ไหมที่หลายคนอาจจะจินตนาการว่า ได้ชกหน้าคนที่ทำร้ายเรา คนที่ใส่ร้ายเรา คนที่ทำผิดต่อเรา กลั่นแกล้งเรา และบางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิด แต่มันได้กระทำออกมาจริงๆ นี่คือตัวอย่างของการที่ไม่อดกลั้นใจไว้ได้
เอเฟซัส 4:2
คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก
จงถ่อมใจลงทุกอย่าง เมื่อดูเรื่อง The Passion นั้นตอนที่เขาจับพระเยซูไปและโบยตี ลากไปตามทาง เยาะเย้ย ถากถาง ดูถูกสารพัด พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าต้องยอมถ่อมพระทัยลง อดทนอดกลั้นไว้เพื่อให้แผนการของพระบิดา ที่เป็นแผนการแห่งการทรงไถ่นั้นสำเร็จ และพระองค์ก็ผ่านข้อสอบนี้ไปได้ ก่อนจะประทานให้กับเราเป็นผู้สอบต่อไป พระองค์ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์ก็สามารถทำได้
จงถ่อมใจลงและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน ทุกด้านคือทุกอย่างรอบด้าน เราต้องพบเจอหลายสิ่งรอบด้านเรา คนที่ดูถูกเรา ทับถมเรา กดขี่เรา เยาะเย้ยถากถาง เย้ยหยันเราสารพัด นินทาใส่ร้ายเรา พระเจ้าสอนเราให้รู้จักที่จะอดทนอดกลั้น คือระงับเอาไว้
“จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” ข้อ 3 ก็กล่าวเช่นเดียวกันว่า จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ไม่ว่าเราจะผิดหรือจะถูก เราก็มักจะถูกกระตุ้นว่า “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอมแพ้ฉันต้องเอาคืน”
โคโลสี 3:12,13
เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน
เพราะว่าพระเจ้าเลือกเราแล้วให้เป็นพวกบริสุทธิ์ เราต้องแตกต่างเราต้องใส่เสื้อแห่งการอดกลั้นใจ และผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน เขาแรงมาเราต้องรับด้วยความนุ่มนวลและความรัก เราต้องไม่เป็นภูเขาไฟที่กำลังประทุและพร้อมจะระเบิด อย่าพึ่งพากำลังตัวเองที่จะสงบภูเขาไฟ แต่จงมอบภาระนี้พระพระวิญญาณที่อยู่ภายในเป็นผู้ดับ
พระเจ้าเองพระองค์ก็ทรงอดทนอดกลั้นต่อเราทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์อดทนต่อการทำผิดแล้วผิดอีก บาปแล้วบาปอีกซ้ำๆซากๆ
โรม 3:25
พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น
ปัญญาจารย์ 7:8 บอกเราว่า “มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ”
เรามักจะโดนยั่วยุเสมอๆ แต่จงช้าในการโกรธเถิด
สุภาษิต 14:29
“บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่”
มัทธิว 18:21-22
ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ"
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ
อพยพ 34:6
พระเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าท่าน ตรัสว่า "พระเยโฮวาห์ พระเยโฮวาห์ พระเจ้าผู้ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง
กันดารวิถี 14:18
"พระเจ้าทรงพระพิโรธช้า ทรงอุดมในความรักมั่นคง ทรงโปรดยกโทษและให้อภัยการทรยศ แต่ถือว่าไม่มีโทษหามิได้ ให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่วสี่ชั่วอายุ"
สดุดี 86:15
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้ากอปรด้วยพระกรุณาและพระเมตตา ทรงกริ้วช้า และอุดมด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริต
บางครั้งเราคิดว่าพระเจ้าทรงล่าช้า และลืมไปแล้ว พระองค์ประทาน
พระสัญญาแต่ทำไมเรารอแล้วรออีกก็ไม่เคยได้คำตอบเลย
พระองค์ไม่ได้นิ่งนอนพระทัย แต่พระองค์อดทนต่อเราทั้งหลาย
พระทัยของพระองค์ไม่ประสงค์ให้ใครพินาศแต่ต้องการให้กลับใจ
2 เปโตร 3:9
องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้า ในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
เราต้องอดทนเพราะพระเจ้าให้เรามีความอดทนอดกลั้นใจ
โคโลสี 1:11
ขอให้ท่านมีกำลังมากขึ้นทุกอย่างโดยฤทธิ์เดชแห่งพระสิริของพระองค์ ขอให้ท่านมีความทรหดที่สุด และความอดทนไว้นานด้วยความยินดี
เอเฟซัส 4:2
คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก
เราต้องสวมใส่ความอดทนอดกลั้นเพราะเป็นคุณสมบัติฝ่ายวิญญาณด้วย
โคโลสี 3:12
เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
ความอดทนอดกลั้น ในภาษากรีกนั้นแปลว่าระยะห่างจากขอบเส้นอารมณ์
คือการอดกลั้นและระงับอารมณ์ เมื่อถูกกระตุ้นและยั่วเย้าให้เกิดอารมณ์
ที่จะนำไปสู่การทะเลาะ
ฮีบรู 10:36
ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น
ช้าที่จะพูดถ้อยคำที่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ออกไป คำพูดอ่อนหวานและสุภาพไม่ใช่คำพูดแห่งการพ่ายแพ้อย่าให้เราโดนหลอก พระเจ้าให้เรามีสติปัญญา จงอดทน
สุภาษิต 15:1
คำตอบอ่อนหวานช่วยละลายความโกรธเกรี้ยวให้หายไป
แต่คำกักขฬะเร้าโทสะ
ฮีบรู 10:36
ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องมีความอดทน เพื่อว่าท่านจะได้สามารถกระทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ แล้วท่านจะได้รับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสัญญาไว้นั้น
เราต้องอดทนดีกว่าที่จะปล่อยให้ความโกรธระเบิดออกมา
และนำเราตกสู่หลุมพรางความบาป
เราต้องเรียนรู้ที่จะเอาชนะต่อการร้ายที่เข้ามาปะเรา
มีอยู่ 3 วิธี
- ยอมแพ้ไปและเลิกรับใช้
- อดทนแต่รับใช้ต่อไปอย่างขมขื่น
- เอาชนะด้วยพระคุณของพระเจ้า
5.ความปราณี
ความปรานีคือ ความเมตตา เผื่อแผ่
พระเยซูพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี พระองค์ปรานีเราและยั้งการลงพระอาชญากับเราที่ทำผิดบาปซ้ำๆ แต่หลายคนมักเป็นบ่าวที่ได้รับการยกโทษยกหนี้จากผู้เป็นนาย เมื่อออกมาแล้วกลับมาขู่เข็ญและบังคับเอาหนี้จากเพื่อที่เป็นบ่าวด้วยกัน และนี่ก็เป็นภาพที่มีมาถึงคนในยุคนี้ด้วยเช่นกันที่ขาดความปรานี หลายครั้งที่คนหันมาจับผิดกันเอง เอาผิดพี่น้อง ซ้ำเติมคนที่เราชิงชัง ซ้ำเติมศตรูที่ล้มลง
มัทธิว 18:23-35
"เหตุฉะนั้น แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับทาส เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ {หนึ่งตะลันต์ มีค่าประมาณสองหมื่นบาท} มาเฝ้า ท่านจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งเมีย และลูกและบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า "ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น" เจ้าองค์นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนทาสด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นบีบคอว่า "จงใช้หนี้ให้ข้า" เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า "ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้" แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น ฝ่ายพวกเพื่อนทาสเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมาสั่งว่า "อ้ายข้าชาติชั่วเราได้โปรดยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะเอ็งได้อ้อนวอนเรา เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเอ็งมิใช่หรือ" แล้วเจ้าองค์นั้นกริ้วจึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้แก่พี่น้องของท่านด้วยใจกว้างขวาง"
โคโลสี 3:12
เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน
ลูกา 6:36
ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา
นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าเรียกร้องให้เรามีความเมตตาปรานีด้วย เมื่อพระองค์ทรงปรานีเราเพื่อให้เราลืมตาอ้าปากได้ นี่เท่ากับว่าเป็นพระคุณของพระเจ้า เราได้รับการยกโทษหลายคดีที่มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต เพราะความบาปนำมาซึ่งความตาย แต่พระเจ้ายกหนี้ให้หมดแล้ว ฉะนั้นเมื่อเราเดินออกมา เราจะไม่เมตตาปรานีผู้อื่นเชียวหรือ
ขอให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี
6.ความดี
ความดี คือ ไม่ชั่ว ไม่ทราม ไม่เลว งาม ชอบ
ความดีในที่นี้คือความดีที่สะท้อนออกมาจากภายใน ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ สร้างภาพ ความดีไม่ใช่เพื่อคนจะยกย่อง แต่เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า
มัทธิว 5:16
ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
มัทธิว6:1 ในสำนวนฉบับ NIV กล่าวว่า “อย่าทำความดีเพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์”
เราไม่ได้ทำความดีเพื่อให้ตัวเองดูดีแต่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในแต่ละวันเราต้องทำสิ่งต่างๆมากมาย แต่การทำดีคือไม่ทำชั่ว ไม่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมตามใจปรารถนา พระวิญญาณจะสอนเราว่าสิ่งไหนเหมาะสมและสิ่งไหนไม่เหมาะสม สิ่งไหนเป็นที่ถวายเกียติพระเจ้าและสิ่งไหนไม่ถวายเกียรติพระเจ้า คำว่าคริสเตียนจะถูกจับจ้องจากคนรอบข้างที่จะคอยจับผิด ว่านี่หรือคริสเตียนในโลกที่มืดมิดนี้ เราต้องเป็นแสงสว่างของโลก เราต้องแตกต่างจากโลก และไม่ดำเนินชีวิตแบบโลกนี้เพื่อคนทั้งหลายที่พบเห็นและสัมผัสจะมองไปถึงพระ เจ้าของเรานั่นเอง
1 โครินธ์ 10:31
ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
ฟีลิปปี 1:10,11
เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์ จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า
ด้วยเหตุความดีนี้เองความชั่วจะมีชัยชนะก็เป็นไปไม่ได้ ความชั่วตรงข้ามกับความดี และความดีก็คือพระเจ้า ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับความชั่ว
โรม 12:21
อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
ความดีจะนำเราไปในความมืด และเป็นแสงสว่างที่นำทาง เราเป็นความสว่างและความสว่างนั้นต้องออกผลออกมาเป็นผลแห่งความดี
(ด้วยว่าผลของความสว่างนั้น คือความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)
เอเฟซัส 5:9
ความดีพูดง่ายแต่ทำยาก และการทำยากก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ และต้องทำด้วย ชีวิตต้องมีผลที่ดี แต่ถ้ารู้ว่าการทำดีเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่ถ้าไม่ทำก็เท่ากับว่าบาป เพราะพระคัมภีร์ก็บอกเช่นนั้นใน
ยากอบ 4:17
เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป
อย่ากลัวที่จะทำดี อย่ากลัวคนที่อิจฉา อย่ากลัวคนที่หมั่นไส้ อย่ากลัวคนที่นินทา ใส่ร้ายในการทำดีของเรา เพราะพระวจนะบอกว่า
1 เปโตร 3:13,17
ถ้าท่านทั้งหลายใฝ่ใจประพฤติความดี ผู้ใดจะทำร้ายท่าน
เพราะว่า การได้รับความทุกข์เพราะทำความดี ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ก็ดีกว่าจะต้องทนอยู่เพราะการประพฤติชั่ว
เป็นการกระทำที่บริสุทธิ์หรือเป็นที่ชอบธรรม เป็นคุณสมบัติที่พระเจ้ามีด้วย
สดุดี 6:10
แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป ตลอดวันคืนชีวิตของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าจะอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้าสืบไปเป็นนิตย์
ในพระคัมภีร์คำใกล้เคียงกับคำว่าความดี คือ ใจที่กว้างขวางและมีน้ำใจด้วย
โคโลสี 1:10
เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำตนให้เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และจำเริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า
กาลาเทีย 6:10
เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาส ให้เราทำดีต่อคนทั้งปวง และเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวที่มีความเชื่อ
โรม 7:19
ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่
7.ความสัตย์ซื่อ
ความสัตย์ซื่อ คือ ความตรงและความจริง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่นอกใจ
พระเจ้าพระองค์ทรงสัตย์ซื้อและเที่ยงธรรม และพระองค์ประสงค์ให้เราเป็นผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมด้วย ในโลกยุคปัจจุบันนี้ สิ่งที่ตรงข้ามกับความสัตย์ซื่อนั้นมีมากมายมากขึ้นเรื่อยๆ การคดโกง การคอรัปชั่น เอารัดเอาเปรียบกัน 1 บาทยังโกงกันเลย มันบ่งบอกถึงวิญญาณที่อยู่ภายใน แต่เราต้องแตกต่าง เพราะสิ่งที่อยู่ในเราไม่ใช่วิญญาณชั่ว แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ บางคนอาจจะคิดว่า เล็กๆน้อยๆก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้ารถโดยสารทอนเงินเราเกิน 1 บาท เราจะคืนไหม แล้วถ้าไม่เจอรถคันนั้นอีกล่ะ อย่าลืมว่าพระเจ้ายุติธรรมและเที่ยงธรรมด้วย พระองค์วินิจฉัยจิตใจเป็น พระองค์ดูที่ภายในจิตใจของเราว่าเรามีความตั้งใจที่จะคืนเงิน 1 บาทนั้นหรือไม่ ถ้าเราสัตย์ซื่อแม้ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าก็จะนำเราไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่าขึ้นไปอีก
หรือเป็นความหนักแน่นมั่นคง ความจงรักภักดี
รับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เป็นผู้ที่วางใจได้
และเสมอต้นเสมอปลาย
เมื่อเราเชื่อในพระเจ้าและเราได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียน
เราได้ประกาศแล้วว่าเราจะหันหลังให้กับความบาป
และความอธรรมทั้งหมด และเราเองก็ต้องสัตย์ซื่อที่จะไม่หันกลับไปอีก
มัทธิว 25:23
นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"
ถ้าแม้เพียงเล็กน้อยเรายังสัตย์ซื่อไม่ได้ ถ้าเราเป็นเจ้านายคนและมีพนักงานที่ไม่สัตย์ซื่อ เราจะยังกล้าเลื่อนตำแหน่งให้เขาไปดูแลงานที่ใหญ่ขึ้นไปหรือไม่ ไม่แน่นอน เราต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ใช่แต่เพียงพระเจ้าแต่กับมนุษย์ด้วยกันด้วย
ลูกา 16:10,11
"คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย และคนที่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะอสัตย์ในของมากเช่นกัน เหตุฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายไม่สัตย์ซื่อในทรัพย์สมบัติอธรรรม ใครจะมอบทรัพย์สมบัติอันแท้ให้แก่ท่านเล่า
ทิตัส 2:10
อย่าให้ยักยอกแต่ให้สัตย์ซื่อหมดทุกอย่าง เพื่อว่าในการทั้งปวงนั้น เขาจะได้เทิดเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา
แม้เราจะมีในสิ่งเล็กน้อย อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ อย่าโลภพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เราอาจจะไม่มีบ้านที่หลังใหญ่ๆ แต่เราก็ไม่ต้องไปนอนใต้สะพานหรือใต้ถนน เราอาจจะมองว่าตัวเองไม่มีของประทานที่เท่ากับคนอื่นหรือเด่นเท่ากับคนอื่นๆ แต่จงสัตย์ซื่อในของประทานที่เรามี จะมีประโยชน์อะไรถ้าเรามีของประทานและงานที่ใหญ่แต่ไม่สัตย์ซื่อ สิ่งเล็กน้อยที่เรามีและเราได้รับเราจะต้องมองให้เห็นพระคุณของพระเจ้า พระคุณไม่ใช่ว่าเราจะต้องได้มากๆเสมอไป แต่นี่อาจจะเป็นบททดสอบความสัตย์ซื่อบางอย่างที่พระเจ้ากังทดสอบเราก็เป็น ได้
มัทธิว 25:22,23
คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า "นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์" นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"
ลูกา 19:17
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด"
จงสัตย์ในทุกสิ่งในชีวิต เพราะพระองค์ที่อยู่ในเราเป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ ทั้งด้านดารกระทำ ความคิดจิตใจ และคำพูด
1 โครินธ์ 4:1-2
ให้ทุกคนถือว่าเราเป็นคนรับใช้ของพระคริสต์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งล้ำลึกของพระเจ้า
ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ทุกคน
8.ความสุภาพอ่อนน้อม
คือความอ่อนน้อมถ่อมตนแต่ไม่ใช่อ่อนแอ ไม่รุนแรงไม่ฉุนเฉียว
ความสุภาพอ่อนน้อม คือเรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม เคารพนบนอบ
หลายคนอาจจะเคยพบเจอคนที่พูดจาสนทนาแบบขวานผ่าซาก บุคลิกแข็งกร้าว หรือก้าวร้าวและดูเหมือนจะเย่อหยิ่ง เมื่อถูกตักเตือน คนเหล่านี้อาจจะมีข้อแก้ตัวที่ว่า “ฉันเป็นของฉันแบบนี้ ใครจะทำไม รับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ อย่ามองฉันแค่ภายนอกสิ” ถ้าเรากลับไปดูเรื่องความรักที่ผ่านมานั้น ถ้าเรามีความรักเราจะไม่แคร์ความรู้สึกใครเหรอหรือ พระเยซูเองเป็นพระเจ้าที่สุภาพอ่อนน้อม ถ้าทุกครั้งที่เราเข้าไปหาพระเจ้าและเจอต่ความแข็งกร้าวจะเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าต้องการให้เราเห็นแก่ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน การที่มีความสุภาพอ่อนน้อม ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง หรือบุคลิกภาพส่วนตัวไป
เอเฟซัส 4:2
คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก
พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่สอนให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียก เราเรียกตนเองว่าคริสเตียน คริสเตียนคือ พระเยซูน้อยๆที่จะออกไปสำแดงแก่โลกนี้ให้เห็นถึงพระลักษณะและอุปนิสัย บุคลิกภาพ ของพระเยซู ถ้าเราบอกว่าเราเป็นคริสเตียนแต่เราขาดหัวใจที่สุภาพอ่อนน้อม เราก็แค่อ้างว่าเราเป็นคริสเตียน
เราต้องมีหัวใจที่ถ่อมด้วยถ้าเราจะเป็นคนที่มีใจที่สุภาพอ่อนน้อม ถ่อมคือ ทำให้ต่ำลงกว่าที่เห็น พระเจ้าพระองคู้เป็นเจ้าของจักรวาลนี้ แต่พระองค์ถ่อมตัวเองลงให้ต่ำลงมาในโลกนี้ พระเจ้าผู้ทรงเกียรติได้ถ่อมลงเพื่อเรา ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหน มีความรู้จบสูงแค่ไหน แต่พระเยซูเป็นแบบอย่างให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ถ่อมใจและสุภาพอ่อนน้อม พระคำตอนหนึ่งบอกเราว่า จงเอาแอกของพระองค์และแบกไว้ และเรียนจากพระองค์
มัทธิว 11:29
จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
เราต้องมองภาพการเป็นกายเดียวกันไว้ เราต้องมีความรักต่อกันเราซึ่งเป็นคริสเตียน หรือผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ว่าจะเผชิญอะไรก็ตามเราต้องสวมใจอ่อนสุภาพ เราจะต้องเจอการยั่วโทสะให้เรามีอารมณ์แต่เราต้องอดทนเราต้องสวมผลของพระ วิญญาณให้ครบทุกอย่าง และเมื่อเรามีหัวใจที่อ่อนสุภาพนั้น พระเจ้าจะกระทำการของพระองค์ต่อเอง เขาจะเปลี่ยนแปลงกลับใจ ไม่ใช่เพราะเรา แต่เพราะนี่คือหัวใจของพระเจ้านั่นเอง
2 ทิโมธี 2:24,25
ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ ว่าพระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจ และมาถึงซึ่งความจริง
1 เปโตร 3:8
ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม
ฟีลิปปี 4:5
จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว
สดุดี 37:11
แต่คนใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดกและตัวเขาปีติยินดีในความเจริญอุดมสมบูรณ์
ใจที่อ่อนสุภาพนั้น อาจจะไม่ใช่อาวุธที่ดีที่สุดในการจัดการกับศัตรู แต่มันหมายถึงความเชื่อที่สงบและการถ่อมตัวลงกับพระเจ้าว่าเรายอมจำนนที่จะ เชื่อฟังพระองค์ มีความหวังในการช่วยกู้ของพระองค์ พระเจ้าสัญญาไว้ว่าผู้ที่ใจอ่อนสุภาพและถ่อมตัวลงนั้น จะได้บำเหน็จอย่างแน่นอน
มัทธิว 5:5
บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก
กาลาเทีย 6:1
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย
2 ทิโมธี 2:24
ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน
ทิตัส 3:2
อย่าให้เขาว่าร้ายผู้ใด อย่าให้เป็นคนมักทะเลาะวิวาทกัน แต่ให้เป็นคนสุภาพแสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีงาม
เราต้องให้สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติของเรา
ยากอบ 3:17
แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด
ความสุภาพอ่อนน้อม ตรงข้ามกับความเย่อหยิ่ง ความสุภาพอ่อนน้อมพร้อมที่จะยอมรับปรับปรุงแก้ไขในทิศทางที่ดีกว่าเดิม
พระเจ้าทรงโปรดปรานผู้ที่มีความสุภาพอ่อนน้อม
สดุดี 25:5
พระองค์ทรงนำคนใจถ่อมไปในสิ่งที่ถูก และทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่คนใจถ่อม
มัทธิว 11:29
จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
ในบางครั้งเราอาจจะโอ้อวด และเย่อหยิ่งโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว
หรือเราอาจจะเจอคนที่เย่อหยิ่ง โอ้อวด หรือขาดความสุภาพอ่อนน้อม
ทั้งการกระทำและคำพูด เราต้องไม่ตอบโต้ด้วยวิญญาณแบบเดียวกัน
พระเจ้าไม่ประสงค์ให้เราทำการชั่วตอบแทนการชั่ว การร้ายตอบแทนการร้าย
เราต้องสวมใส่ความสุภาพอ่อนน้อม มันอาจจะขัดกับเนื้อหนังของเรา
แต่นี่เป็นบุคลิกที่พระเยซูมีและพระองค์ต้องการให้เรามีด้วย
9.การรู้จักบังคับตน
การรู้จักบังคับตน คือ การควบคุมตัวเอง การรู้จักบังคับตน
จะทำให้เราเป็นนายเหนือทุกสิ่ง
ความสามารถในการควบคุม ปกครองตนเอง ควบคุมความอยาก
พระวิญญาณจะช่วยเราได้อย่างสมดุล
เป็นการควบคุมอารมณ์ ร่างกาย
การบังคับตนจะทำให้เรามีวินัย
หลายครั้งความบาปมักมาในรูปแบบของการยั่วเย้าให้เราอยากทำ อยากลอง มันมีรสชาติที่หวานอร่อย และทางเดินนั้นก็กว้างมากนัก ประตูทางเข้าก็ใหญ่โต ทางเข้าดูสวยหรูแต่เมื่อเข้าไปแล้วคือความตายนั่นเอง เราต้องรู้จักผลของพระวิญญาณแห่งการบังคับตน การบังคับตนนั้นคือการบังคับไม่ให้ตัวเองหลงทางและนำไปสู่ความบาป การบังคับตนก็เป็นการฝึกฝนตัวเองให้อยู่ภายใต้การควบคุม เราต้องฝึกวินัยกับตัวเองอย่างเข้มงวด เราต้องไม่ขาดคุณสมบัติที่จะรับเอารางวัลจากพระองค์
2 ทิโมธี 1:7
เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา
การที่เราไม่รู้จักการบังคับตนนั้น เท่ากับเรายอมแพ้ เรากลัวที่จะต่อสู้ พระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่กลัวให้เราแต่พระเจ้าประทานใจที่กอปรด้วยฤทธิ์และ ความรัก และจิตใจที่รู้จักบังคับตนเองให้กับเรา การบังคับตนเองต้องอาศัยการอดทน และต้องบากบั่นมุ่งไป คำว่าบังคับตัวเองคือเอาเนื้อหนังให้อยู่หมัด เราต้องบากบั่นและต่อสู้มุ่งไป ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร ต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติ การบังคับตนคือการที่เราต้องละทิ้งความบาปต่างๆที่ล่อลวงและชักจูงเรา ในทิตัส 2:12 บอกว่า
ทิตัส 2:12
สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
การรู้จักบังคับตนนั้นเราต้องบังคับตนในเรื่องของ อารมณ์ ความรู้สึกอยาก และความอยากได้ พระคัมภีร์ใน ยากอบได้กล่าวถึงการบังคับตนเองว่า
ยากอบ 1:19-21
ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้
ช้าในการพูด เราอาจจะพูดอะไรออกไปด้วยอารมณ์และการตอบโต้ เมื่อมีคนที่พูดไม่ดีกับเรา ใส่ร้ายเรา หรือพูดอะไรที่ทำให้เรามีความรู้สึกในแง่ลบ เราเองต้องช้าในการพูด ก็คือมีสติก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ช้าในการโกรธความโกรธไม่ใช่ความบาปแต่เป็นทางนำไปสู่ความบาป และเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก พระวิญญาณจะคอยเตือนเราอยู่ภายใน แต่เราต้องยอมที่จะฟังและเชื่อฟัง มันอาจจะทรมานที่เราไม่ได้ตอบโต้ใครบางคน แต่เราเองก็ได้สวมผลของการรู้จักบังคับตนแล้ว จำตอนที่โมเสสผิดพลาดได้หรือไม่ครับ พระเจ้าให้โมเสสสั่งหินให้มีน้ำออกมา แต่โมเสสเอง โกรธประชาชนชาวอิสราเอลที่ดื้อดึงและหลงไปกับรูปเคารพอื่นๆ รวมทั้งการบ่นและการขาดความเชื่อ โมเสสระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยการใช้ไม่เท้าตีฟาดไปที่ก้อนหิน นี่เองพระเจ้าไม่พอพระทัยโมเสสเลย เมื่อเรารู้จักบังคับตนเอง ทุบตีเนื้อหนังให้อยู่หมัด ไม่ใช่เพื่อจะเอารางวัลบำเหน็จแต่เพื่อชีวิตและผลฝ่ายวิญญาณของเราจะจำเริญ ขึ้น รางวัลนั้นไม่ใช่มงกุฎที่ร่วงโรยได้ แต่เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย เราต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ทีอยู่ภายในเรา และไม่ตอบสนองความต้องการของเนื้อหนัง รู้จักบังคับตน นี่คือผลที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
1 โครินธ์ 9:25,27
ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
1 โครินธ์ 9:27
แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
เปาโลหนุนใจและยกตัวอย่างของนักกีฬา
ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกันก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงรางวัลให้ได้
ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย
ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งโดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้ามิได้ต่อสู้อย่างนักมวยที่ชกลม
1 โครินธ์ 9:27
แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
2 เปโตร 1:6
เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี
ซาโลมอนเองก็ได้ยกย่องคนที่รู้จักบังคับตนและควบคุมตนเองได้
สุภาษิต 16:32
บุคคลผู้โกรธช้าก็ดีกว่าคนมีกำลังมาก และบุคคลผู้ปกครองจิตใจของตนเอง ก็ดีกว่าผู้ที่ตีเมืองได้
การรู้จักบังคับตนเองเป็นของประทานจากพระเจ้า
โรม 8:4 ,9
เพื่อสิ่งที่ธรรมบัญญัติสั่งไว้จะได้สำเร็จในตัวเราทั้งหลาย ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ
ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในท่านทั้งหลายจริงๆแล้วท่านก็มิได้อยู่ ใต้เนื้อหนัง แต่อยู่ใต้พระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่เป็นของพระองค์
สรุป
อย่าให้เราดูดีแต่ภายนอกแต่ภายในเราไม่มีผลออะไรเลยที่จะออกมา
ตอนที่พระเยซูสาปต้นมะเดื่อไม่ใช่เพราะพระองค์โกรธ หรือหิว
ต้นมะเดื่อที่ภายนอกดูดีมีใบเขียวแต่กลับไม่มีผล เช่นเดียวกับผลฝ่ายวิญญาณ
ที่ไม่มีสำแดงออกมา ผลฝ่ายวิญญาณที่เสมือนพระฉายของพระเจ้า
เราไม่ได้เป็นฟาริสี
มัทธิว 23:27
วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก
ต้นไม้จะยังมีคุณค่าและชีวิต ถ้ามันออกผล
คริสเตียนที่เติบโต และมีชีวิตก็เมื่อมีผลฝ่ายวิญญาณ
1. ความรัก
2. ความปลาบปลื้มใจ ชื่นชมยินดี
3. สันติสุข
4. ความอดกลั้นใจ
5. ความปราณี
6. ความดี
7. ความสัตย์ซื่อ
8. ความสุภาพอ่อนน้อม
9. การรู้จักบังคับตน
เมื่อเรามีผลฝ่ายวิญญาณ เราก็สามารถมั่นใจได้ในชีวิตนิรันดร์
เรายังไม่ตาย
เราต้องเป็นต้นไม้ที่ตื่นจากหลับให้เกิดผล
ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship