วันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลับมาที่รักแรกของคุณ เลี้ยวกลับมาที่พระเจ้า

                                            กลับมาที่รักแรกของคุณ
เลี้ยวกลับมาที่พระเจ้า
           เราเคยขับรถแล้วเรา หาที่กลับรถหรือไม่ครับ บางครั้งเราขับเลยจุดหมายไป มั่วแต่คุย แล้วก็ไม่ทันได้สังเกต เพราะเราไม่ได้จดจ่อ หรือมีบางสิ่งทำให้เราเผลอ รู้ตัวอีกที แหม เลยมาถึงไหนนี่ ต้องหาที่กลับรถ วันนี้เราจะมากลับรถกันนะครับ….. เพื่อกลับสู่ที่ที่เราควรจะไป
“การหันกลับคือ หันกลับจากทางที่ผิดมาสู่จุดที่ถูก”
นี่เป็นช่วงเวลาที่เราจะเลี้ยวกลับมาที่ความรัก ของพระเจ้ากลับมาหาพระองค์
เป็นช่วงเวลาที่เราต้องสำรวจตัวเองมันอาจจะยาก และรู้สึกอัปยศที่จะยอมรับ
ข้อบกพร่องหรือความบาปในตัวเอง
เฉลยธรรมบัญญัติ 30:1-6
โมเสสได้บอกชาวอิสราเอลว่า เมื่อพวกเขาต้องการกลับมาหาพระเจ้า
พระองค์ก็พร้อมจะรับพวกเขา พระเมตตาของพระเจ้านั้นช่างอัศจรรย์
แม้เราจะจงใจละทิ้งพระองค์ พระองค์ก็พร้อมที่จะรับเรากลับมาอีกครั้ง
พระองค์ต้องการให้อภัยเราและนำเรากลับ
ไม่ว่าคุณจะหลงไปไกลเพียงใดก็ตามเพียงแต่เราเลี้ยวกลับมาหารักแรก
ของเรา ยังไม่สายเกินไป
“พระองค์เรียกเราให้กลับมาได้แล้ว เพื่อจะรักษาเราให้หาย”
…..เราต้องกลับใจจากบาปไม่ใช่ เพราะความกลัวการลงโทษ ซึ่ง
ไม่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้า
พระเจ้าเรียกเรากลับด้วย  ความรัก และให้เรากลับใจด้วยความรัก
อย่าให้เราคิดว่า เรามาหมกมุ่นแต่บาปๆๆๆ จะสารภาพอะไรกันมากมาย
เราอาจจะไม่ได้รับผลในทันทีทันใด และเราก็คิดว่ามันไม่ผิด พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตาและทรงกริ้วช้า ความจริงแล้ว พระองค์ รอคอย และเชิญชวนให้เรากลับใจ โอเอล 2:13 , โฮเชยา 14:1
โรม 2:4
บอกเราว่าพระคุณของพระองค์ มุ่งให้เรากลับใจใหม่
ในช่วงเวลานี้จึงไม่ใช่แค่การกลับใจเท่านั้น แต่ยังเป็น การแก้ตัวใหม่ และ
การเริ่มต้นใหม่ด้วย อยากเตรียมเข้าสู่ช่วงแห่งการเลี้ยวกลับมานี้
ซึ่งอยู่ในช่วงเวลา 1 Tishrei เทศกาลเสียงแตร (9 กย) – 10 Tishrei (18 กย) วันลบมลทิน
กลับใจด้วยความรัก เป็นยังไง ดู
***ใน ลูกา 7:36.....
เมื่อฟาริสีเชิญพระเยซูไปที่บ้าน มีหญิงที่ เคยชั่ว  คนหนึ่งมาใกล้ที่
พระบาทพระองค์ ร้องไห้น้ำตาเปียกพระบาท เอาผมเช็ด และจูบพระบาท
เอาน้ำมันนั้นชโลม (ราคาแพงมาก) ฟาริสีคิดว่านางชั่วและเป็นมลทิน
แต่....พระเยซู ตรัสตอนท้ายว่า 47 ความผิดของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกแล้ว
เพราะนางรักเรามาก !! ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้ารอด จงเป็นสุขเถิด
4 ขั้นตอนของการเลี้ยวกลับ
ตัวอย่างคำอุปมาของพระเยซู 

เกี่ยวกับการหันกลับของบุตรน้อยหลงหาย
ใน ลูกา 15:11-32


1.เสียใจ
เสียใจต่อความสัมพันธ์ในการละเมิด ระหว่างเรากับพระเจ้า
ลูกา 15:17-19
เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้ว   จึงพูดว่า   'ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก   ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก   ส่วนเราจะมาตายเสียที่นี่เพราะอดอาหาร
18จำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา   และพูดกับท่านว่า   “บิดาเจ้าข้า   ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และผิดต่อท่านด้วย
19ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป   ขอท่านให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างของท่านคนหนึ่งเถิด”
-พระคัมภีร์ตอรนนี้เตือนเราว่า หยุด ! มองเสียก่อนที่คุณจะตกต่ำจนถึงที่สุด
และก่อนที่จะเลยไปไกลกว่านี้
สดุดี51
ดาวิดเสียใจอย่างมากที่เขาได้ล่วงประเวณีกับบัทเชบา และฆ่าสามีของเธอเพื่อปกปิดเรื่องนี้
เมื่อดาวิดเสียใจและกลับใจพระเจ้าจึงทรงเมตตายกโทษให้เขา
ไม่มีบาปใดใหญ่เกินกว่าที่พระเจ้าจะทรงอภัย
มนุษย์เกิดมาในความบาปดังนั้นจึงชอบทำตามใจตัวเองมากกว่าที่จะให้พระเจ้าพอพระทัย
พระเจ้าเองต้องการจิตใจที่ชอกช้ำและสำนึกผิด เราต้องสำรวจตัวเองว่า
-เราเสียใจหรือไม่ที่เราทำผิดบาป
-เราตั้งใจจริงหรือไม่ที่จะหยุดทำบาป นี่คือความถ่อมใจที่พระเจ้าทรงพอพระทัย
อย่าให้เราสับสนในระหว่างความดีและความสำเร็จ
การทำบางสิ่งบางอย่างได้ดีไม่ได้หมายความว่าสิ่งนั้นดี
เช่นบางคนเล่นการพนันจนเป็นเซียนพนัน
จงสำรวจโดยการประเมินทุกสิ่งด้วยกฏเกณฑ์ตามพระวจนะของพระเจ้า
ไม่ใช่ว่าเราทำดีเพียงไร เราไม่ได้เสียใจในสิ่งที่เป็นเนื้อหนัง แต่เสียใจแบบที่ชอบพระทัยพระเจ้า
เสียใจแบบที่ชอบพระทัยเป็นอย่างไร เรามาดูกัน
2 โครินธ์ 7:9-11
           แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี   มิใช่เพราะท่านเสียใจ   แต่เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจใหม่   เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า   ท่านจึงไม่ได้ผลร้ายจากเราเลย
10เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า   ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่   ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ   แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำไปถึงความตาย
11จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า   กระทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว   ทำให้เกิดความขวนขวายที่จะแก้ตัวใหม่และการเดือดร้อนแทน   ความตื่นตัว   ความอาลัย   และความกระตือรือร้น   และการลงโทษ   ในทุกสิ่งเหล่านี้   ท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านก็ไม่ได้กระทำผิด
-ความเศร้าเสียใจที่อยู่ในทางของพระเจ้านี้ ส่งผลให้กลับใจใหม่
หมายถึงการเสียใจในบาป หลายคนเสียใจ เพราะว่าได้รับผลของบาป หรือถูกจับได้
(มันคือความเสียใจอย่างโลก) เปโตรกับยูดาส ทั้ง 2 ปฏิเสธพระคริสต์เหมืนกัน แต่..
คนหนึ่งกลับใจกลับมาและได้กลับคืนสู่ความเชื่อและเส้นทางเดิม
อีกคนกลับใจ และฆ่าตัวตาย
สุภาษิต 28:13  ผู้ที่ปกปิดบาปของตนจะไม่เจริญ
แต่ผู้ที่สารภาพผิดและละทิ้งบาปจะพบความเมตตากรุณา

2.ละทิ้ง
คือการละทิ้งความบาป กลับใจด้วยความจริงใจ
ลูกา 15:20
20แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาบิดาของตน   แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล   บิดาแลเห็นเขาก็มีความเมตตา   จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา
นี่เป็นภาพให้เราเห็นว่า ไม่ต้องมีการลังเลใดๆทั้งสิ้น เขารีบลุกและกลับไปหาบิดาของเขา
การละทิ้ง คือการกลับใจใหม่ ในภาษากรีกนั้นคือคำว่า metanoeo = เปลี่ยนใจ การเลือกละทิ้งหรือกลับใจ ไม่ใช่แค่การพยักหน้า หรือเห็นด้วย และยังดำเนินชีวิตแบบเดิมๆ
กิจการ 26:12-13
บอกว่าให้เราหันกลับใจใหม่คือการละทิ้งแล้วมาหาพระเจ้า และดำเนินชีวิตให้สมกับที่กลับใจใหม่

กิจการ 3:19
19เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่  
เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย  
เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า  (ดูเพิ่มเติมใน กิจการ 8:22)
-เมื่อเราหันกลับ พระเจ้าไม่ได้ทรงสัญญาแค่ จะลบบาปเท่านั้น
แต่จะทรงประทานความชุ่มชื่นแก่วิญญาณ
…อย่าให้เราหันกลับมา แต่ไม่ยอมละทิ้งความบาป
เอเสเคียล 33:11-12 (11-20)
11จงกล่าวตอบเขาว่า  พระเจ้าตรัสว่า   เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด   เราไม่พอใจในความตายของคนอธรรม   แต่พอใจในการที่คนอธรรมหันจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่   จงหันกลับ  จงหันกลับจากทางชั่วของเจ้า  โอ   พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย  ยอมตายทำไม
12เจ้าบุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย   เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติของเจ้าว่าความชอบธรรมของ ผู้ชอบธรรมจะไม่ช่วยกู้เขาให้พ้นเมื่อเขากบฏ   ส่วนความอธรรมของคนอธรรมนั้นจะไม่กระทำให้เขา ล้มลงเมื่อเขาหันกลับจากความอธรรมของเขา   และคนชอบธรรมจะไม่ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความชอบธรรม   เมื่อเขากระทำบาป
สุภาษิต 28:13
13บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ  
  แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา
NIV ผู้ที่ปกปิดความบาปของตนจะไม่เจริญ แต่ผู้ที่สารภาพผิด
และละทิ้งบาปจะพบความเมตตากรุณา
เป็นธรรมดาที่มนุษย์จะซ่อน หรือมองข้ามความผิดของตนเอง
แต่เป็นเรื่องยากมากที่จะเรียนรู้ และยอมรับความบาปหรือความผิด ที่กำลังทำอยู่
การจะเรียนรู้จากการผิดพลาดได้นั้นเราต้อง ยอมรับ สารภาพในความบาปนั้น
และหันกลับมาปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อที่มันจะไม่เกิดขึ้นอีก
อาจมีบางสิ่งบางอย่างที่ต่อต้าน เพื่อไม่ให้เรายอมรับความผิดบาป
บางครั้งเราก็ชื่นชมในคนที่ทำผิดบาป และก็ยอมรับมัน เพราะบางครั้งเราก็เหมือน
กับเขาและเราก็ไม่ยอมรับว่ามันผิด
อีกครั้งนะครับ จงหันกลับมาพิจารณาตัวเองอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เกมมาจับผิดและมาประจาน
เมื่อเราเจอก็ทิ้งมันไป และไม่ต้องกลับไปมองมันอีก ละ คือทิ้งไป
เมื่อเราทิ้งขยะ เราก็ไม่ไปดูมันอีกและไปคิดถึงหรือเสียดายมันอีก
2 โครินธ์ 4:2
2เราได้ละทิ้งเล่ห์เหลี่ยมต่างๆที่น่าอับอายไปหมดสิ้นแล้ว   เราไม่ทำกลอุบายและไม่ได้พลิกแพลงพระกิตติคุณของพระเจ้า   แต่โดยสำแดงสัจจะ   เราเสนอตัวเราให้กับจิตสำนึกผิดชอบของคนทั้งปวงจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
1 เธสะโลนิกา 1:9
9เพราะคนเหล่านั้นก็ได้รายงานเกี่ยวกับเราว่า   เราได้รับการต้อนรับจากพวกท่านอย่างไร   และกล่าวถึงการที่ท่านได้ละทิ้งรูปเคารพและหันมาหาพระเจ้า   เพื่อรับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่และเที่ยงแท้
2 ทิโมธี 2:19
19แต่ว่ารากฐานซึ่งพระเจ้าทรงวางไว้นั้นมีตราประทับไว้ว่า   “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักคนเหล่านั้นที่เป็นของพระองค์”     และ   “ให้ทุกคนซึ่งออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าละทิ้งความชั่วเสีย”
ทิตัส 2:11-12
เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว   เพื่อช่วยคนทั้งปวงให้รอด 12สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา   และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ   สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม
ฮีบรู 12:1
1เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว   ก็ขอให้เราละทิ้งทุกอย่างที่ถ่วงอยู่   และบาปที่เกาะแน่น   ขอให้เราวิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายาม   ตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา
-พระคัมภีร์หนุนใจเราว่า อย่าบอกว่าทำไม่ได้ เพราะในความเป็นมนุษย์
ไม่ใช่เราคนแรกที่เจอกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่เราคนแรกที่ต่อสู้แบบนี้
ชีวิตในความสัตย์ซื่อของหลายคนได้หนุนใจเรา คำพยานในการ
วิ่งแข่งและได้รับชัยชนะ ของพวกเขาได้หนุนใจเราด้วย
(คงไม่มีใครอยากจะเปลี่ยนเป็นอาจารย์เปาโล)
อ่าน สดุดี 51

3.สารภาพ
คือสารภาพความผิดบาป
หมายถึง การพูดตรงกัน การเห็นพ้อง และการยอมรับ ความจริง
คือการเปลี่ยนแปลงจิตใจ การปฏิเสธในการสารภาพ ยิ่งทำให้บาปหยั่งลึกลงในชีวิต
กันดารวิถี 5:6-7
1 ยอห์น 1:9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์จะยกโทษบาปนั้นให้กับเราไม่ว่าจะใหญ่แค่ไหน
ลูกา 15:21
21ฝ่ายบุตรนั้นจึงกล่าวแก่บิดาว่า   'บิดาเจ้าข้า   ข้าพเจ้าได้ผิดต่อสวรรค์และต่อท่าน   ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป
เรื่องเล่าสุนัขจิ้งจอก
สุนัขจิ้งจอก เป็นสัญลักษณ์ของความเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่ง
ในเมืองหนึ่งที่สุนัขจิ้งจอกได้บุกเข้ามาในเมืองเพราะการ
แผ่ขยายความเจริญเข้าไป เขาคิดว่าสัตว์ตัวเล็กๆไม่น่าจะ
มีพิษมีภัยอะไรมากมายนัก แต่แทนที่มันจะหนีไปมันกลับปรับ
ตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมและชินกับมัน มันได้ขุดคุ้ยขยะใบ
เล็กๆตามบ้าน ทำลายสวนที่สวยงาม รื้อข้าวของต่างๆ ตามบ้าน
เจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กนี้อาจจะเป็นปัยหาร้ายแรง สำหรับคริสเตียนที่
อยากถวายเกียรติพระเจ้า บาปืที่เราคิดว่า “เล็กน้อย” หรือ “ไม่อันตราย”
และเราปล่อยให้เป็นความเคยชิน เช่นโกหกเล็กน้อย นินทา เป็นต้น

*** หากเราปล่อยให้สุนัขจิ้งจอกตัวเล็กนี้ เข้ามาในสวนหลังบ้านแห่งชีวิต
และจิตวัญญาณ  มันถึงเวลาแล้วที่เราจะจัดการกับมันเสียที
ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้เรายอมรับและสารภาพ
กำจัดมันเสียก่อนที่มันจะทำลายชีวิตทั้งหมดของเรา
1 ยอห์น 1:9
9ถ้าเราสารภาพบาปของเรา   พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม   ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา   และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
ยากอบ 5:16
16เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสารภาพบาปต่อกันและกัน   และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน   เพื่อท่านทั้งหลายจะพ้นโรคภัย   คำอธิษฐานของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังทำให้เกิดผล

มัทธิว 3:5
5ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม   และคนทั่วแคว้นยูเดีย   และคนทั่วลุ่มแม่น้ำจอร์แดนก็ออกไปหายอห์น   สารภาพความผิดบาปของตน 6และได้รับบัพติศมา(พิธีที่ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์   เล็งถึงการที่พระเจ้าทรงให้อภัยคนบาป)    จากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
มัทธิว 5:23-24
23เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว   และระลึกขึ้นได้ว่า   พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน
24จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา   กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน   แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน
25จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล   เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา   แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม   และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ
-ความสัมพันธ์ที่แตกร้าวระหว่างเรากับเพื่อนมนุษย์
สามารถขัดขวางความสัมพันธ์ระหว่าง  เรากับพระเจ้า
หากเรามีปัญหา หรือเรื่องบาดหมางกับเพื่อน
เราควรแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นได้
หากเราบอกว่าเรารักพระเจ้า แต่เกลียดผู้อื่น
เราก็เป็นคนหน้าซื่อใจคด
+ท่าทีของเราต่อผู้อื่น สะท้อนถึงความ
สัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า 20ถ้าผู้ใดว่า   “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า”   และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน   ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา..เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้
1 ยอห์น 4:20
ก่อนจะถึง วันลบบาป อีกไม่กี่วันนี้ (เออฟยมคิปปูร์ ก่อนวันลบบาป)
ในเทศกาลยิวนั้น วันที่เขาถือว่าบริสุทธิ์ที่สุดในรอบปีก็คือ ยมคิปปูร์
หรือวันลบมลทินบาป (ที่ใกล้จะถึงในเดือนหน้านี้) เป็นวันซึ่งชาวยิวจะ
ขออภัยโทษบาปจากพระเจ้า ทั้งบาปส่วนตัวและบาปของประเทศ
แต่.....ก่อนจะถึงยมคิปปูร์ คือ เออฟยมคิปปูร์ เป็นวันที่เรียกว่าโอกาส
สุดท้ายที่เราจะได้ขอการอภัยโทษจากผู้อื่นก่อน ยมคิปปูร์จะมาถึง
นี่เป็นหมายสำคัญในความคิดของคนยิวเนื่องจากเราต้องขออภัยโทษ
จากผู้อื่นก่อน จึงจะขอการอภัยจากพระเจ้าได้
          
ในวันนี้พระเจ้าได้เรียกเราให้ทำเช่นเดียวกัน พระเยซูตรัสว่า
เราต้องจัดการกับเรื่องขัดเคืองของเรากับผู้อื่นก่อน จึงจะนมัสการพระองค์
อย่างสิ้นสุดใจได้
มันอาจจะขัดกับความรู้สึกและเหตุผลบางอย่างนะครับ แต่พระองค์ให้เรา
ทำทุกวิถีทางเพื่อคืนดีกับผู้อื่นเสียแต่วันนี้ เพื่อการนมัสการของเราจะเป็นที่พอ
พระทัยและโปรดปรานของพระเจ้า
*** ถ้าเราถ่อมใจลง กับพี่น้อง ไม่ว่าเราจะผิด หรือเราจะถูกต้องเพียงไร อย่าให้ความรู้สึกผิดถูกมาเป็นกำแพงขวางกั้น เมื่อเราทำไปแล้ว แม้เขาไม่คืนดี นั่นเป็นเรื่องของเขากับพระเจ้า เราวะวาบแล้ว
และใครจะพูดยังไงก็ตาม “เห็นไหม เขามาขอโทษฉัน แสดงว่าฉันไม่ผิด และเม้าต่อๆไป” ก็ช่างเขาเถอะ
อ่าน 


4.แก้ไข
แก้ไข และก้าวต่อไปกับพระเจ้า
ลูกา 15:22-23,24
22แต่บิดาสั่งบ่าวของตนว่า   'จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้เขา   และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ   กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา
23จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน   เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด
24เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว   แต่กลับเป็นอีก   หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก'   เขาทั้งหลายต่างก็มีความรื่นเริงยินดี  
เลวีนิติ 26:40-42
40“แต่ถ้าเขาทั้งหลายสารภาพกรรมบาปของเขา   และกรรมบาปของบรรพบุรุษซึ่งเขาทั้งหลายกระทำ ผิดต่อเราด้วยความทรยศของเขานั้น   และที่ได้ประพฤติขัดแย้งเรา
41เราจึงดำเนินการขัดแย้งเขาทั้งหลาย   และได้นำเขาเข้าแผ่นดินแห่งศัตรูของเขา   ถ้าเมื่อนั้นจิตใจอันนอกรีตของเขาถ่อมลง แล้วและเขาได้แก้ไขในเรื่องกรรมบาปของเขาแล้ว
42เราจึงจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อ ยาโคบ   และเราจะระลึกถึงพันธสัญญาของเราซึ่งมีต่อ อิสอัค   และพันธสัญญาของเราต่อ อับราฮัม   และเราจะระลึกถึงแผ่นดินนั้น
**พระองค์ทรงให้โอกาสพวกเขาอีกที่จะหันกลับมาหาพระองค์
พระเจ้าไม่ได้ต้องการทำลายพวกเขา แต่ต้องการให้พวกเขาเติบโตขึ้น
สุดท้ายเราต้องแก้ไขและปรับปรุงสิ่งเก่าๆที่ผ่านมา พระคัมภีร์บอกเราว่า
เมื่อเราได้แก้ไขในเรื่องบาปของเขาแล้ว พระองค์จะระลึกถึงพระสัญญา
ของพระองค์ที่มีต่อเรา


เยเรมีย์ 35:15
15เราได้ส่งบรรดาผู้รับใช้ของ เราคือผู้เผยพระวจนะมาหาเจ้า   ส่งเขามาอย่างไม่หยุดยั้งกล่าวว่า   'บัดนี้เจ้าทุกคนจงหันกลับจากทางชั่วของตน   และ แก้ไข การกระทำของเจ้าทั้งหลายเสีย   อย่าไปติดสอยห้อยตามพระอื่นเพื่อปรนนิบัติพระเหล่านั้น   แล้วเจ้าจะได้อาศัยอยู่ในแผ่นดิน   ซึ่งเราได้ประทานแก่เจ้าและบรรพบุรุษของเจ้า'   แต่เจ้ามิได้เงี่ยหูหรือฟังเรา

*** พระคัมภีร์ได้บอกเราว่า พระองค์ได้ส่งผู้เผยพระวจนะของพระองค์มา
และมาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อให้เราแก้ไข การกระทำเสีย คำเผยในปัจจุบันนี้
เองมากมาย ที่เตือนเราให้แก้ไขด้วย

1 เปโตร 5:10
10และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว   พระเจ้าผู้ทรงพระคุณล้ำเลิศ   ผู้ได้ทรงเรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระคริสต์   พระองค์เองก็จะทรงโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง   และมีกำลังขึ้น

ฟีลิปปี 3:13-14 บากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย
13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว   แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง   คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย   และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
14ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย   เพื่อจะได้รับรางวัล   ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน   ให้เราไปรับ

สรุปก่อนจบ เดือนแห่งการสำรวจตัวเอง ค้นพบ กำจัด และรบพระเมตตาจากพระเจ้า
มองที่ตัวเอง สำรวจที่ตัวเราเองก่อน ใคร่ครวญในชีวิตของตนเองก่อน
จดจ่อตรงนี้ก่อนที่จะไปจดจ่อที่สิ่งรอบตัว
นิทานที่ดัดแปลง
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเศรษฐีคนหนึ่งเป็นคนเจ้าอารมณ์และมักจะปวดศีรษะอยู่เป็นประจำ
วันหนึ่งเขาได้ประกาศว่าจะให้รางวัลอย่างงามแก่คนที่สามารถรักษาอาการปวดศีรษะของเขาได้มีหลายๆ
คนรวมทั้งหมอที่เชี่ยวชาญต่างก็มาและเสนอแนะวิธีรักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้นี้
แต่ไม่มีใคร สามารถทำให้เขาดีขึ้นได้
อยู่มาวันหนึ่ง มีเพื่อนคนหนึ่งมาเยี่ยมท่านเศรษฐี
เศรษฐีได้บอกเกี่ยวกับโรคประจำตัวของเขาให้เพื่อนทราบ เพื่อนคนนี้ จึงบอกกับท่านเศรษฐีว่า

"โธ่เอ๊ย! วิธีรักษาอาการปวดหัวของเจ้ามันง่ายนิดเดียว
นั่นก็คือเจ้าจะต้องมองทุกอย่างให้เป็นสีเขียวตลอดเวลา
แล้วอาการโรคของเจ้าจะหายไป"
เศรษฐีดีใจมากและคิดว่าสิ่งที่เพื่อนคนนี้ แนะนำเขานั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมาก
วันรุ่งขึ้น ท่านเศรษฐีจึงจ้างช่างทาสี หลายร้อยคนมาช่วยกันทาสีของหมู่บ้านให้เป็นสีเขียวทั้งหมด
นอกจากนี้ด้วยความที่รวยมาก ยังซื้อเสื้อผ้าสีเขียว ให้กับคนในหมู่บ้านทุกคนใส่
ในตอนนี้ไม่ว่าท่านเศรษฐีมองไปทางใด ก็จะเป็นสีเขียวตลอดเวลา ตามคำแนะนำของเพื่อนคนนั้น
สองสามเดือนถัดมา ท่านเพื่อนคนนี้ ได้กลับมาเยี่ยมเศรษฐีอีกครั้งหนึ่ง แต่เศรษฐี  ร้องตะโกนว่า
"หยุด หยุด ท่านเข้ามาในหมู่บ้านนี้ในชุดนี้ไม่ได้
เดี๋ยวผมจะทาสีท่านให้เป็นสีเขียวก่อน"
เพื่อนคนนี้ จึงตะโกนตำหนิ เศรษฐีว่า............
"ทำไมเจ้าถึงเสียเงินทองและเวลามากมายเพื่อเปลี่ยนสิ่งต่างๆ รอบตัวเจ้าเล่า
เราไม่ได้บอกให้เจ้า ไป ทาสีทุกอย่างให้เป็นสีเขียวเลย
เจ้าเพียงแค่สวมแว่นตาสีเขียว เท่านั้น เจ้าก็จะมองเห็นทุกสิ่ง รอบตัวเป็นสีเขียวแล้ว"
จงกลับมาหาเรา พระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง
โฮเชยา 6:1
เอเสเคียล 14:6
เศคาริยาห์ 1:3-4
มัทธิว 3:2
1 ยอห์น 1:9

ขอบคุณพระเจ้า
KTM.WORSHIP

คำเทศนา คัมภีร์ ทองมาก 29 สิงหาคม 2010

คำเทศนา 29 สิงหาคม 2010
คัมภีร์ ทองมาก

อ่านรายละเอียดที่

http://missionkorat.blogspot.com/2010/08/blog-post_29.html



วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กระจกมองหลัง

กระจกมองหลัง



เมื่อตอนที่ผมขับรถเป็นใหม่ๆนั้น ผมมักติดการมองกระจกมองหลังรถ
และกระจกมองข้างรถ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันทำไมผมชอบมองสิ่งที่ผมได้
ขับผ่านมาแล้ว

ครั้งหนึ่งผมสังเกตุเห็นวัตถุบางสิ่ง และผมก็อยากรู้ให้ได้ว่ามันเป็นอะไร
ผมมองกระจกหลัง และกระจกข้างเพื่อจะดูให้ชัดว่า สิ่งนั้นมันคืออะไร
ผลปรากฎว่า ผมเกือบจะขับรถชนกับ ท้ายรถคันหน้าที่หยุดจอดติดสัญ
ญาณไฟแดง แทนที่ผมจะมองกระจกหน้าที่สำคัญกลับมองหลังจน
เกือบจะประสบอุบัติเหตุ

หลายครั้งที่เราเคยผ่านความผิดพลาดในอดีตมา และมันก็ผ่านพ้นมา
แล้ว หลายคนมีข้ออ้างมากมาย ที่จะแช่อยู่กับมัน เราไม่สามารถลบภาพ
แห่งความเจ็บปวดเหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง

นักวิ่งหลายคนที่กำลังวิ่งเข้าเส้นชัยด้วยความสูสี เมื่อเขาหันกลับไปมอง
คู่แข่งที่วิ่งไล่หลังขึ้นมา ทำให้เขาเสียจังหวะและ ถูกแซงไปในที่สุด

อ.เปาโล เตือนเราใน ฟีลิบปี 3:13-14
13ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว  
แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง   คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย   และโน้ม
ตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
14ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย   เพื่อจะได้รับรางวัล   ซึ่งใน
พระเยซูคริสต์พระเจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน   ให้เราไปรับ

หลายคนจมอยู่กับความเสียใจ กับสิ่งที่ผ่านมาและจมกับมัน การเสียใจ
คำนี้คำเดียวไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การเสียใจแบบที่ชอบพระทัยพระเจ้า กับ
ความเสียใจที่นำไปสู่ความตาย นั้นแตกต่างกัน

การเสียใจแบบที่ชอบพระทัย คือการเสียใจ ที่นำไปสู่การกลับใจ สารภาพ
และแก้ไขสิ่งผิด เพื่อจะก้าวต่อไปข้างหน้า

2 โครินธ์ 7:10 (11)
10เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบพระทัยพระเจ้า   ย่อมกระทำให้กลับใจใหม่  
ซึ่งนำไปถึงความรอดและไม่เป็นที่น่าเสียใจ   แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อม
นำไปถึงความตาย

เปโตร กลับใจจากการปฏิเสธพระคริสต์ เขาได้กลับสู่เส้นทางเดิม การปลอบประโลม
ส่วนยูดาส กลับใจแบบผิด และได้ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอ (นำสู่ความตาย)
แน่นอน ความล้มเหลวด้านศีลธรรม การตัดสินใจที่โล่เขลา บาปที่ตั้งใจทำ
ถ้าย้อนไปได้ เราคงไม่อยากให้มันเกิดขึ้นแน่นอน เมื่อเราถูกครอบงำให้ทำบาปและ
ถ้าเราไม่ต่อสู้ เราจะรู้สึกตัวว่ามันผิดต่อเมื่อเราทำไปแล้ว เมื่อซาตานสมปรารถนามัน
ก็ละจากเราไป ตอนนั้นแหละเราจึงรู้ตัวว่าผิด และมันก็จะทำให้เราดูย่ำแย่และตกต่ำ

แน่นอนเรากลับไปแก้ไขมันไม่ได้ เพราะเราไม่ใช้ตัวการ์ตูนโดราเอมอน ที่นั่งไทม์แมทชีน
ย้อนเวลากลับไปในอดีต แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะมากำหนดอนาคตของเรา

สุภาษิต 24:13-20
13บุตรชายของเราเอ๋ย  จงรับประทานน้ำผึ้งเพราะเป็นของดี  
และน้ำผึ้งที่หยดจากรวงนั้นมีรสหวาน  
14จงรู้เถอะว่าปัญญาก็เป็นเช่นนั้นแก่วิญญาณ  
ถ้าเจ้าพบปัญญา  ก็จะมีอนาคต  
และความหวังของเจ้าจะไม่ถูกตัดออก  
15อย่าหมอบคอยอย่างคนชั่วร้ายเพื่อต่อสู้กับที่อาศัย ของคนชอบธรรม  
อย่าทำทารุณแก่เรือนของเขา  
16เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้ว
ก็ลุกขึ้นอีก  
แต่คนชั่วร้ายจะถูกความลำบาก
ยากเย็นคว่ำลง  


โน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อรับเอารางวัล คืออนาคตที่ดีที่พระเจ้าจะประทานให้
เชื่อฟังพระองค์นั่นคือปัญญาอย่างแท้จริง นั่นต่างหากคืออนาคตที่ดีและ
เป็นความหวังของเรา ความหวังในพระเจ้าไม่ใช่ความหวังลมๆแล้งๆที่
จับต้องไม่ได้ ไม่ว่าคุณจะล้มลงอีกกี่ครั้ง ก็ลุกขึ้นอย่างมองไปข้างหลัง
แต่มองไปที่ข้างหน้า ตอนนี้คุณใกล้จะพบกับรางวัลนั้นแล้ว

ของคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิญญาณศาสนา (แบบคร่าวๆ)

วิญญาณศาสนา
(แบบคร่าวๆ)


ผมเคยได้ยินคำว่าวิญญาณศาสนามานานแต่ในตอนนั้น
ยังไม่มีใครที่จะสอนในเรื่องนี้ จะมีบ้างก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรและ
ก็ไม่ค่อยจะเข้าใจในตอนนั้น
เคยลองศึกษาและไปงานสัมนาต่างๆอ่านหนังสือ และประสบ
การณ์ส่วนตัวที่พระเจ้าสอนและเปิดเผยให้เรารู้ จึงอยากแบ่งปัน
ให้เพื่อนบ้าง
ครั้งหนึ่งผมเคยถูกกล่าวหาว่า "คุณมีวิญญาณศาสนา"
ถ้าเป็นคุณจะมีท่าทีอย่างไร ?ขอบคุณพระเจ้าไม่น่าเชื่อว่าผมสามารถ
สงบใจได้โดยที่ไม่รู้สึกขุ่นเคืองและแค้นใจเลย เมื่อพฤติกรรมของผม
เองที่เปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งช่วงหนึ่งผมเองเย็นๆกับพระเจ้าและใช้
ชีวิตแบบตามสบายของโลก ดูหนัง ติดคอมพิวเตอร์ ไปตามเรื่อง
แต่เมื่อผมพบว่าสิ่งนั้นมันดูมากเกินไปและต้องกลับใจในเรื่องแบบนี้
จึงปฏิวัติพฤติกรรมใหม่ทั้งหมด ทั้งอ่านพระคัมภีร์มากขึ้น อธิฐานมากขึ้น
นมัสการเมื่อมีเวลาว่างทั้งส่วนตัวและในคริสตจักร
การเข้าร่วมงานรับใช้ทุกอย่างที่คริสตจักรมี ซึ่งแน่นอนเมื่อมีคนที่พบ
เห็นและเกิดคำวิจารณ์ตามมา ผมไม่ได้พูดว่าใครผิดหรือใครถูก
ผมเปลี่ยนพฤติกรรมเพราะรู้สึกว่าบางสิ่งได้แย่งเอาความสัมพันธ์ของผม
กับพระเจ้าไปและชีวิตที่มันไม่มีไฟเลยทำให้ต้องกลับใจ ไม่ใช่ทำเพราะว่า
ให้คนอื่นเห็นว่าเราดูชอบธรรม จริงแล้วบทความนี้ไม่ใช้เป็นการแก้ตัว
แต่ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลจริงๆต่อเป้าหมายที่แท้จริงของพระ
เจ้าที่มีเพื่อเรา  ไม่มีใครจะมาตัดสินเราว่าเราเป็นอย่างไร ผู้ที่รู้ดีที่สุด
ว่าเราเป็นเช่นไร คือพระเจ้า พระวจนะของพระองค์คมและแทงทะลุ
กระทั่งไขในกระดูก ทุกมุมของชีวิตจะถูกตีแผ่ออกมา

เราจึงต้องสำรวจตัวเองว่าเราเองมีวิญญาณศาสนาหรือไม่? เพราะนั่น
เป็นวิญญาณที่ลอกเลียนแบบพระวิญญาณบริสุทธิ์

เราไม่ได้ทำแบบฟาริสี คือทำเพื่อให้คนเห็น และทำเพื่อภาพพจน์ของเราเอง
เพื่อเราจะดื่มด่ำกับความ หวานชื่นของคำชื่นชมและชมเชยต่างๆที่เข้ามา
ยกย่องจนเราล่องลอยขึ้นไป

และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรคือวิญญาณศาสนา
การที่เราจะรู้ว่าอะไรคือวิญญาณศาสนาคือเราต้องยอมรับว่าสิ่งนั้น
เป็นวิญญาณศาสนา ผมยอมรับว่าเคยมีวิญญาณศาสนา
ในสมัย10 กว่าปีก่อน ผมเคยถือพระคัมภีร์เล่มโตๆ ท่องพระคัมภีร์
หลายข้อ และแต่งตัวภูมิฐาน และผมมักดูถูกคนอื่นที่ไม่พกพา
พระคัมภีร์มา แถมแต่งตัวไม่ให้เกียรติพระเจ้าเลย
ผมคิดว่าการทำแบบนี้พระเจ้าจะพอพระทัย
ถ้ามีใครว่าผมตอนนั้น ผมคงไม่มีทางยอมรับแน่
ใครละจะยอมรับว่าตัวเองมีวิญญาณศาสนา มันดูเหมือนจะดี

ใครจะยอมรับตัวเองเป็นฟาริสีตัวโกงแห่งพระคัมภร์ มันคงเจ็บ
ปวดน่าดูถ้าเราต้องยอมรับสิ่งนั้น การพยายามทำให้พระเจ้า
พอพระทัย และต้องการยอมรับ สิ่งสำคัญคือยอมรับ

เมื่อเรายอมรับแล้วเราต้องรู้จักมัน ไม่ใช่การผูกมิตร แต่รู้จัก
ว่ามันทำงานอย่างไร คุณต้องแยกแยะว่าพระเจ้าเที่ยงแท้
กับพระเจ้าเทียม

ภาพยนต์เรื่องหนึ่งที่มีตัวก๊อบปี้พระเอกออกมาแต่แม้
ภายนอกรูปร่างจะเหมือนกัน และมีเป้าหมายที่เหมือน
กันแต่แอบแฝงไว้ด้วย กลโกงและกับดักที่เมื่อใครหลงเชื่อ
ก็คือติดกับและนำไปสู่ความตาย

วิญญาณศาสนาเก่งในเรื่องการเลียนแบบพระเจ้า คุณเคยเชื่อศาสนา
ใดมาก่อน นับถืออะไรมาก่อนมันจะผูกมัดคุณด้วยกฏเกณฑ์ทางศาสนา
ของคุณ ซึ่งนั่นไม่ใช่กฏเกณฑ์และพระประสงค์ของพระเจ้า ความแนบ
เนียนนี้แยบยลจนเรายากที่จะแยกออกได้ เราอาจจะกำลังถูกกักกันอยู่
ในคุกแห่งกฏเกณฑ์ พิธีกรรมทางศาสนา ทำให้เราเดินออกจากทาง
และหลงจากเป้าหมาย

มันหลอกเราทำให้เหมือนเราคิดว่าชีวิตเราได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วโดยรักษา
และคงไว้ซึ่งวิธีทางศาสนา ทำให้เราเคร่งศาสนา มองดูตนเองว่าทำแบบ
นี้แล้วดูชอบธรรม มีจิตวิญญาณที่ดีกว่าคนอื่นๆ

ฟาริสีเองก็เป็นตัวอย่างของวิญญาณศาสนาในพระคัมภีร์ ในเรื่องของ
ความหน้าซื่อใจคด ความเย่อหยิ่ง และคิดว่าตนเองชอบธรรมกว่าคนอื่นๆ
ในพระคัมภีร์เองพระเยซูต้องเผชิญกับวิญญาณศาสนาแบบนี้หลายครั้ง
ดังที่กล่าวมา คือวิญญาณศาสนาจะเปลี่ยนความจริงของพระเจ้า
และพระประสงค์ของพระองค์ให้เป็นกฏเกณฑ์ในศาสนา ความคุ้นเคย
ในศาสนาเดิมๆ ก่อนเราจะรู้จักกับพระเจ้า

เรามักได้ยินว่าพระเจ้าไม่ใช่ศาสนา การไปคริสตจักรนับเป็นสิ่งที่ดีแต่นั่น
ไม่ได้แสดงว่าเราเป็นคริสเตียนที่แท้จริงสิ่งที่พระเจ้าต้องการคือความ
สัมพันธ์กับพระองค์และสามาคีธรรมกันในพระกาย เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
วิญญาณศาสนาไม่ต้องการให้เรามีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เอวา อาดัมก็
โดนล่อลวงเช่นนี้ และนำความตายมาสู่มนุษย์ มันไม่ต้องการเห็นภาพ
การเป็นคริสตจักรเดียว การเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว

มันไม่กลัวการรับใช้พระเจ้าที่ปราศจากการดำเนินตามพระวิญญาณ
ผู้ใดไม่เชื่อพระวิญญาณ และรับใช้ตามเนื้อหนังของตัวเองก็เท่ากับ
ติดกับดักเข้าอย่างจัง วิญญาณศาสนาเคลือบแฝงการรับใช้แบบสุด
กำลังด้วยคำสรรเสริญ เยินยอ การยอมรับ เกียรติ และเพื่อจะได้รับ
ความโปรดปรานจากพระเจ้า
"ทำบุญมากๆก็ได้บุญมากๆ" เป็นต้น
สมัยเด็กผมจะถูกยายสอนว่า ทำตัวดีๆ พ่อจะได้รักมากๆ แต่ผมอยากให้เรารู้
ไว้ว่า พระเจ้าเองรักเราอยู่แล้วเราคือลูกของพระองค์แม้ขณะที่เรายังเป็นคน
บาปอยู่นั้น พระองค์ก็ส่งพระบุตรของพระองค์ มาตายแทนเรารับบาปของเราไป
การที่เราจะก้าวเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้าจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการพยายามทำ
และผลงานของเรา

"พระเจ้าโปรดให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ไม่ใช่ศาสนา และกฏต่างๆ"
โรม 10:2-3
"ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาว่า   เขามีความกระตือรือร้นที่จะปรนนิบัติพระเจ้า  
แต่หาได้เป็นตามปัญญาไม่ เพราะว่าเขาไม่รู้จักความชอบธรรมที่พระเจ้าประทานให้  
แต่อุตส่าห์ตั้งความชอบธรรมของตนขึ้น เขาจึงไม่ได้ยอมอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า
เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ   เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อได้รับ
ความชอบธรรม"

เราต้องประกาศการเป็นบุตรของพระเจ้า
เราต้องอธิฐานบอกกับพระเจ้าว่าเราต้องการพระองค์
เราต้องขอการทรงสถิตของพระเจ้าภายในเรา ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา
เราต้องรู้เสมอและพูดกับตัวเองว่าเราถูกสร้างมาแล้วตามพระฉายา
พร้อมกับเป้าหมายที่พระองค์วางไว้

ยังไม่สายเกินไปเมื่อเรายอมรับและกลับใจและกลับสู่จุดยืนเดิมฐานที่มั่นเดิม
ที่พระเจ้าประทานให้เราตั้งแต่แรก ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเตือนเรา
อย่าเสียเวลาต่อไปอีก อิสราเอลเป็นกระจกให้เราเห็นว่าเมื่อเรานำความ
คุ้นเคยเดิมๆ กฏเกณฑ์เดิมๆ วัฒนธรรมเดิมๆ ศาสนาเดิมๆ ติดตัวมา
และไม่ยอมทิ้งมันไป จะเกิดอะไรขึ้น เราคงไม่อยากเป็นแบบนั้นแน่นอน

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

บากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย

บากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย


วันหนึ่งได้ดูคลิปวิดีโอคลิปหนึ่ง ซึ่งเป็นการแสดงของนักเปียนโนจีนคนหนึ่ง
ชื่อ หลิว เหว่ย แต่ที่พิเศษที่สุดคือ เขาเล่นเปียนโนโดยใช้เท้าเล่น ก็เพราะเขา
ไม่มีแขนทั้งสองข้าง ในระหว่างบรรเลงทุกคนประทับใจจนน้ำตาไหล เพราะ
แค่เล่นธรรมดาด้วยมือทั้งสองข้างนี้ก็ยากพออยู่แล้ว นี่ใช้เท้าเล่นมันยากกว่า
หลายเท่าตัวนัก ตลอดจนกิจกรรมในชีวิตต่างๆ ทานอาหาร แปรงฟัน ขับรถ
ใช้คอมพิวเตอร์ ล้วนต้องใช้การฝึกฝน และความพยายามมาขึ้นอีกหลายเท่า
ตัว ด้วยอวัยวะที่ไม่คุ้นเคยนัก แต่เขาเหล่านี้ไม่เพียงแค่ หลิว เหว่ย มีรางวัล
ที่รอเค้าอยู่ข้างหน้าที่เค้าต้องบากบั่นที่จะมุ่งไปเอาและฉวยมาให้ได้

หลายคนที่เป็นแบบนี้ แต่ก็ท้อแท้ไปเพราะคิดว่าตัวเขาเองไร้ค่าไปเสียแล้วและ
ทุกสิ่งทุกอย่างได้จบลงไปเสียแล้ว กับความพิการที่เขาได้รับ เขาคงไปไม่ถึงจุด
หมายแน่นอน เพราะได้สูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป และหลายคนก็มุ่งเข้า  สู่
ความหมดหวัง

ฟีลิปปี 3:13-14
"ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว   แต่ข้าพเจ้าทำ
อย่างหนึ่ง   คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย   และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า
ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย   เพื่อจะได้รับรางวัล   ซึ่งในพระเยซูคริสต์พระ
เจ้าได้ทรงเรียกจากเบื้องบน   ให้เราไปรับ"

เราทุกคนอาจจะไม่ไเกิดมาในเส้นทางด้วยการปูพรมแดงที่ดูเลิศ และสวยงาม
การมาเชื่อพระเจ้า ไม่ใช่การมาเพื่อรับสิ่งที่เป็นของโลกนี้เพียงเท่านั้น แน่นอน
พระเจ้า ให้เราได้ แต่สำคัญนั้นคือรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นชีวิต เราต้องลืมสิ่ง
เก่าก่อนที่เราผ่านมา ชีวิตเก่าๆ ชีวิตเดิมๆ ความผิดหวัง การสูญเสียทุกอย่างที่
ผ่านมาในชีวิต ไม่ได้หมายความว่าเราจะหมดสิ้นทุกอย่าง ซาตานแย่งชิงและ
ใส่ความคิดที่ผิดๆเข้ามาในเรา เมื่อเราพบการสูญเสีย หรือประสบกับความทุก
ยาก พระคัมภีร์หนุนใจเราให้ก้าวต่อไป เดินต่อไปข้างหน้าเริ่มที่จะโน้มตัวและ
ออกจากทางแคบที่ยืนอยู่ เพื่อไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้านั้น

ชาวอิสราเอลเริ่มเดินออกไปเพื่อสู่เส้นชัยที่มีรางวัล เขาต้องพบการสูญเสีย ความ
ทุกข์ยาก มากมายเขาคาดหวังว่ามันจะราบรื่นและปูด้วยพรมแดง แต่ไม่มีเส้นชัย
ของกีฬาไหนที่ได้มาอย่างง่ายดาย เขาสูญเสียโอกาสนั้นเพราะว่า เขายอมแพ้แถม
ยังคิดด้วยที่จะกลับไปที่จุดเริ่มต้นใหม่ทั้งที่เกือบจะถึงเส้นชัยแห่งรางวัลอยู่แล้ว

หลิว เหว่ย ไม่ยอมแพ้แม้เขาจะสูญแขนทั้งสองข้างไป มันคงจะจบแล้วถ้าเขาคิด
มนุษย์คนไหนจะมีความสามารถในการใช้เท้าเล่นเปียนโนได้ และดีด้วยขนาดนี้
มันคงจบไปแล้วถ้าเขาคิดว่าคนพิการคงต้องนอนเฉยๆ หรือไม่ก็คอยหาคนช่วย
เหลือเพราะคิดว่าตนเองคงไปไม่ถึงไหนแน่นอน

เราหลายคนอาจจะพบเจอปัญหาและอุปสรรคที่ใหญ่โต แต่นี่เป็นการฝึกฝนที่เรา
ต้องผ่านไปให้ได้ โลกนี้เปรียบเหมือนโรงเรียนโลกที่เป็นลู่วิ่ง และเส้นชัยไม่ใช่ความ
สำเร็จในโลกนี้เท่านั้น แต่มันคือชีวิต และต่อจากชีวิตนี้คืออะไร คือการที่เราจะได้
รับถ้วยรางวัลจากพระเจ้า ที่พระองค์จะบอกเราว่า "ลูกเอ๋ยเก่งมาก พ่อภูมิใจเจ้ามาก"
มันเป็นรางวัลที่สุดยอดจริงๆ เราต้องผ่านข้อสอบของแต่ะคนที่ไม่เหมือนกัน เรามีข้อ
ทดสอบประจำตัวอยู่แล้ว พระเจ้าไม่ได้กลั่นแกล้งเรา แต่ถ้าเราผ่านสิ่งเหล่านี้ไปได้
เราก็เข้าสู่หลักชัยเพื่อคว้ารางวัลซึ่งพระเจ้าได้เรียกเราจากเบื้องบนผ่านพระเยซูคริสต์
ให้ไปรับ

ในฟีลิปปี 3:21
"พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา   ให้เหมือนพระกายอันทรงพระสิริ
ของพระองค์   ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์ปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของ
พระองค์"

http://www.youtube.com/watch?v=Rfc68gy_HIg&feature=related

คลิ๊กชม คลิปวีดีโอ หลิว เหว่ย

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

รื้อฟื้นพลับพลาดาวิด

รื้อฟื้นพลับพลาดาวิด


คำเผยฯของชัคเพียส ปี08

คำเผยฯของชัคเพียส 2 สค. 2010 พระเจ้ากำลังรื้อฟื้นพลับพลาดาวิด
พระเจ้ากำลังบุกเข้ามาในอาณาจักรแห่งแผ่นดินโลกนี้ในชั่วอายุของพวกเรา
คุณจะเห็น... พวกเราจะเป็นส่วนแห่งกองทัพพระเจ้าบนแผ่นดินโลกนี้
พวกเราจะเป็นคนงานร่วมกับกองทัพทูตสวรรค์ทั้งหลายแห่งฟ้าสวรรค์
ประกาศการครอบครองและชัยชนะเหนือบรรดาประชาชาติทั้งโลก
ปลดปล่อยการเก็บเกี่ยวทุ่งนาของพระเจ้าออกไปทั่วโลก
จะมีการสรรเสริญแบบรุนแรง ยูดาห์จะส่งเสียงคำรามดั่งสิงห์
พระเจ้ากำลังรื้อฟื้น “พลับพลาของดาวิด”ขึ้นใหม่
เพื่อเตรียมยุ้งฉางแห่งการเก็บเกี่ยว สำหรับอาณาจักรของพระองค์

พระธรรมอาโมส9:11-12
11“ในวันนั้น  เราจะยกกระท่อมของดาวิด  ที่ล้มลงแล้วนั้นตั้งขึ้นใหม่
และซ่อมช่องชำรุดต่างๆเสีย และยกที่ปรักหักพังขึ้น และสร้างเสียใหม่
อย่างในสมัยโบราณกาล  
12 เพื่อเขาจะได้ยึดกรรมสิทธิ์คนที่เหลืออยู่ของเอโดม   และประชาชาติ
ทั้งสิ้นซึ่งเขาเรียกด้วยนามของเรา”    พระเจ้าผู้ทรงกระทำเช่นนี้ตรัสดังนี้แหละ  

พระธรรมกิจการ15:16-18
16 'ภายหลังเราจะกลับมา   และเราจะสร้างพลับพลาของดาวิดซึ่งพังลงแล้วขึ้นใหม่  
ที่ร้างหักพังนั้นเราจะก่อขึ้นอีกและจะตั้งขึ้นใหม่ 17 เพื่อคนอื่นๆจะได้แสวงหาองค์พระ
ผู้เป็นเจ้า คือบรรดาคนต่างชาติซึ่งเราจองไว้   18 องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงแจ้งเหตุการณ์
เหล่านี้ให้ทราบแต่โบราณกาลได้ตรัสไว้แล้ว'  

ก่อนจะเข้าใจเรื่อง
พลับพลา ของดาวิด
เราจะต้องไปทำความเข้าใจ
พื้นฐานสำคัญของเรื่อง
พลับพลาโมเสส



ห้องวิสุทธิสถาน
มีส่วนประกอบข้างในสำคัญ  3 ชิ้น
ชิ้นที่ 1 คันประทีป 7กิ่ง
ชิ้นที่ 2 โต๊ะขนมปัง มีขนมปัง12ก้อน
ชิ้นที่ 3 แท่นเผาเครื่องหอม
ทั้ง3ชิ้น มีความหมายสำคัญที่จะต้องเข้าใจ



คันประทีป
ประกอบด้วย ตะเกียง 7ดวงอยู่บนคันประทีปที่มีกิ่ง 7กิ่ง
ปุโรหิตจะดูแล โดยการ ตัดแต่งใส้-เติมน้ำมันใส่ตะเกียงบน
คันประทีป เพื่อความสว่างในวิสุทธิสถานจะมีอย่างต่อเนื่อง
คันประทีป สื่อถึง  ชีวิตคริสเตียนที่มีไฟแห่งพระวิญญาณ
บริสุทธิ์อยู่ในชีวิตตลอดเวลา

มธ25:1-13
กล่าวถึง ตะเกียง-น้ำมันต้องเตรียมพร้อม หมายถึง ชีวิตที่มีการชำระและ
สนิทกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อจะมีความสว่างในชีวิต ขณะที่อยู่ในโลก
แห่งความกันดารที่เต็มไปด้วยการทดลองมากมาย

1“เมื่อถึงวันนั้น   แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือน   หญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียง
ของตน   ออกไปรับเจ้าบ่าว 2เป็นคนโง่ห้าคน   เป็นหญิงมีปัญญาห้าคน 3ฝ่ายคนโง่
นั้นเอาตะเกียงของตนไป   แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่ 4คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำ
มันใส่กาไปกับตะเกียงของตนด้วย 5เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่   ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป
6ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า   'เจ้าบ่าวมาแล้ว   จงออกมารับท่านเถิด'
7พวกหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน 8พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวก
ที่มีปัญญาว่า   'ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง   ตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว'
9พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า   'น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า   จงไปหาคนขาย  
ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า' 10เมื่อกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง   ผู้ที่พร้อมอยู่แล้ว  
ก็ได้ไปกับท่านในการเลี้ยงเนื่องในงานสมรสแล้วประตูก็ปิด 11ภายหลังหญิงพรหมจารี
อีกห้าคน   ก็มาร้องว่า   'ท่านเจ้าข้าๆ  ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย' 12ฝ่ายท่านตอบว่า  
'เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   เราไม่รู้จักท่าน' 13เหตุฉะนั้น   จงเฝ้าระวังอยู่  
เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น


โต๊ะขนมปัง
•ปุโรหิตจะต้องผลิตขนมปังไร้เชื้อมาเปลี่ยนใหม่ที่โต๊ะทุกวัน(เพราะถิ่นทุรกันดารอากาศร้อน ขนมปังจะหมดอายุเร็ว)
•พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต”(ยน6:35)
•คริสเตียนจึงจำเป็นต้องบริโภคเรื่องราวของพระเยซูทุกๆ วัน เพราะถ้าหากร่างกายต้องการอาหารทุกวัน จิตใจ-จิตวิญญาณก็ต้องอาหารฝ่ายวิญญาณด้วย
2ทธ3:16-17 กล่าวว่า
พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า
เป็นประโยชน์ในการสั่งสอน ตักเตือนว่ากล่าว ปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี
และอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะพรักพร้อม
ที่จะกระทำการดีทุกอย่าง



แท่นเผาเครื่องหอม
- ปุโรหิตที่เป็นเวรประจำจะต้องเข้าไปในวิสุทธิ์สถานถวายเครื่องหอม
- ปุโรหิตต้องมีตะเกียงจุดไฟเครื่องหอม หลังจากชำระกายสะอาดแล้วจะเข้าไปในห้องวิสุทธิ์สถานทำหน้าที่นี้ทุกวัน(อพย30:7-8)
จงให้อาโรนเผาเครื่องหอมบนแท่นนั้นทุกเวลาเช้า   เมื่อเขาแต่งประทีปก็จงเผาเครื่องหอมด้วย
8และในเวลาเย็นเมื่ออาโรนจุดประทีป   ให้เผาเครื่องหอมบนแท่นเป็นเครื่องหอม เนืองนิตย์ต่อ
พระพักตร์พระเจ้า   ตลอดชั่วชาติพันธุ์ของเจ้า 9แต่เครื่องหอมอย่างที่ห้าม   อย่าได้เผาบนแท่น
นั้นเลย   หรือเผาเครื่องเผาบูชา   หรือเครื่องธัญญบูชา  หรือเทเครื่องดื่มบูชาบนนั้น

- เครื่องหอม ที่ใช้เผาให้เป็นกลิ่นหอมถวายพระเจ้านั้น จะต้องปรุงแต่งด้วยเครื่องเทศและใช้
เฉพาะในวิหารสำหรับพระเจ้าเท่านั้น(อพย30:35-38)
35จงผสมเครื่องหอมปรุงตามศิลปช่างปรุงเจือด้วยเกลือให้เป็นของบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์
36จงเอาส่วนหนึ่งมาตำให้ละเอียด   และวางอีกส่วนหนึ่งไว้หน้าหีบพระโอวาท ในเต็นท์นัดพบ
ที่เราจะพบกับเจ้า   เครื่องหอมนั้นเจ้าจงถือว่าบริสุทธิ์ที่สุด 37เครื่องหอมที่เจ้ากระทำตามส่วนที่
ผสมนั้นเจ้าอย่าทำใช้ เองให้ถือว่านี่เป็นเครื่องหอมศักดิ์สิทธิ์แด่พระเจ้า 38ผู้ใดทำเครื่องเช่นนี้ไว้
ใช้เป็นน้ำหอม   ผู้นั้นต้องถูกอเปหิจากพวกพ้องของตน”

เครื่องหอม เล็งถึง การยกย่องสรรเสริญ ที่ถวายแด่พระเจ้า
เรื่องนมัสการสรรเสริญ-ยกย่อง-เทิดทูลนี้ พระเจ้าไม่อนุญาตให้นำไปใช้กับมนุษย์คนใด 
พระองค์สงวน เรื่องนี้สำหรับพระองค์เท่านั้น
 

อภิสุทธิสถาน
ห้องนี้ บางทีถูกเรียกว่า ห้องบริสุทธิ์ที่สุด หรือ ห้องชั้นใน
ห้องนี้ ถูกสงวนไว้สำหรับมหาปุหิตประจำปีนั้นๆ เท่านั้นที่จะเข้าไปเฝ้าพระเจ้าได้ ส่วนคนอื่นหมดสิทธิ์
เพราะหากใครบังอาจเข้าไปโดยพละการ จะต้องตาย(กดว16:2)
ต่อมาพระเจ้าทรงฉีกม่านที่กั้นห้องนี้ออก
ในวันสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เมื่อ2,000ปีที่ผ่านมา
หมายถึงห้องนี้ใครก็เข้าได้ หากเขานมัสการพระเจ้าแบบเดียวกับดาวิด
ผ่านกางเขน สามารถเข้าไปนั่งใกล้พระบาทพระเยซูได้เลยทุกเวลา



ณ พระที่นั่งกรุณา เป็นหัวใจสำคัญ
สัญลักษณ์ในหีบพันธสัญญานั้น สะท้อนถึงท่าทีของเราที่ยอมจำนนต่อพระพักตร์พระเจ้าเมื่อยามเข้าเฝ้าพระองค์
1.ไม้เท้าอาโรน สื่อถึง ยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้า(แบบเดียวกับคำยอมรับของเปโตรใน มธ16:16)

2.ศิลา 2 แผ่น สื่อถึง ยอมอยู่ภายใต้บัญญัติ2ข้อใหญ่ คือ
a)รักพระเจ้าสุดจิต-สุดใจ-สุดความคิด-สุดกำลัง
b)รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

3.โถใส่มานา สื่อถึง ยอมรับการเลี้ยงดูจากพระเจ้าในยามตกยากลำบาก เหมือนเดินในถิ่นทุรกันดาร



ความแตกต่างระหว่าง พลับพลา โมเสส กับ ดาวิด
โมเสส เน้นพิธีกรรม-การกระทำภายนอก
ดาวิด เน้นในเรื่องการใช้เพลง-คำสดุดี-ท่าทีในจิตใจ-จิตวิญญาณ  ท่านเน้นข้างใน
และพระเจ้าตรัสผ่าน พระธรรมอาโมส ว่า...
จะรื้อฟื้นการนมัสการส่วนนี้ของดาวิด

สำหรับดาวิด“การทรงสถิต”สำคัญสุด
ดาวิด บันทึกว่า“ข้าพเจ้าตั้งพระเจ้าไว้ตรงหน้าเสมอ”(สดด16:8)
“จิตวิญญาณของข้าฯกระหายหาพระเจ้า... ยิ่งกว่า...” (สดด42:2)
สดด127กล่าวว่า...
“ถ้าพระเจ้ามิได้เฝ้าอยู่เหนือนคร คนยามตื่นอยู่ก็ไม่มีประโยชน์”
1พศด13:5
ดาวิดปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเชิญ “หีบพันธสัญญา”
จากเมืองคีรียาทเยอาริม บ้านของอาบีนาดับ ให้ย้ายไปตั้งที่ เยรูซาเล็ม
เพื่อนำ“การทรงสถิต”ไปที่กรุงเยรูซาเล็ม

ใน 1พศด 23:2-5
ดาวิด ลงทุนสูงมากสำหรับการนมัสการ
ท่านใช้คน เลวี-ปุโรหิต ทั้งหมด 38,000คน
แบ่งออกเป็นแผนกๆ คือ
24,000คน ดูแลงานทั่วๆไปในพระวิหาร
6,000คน ดูแลงานด้าน บริหาร-จัดการ งานนมัสการ
4,000คน ดูแลงานด้าน เฝ้ายามประตู(การเข้า-ออก)
4,000คน ดูแลงาน ด้าน นักร้อง-นักดนตรี

เคลื่อนการทรงสถิตด้วยวิธีพระเจ้า
ดาวิด เชิญการทรงสถิต ด้วยโค-เกวียนชุดใหม่
ซึ่งไม่ใช่วิธีของพระเจ้า จึงไม่สำเร็จ
ท่านจึงทิ้ง หีบฯที่บ้านของโอเบดเอโดม 3เดือน
จากนั้น ท่านกลับไปเชิญใหม่อีกครั้ง
ด้วยวิธีของพระเจ้า คือ ใช้ปุโรหิต หามการทรงสถิตและดาวิดนมัสการด้วยตนเองแบบสุดชีวิต
พระเจ้าจึงทรงเคลื่อนไปประทับที่เยรูซาเล็ม

ดังนั้น
ให้เราอันเชิญการทรงสถิตของพระเจ้า
เข้ามาปกคลุมและสถาปนา ประเทศไทย
ด้วยการหามการทรงสถิต  โดยวิธีการของพระองค์
คือ  รื้อฟื้นการนมัสการแบบดาวิด
ให้นักร้องนักดนตรี ซึ่งเป็นเลวี-ปุโรหิต แห่งการสรรเสริญ
เปิดฟ้าสวรรค์ทั่วทุกภาคส่วนในแผ่นดินไทย



ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

เย็นไว้ก่อนพ่อสอนไว้

เย็นไว้ก่อนพ่อสอนไว้


"ใจเย็นๆ" เวลามีปัญหาเราได้รับคำหนุนใจเช่นนี้บ่อยๆ คำว่าใจเย็น คือใจเย็น
จริงๆ ไม่ใช่ เย็นชา หรือเยือกเย็นนะครับ เราเยือกเย็นในความโกรธ แต่ไม่เยือก
เย็นในพระเจ้า นะครับ
และไม่ใช่ เสแสร้งใจเย็น คือภายนอกดูสงบ แต่ภายในแตกซ่านไปด้วยความ
โกรธ จนเต็มพิกัด แต่ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่คิดจะใจเย็นเลย เราต้องพัฒนา ใจของ
เราให้สงบเย็นลง เมื่อไฟแห่งความโกรธกำลังสุมและก่อตัวขึ้น เราต้องไม่เติม
เชื้อเพลิงให้มันจนลุกลามต่อไปได้อีก

เราอาจจะไม่พอใจบางคนในพฤติกรรม การกระทำ จะเนื่องด้วยสาเหตุอะไรก็
แล้วแต่ จะเนื่องด้วย ใครผิดใครถูกก็ตาม อย่าให้อารมณ์ของเราพลุ่งพล่าน
เราต้องเชื่อเสมอว่า "คนใจเย็นจะมีชัยชนะ"

การอยู่ร่วมกัน และการมีปฏิสัมพันธ์กันนั้น จะหลีกหนีการมีความขัดแย้งกัน
ไม่ได้เลย หลีกออกมาก่อนที่จะมีการโต้แย้งกันด้วยอารมณ์ ความสัมพันธ์มัก
จะมีปัญหาและรอยร้าวตรงนี้ การพูดออกไปแบบไม่ยั้งคิด และการตั้งรับกับ
คำพูดที่ไม่ยั้งคิด เราจะรับมือได้ยังไง

สุภาษิต 17:27
"บุคคลที่ยับยั้งถ้อยคำของเขาเป็นคนมีความรู้  
และบุคคลผู้มีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ"


สำนวนใน Niv กล่าวว่า
"ผู้ที่มีความรู้ก็ระวังปาก ผู้ที่มีความเข้าใจก็ใจเย็น"

 


สุภาษิตเน้นให้เห็นผลดีหลายอย่างของการสงบปากสงบคำยั้ยยั้งคำพูด คือ
1. หยุดพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด
ถือว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุด หากคุณไม่มีอะไรที่ควรจะพูด

2. หยุดฟังเปิดโอกาสฟังและเรียนรู้
เพื่อเปิดโอกาสให้คุณได้ฟังและเรียนรู้

3. หยุดคิดและฟัง เพื่อเราจะมีถ้อยคำที่ควรจะพูดและเหมาะสม
มันจะทำให้เราดูฉลาดขึ้น จงหยุดคิดสักนิด นั่งคิดและฟัง เพื่อว่าคุณจะพูดแต่เรื่อง
สำคัญจริงๆเท่านั้น

บุคคลที่ยัยยั้งถ้อยคำก็มีความรู้ คือให้เราระมัดระวังความคิด ที่อาจจะสร้างความ
ไม่พอใจและขุ่นเคืองให้กับผู้อื่น เราอาจจะพูดโดยไม่คิด พูดเล่นหรือเสียดสี เหน็บ
แนม เอาปมด้วยผู้อื่นมาล้อเลียน เราไม่อาจจะรู้เลยว่า คำพูดที่เคยพูดแล้วเขาไม่โกรธ
ครั้งต่อมาคำพูดเดียวกันนี้อาจจะ ไม่เหมือนเดิม อาจจะเป็นคำพูดที่ทำให้เขาเจ็บปวด
มากก็เป็นได้ พระคัมภีร์บอกว่าคนฉลาดจะคิดก่อนพูดและจะแสดงความคิดเห็น
เฉพาะที่เป็นประโยชน์เท่านั้น

คำแนะนำในสุภาษิตสอนให้เราควบคุมอารมณ์เวลาที่เผชิญกับสิ่งต่างๆ ปัญหาที่รุมเร้า
ขึ้นมา "บุคคลที่มีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ" คนที่เป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณจะ
แสดงความเข้าใจจากภายในโดยการรักษาจิตใจให้สงบเยือกเย็น ท่ามกลางความขัดแย้ง
และทุกๆๆๆๆ ปัญหา การโต้ตอบสิ่งใดด้วยสภาพที่กำลังมีอารมณ์โกรธ การแก้ปัญหาจะ
ง่ายขึ้นกับการรู้จักควบคุมอารมณ์ให้คงที่

หากเรากำลังโกรธใครอยู่ มีปัญหากับผู้ใด หรือไม่พอใจใครนั้น หยุดคิดไว้ก่อน...............
และใครครวญด้วยการอธิษฐานสักพัก
จงทูลกับพระเจ้าในห้องลับส่วนตัวของเรากับพระเจ้า ให้เรามีจิตใจที่สงบ และขอประทาน
ถ้อยคำที่เหมาะสม ที่มาจากพระเจ้า จำไว้เสมอ "ใจเย็น"

1 เปโตร 5:8
"ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดีด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียน
อยู่รอบๆดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้"

ตอนนี้เตือนเราเช่นกัน สงบใจไว้ อย่ายอมพ่ายแพ้ การที่เราทำอะไรโดยขาดความยัยยั้ง
ออกไปก็คือการเปิดช่องว่างให้แก่ซาตานที่จะโจมตีเรา

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

พระคัมภีร์เพื่อการใคร่ครวญ
สุภาษิต 17:22-28
22ใจร่าเริงเป็นยาอย่างดี  
  แต่จิตใจที่หมดมานะทำให้กระดูกแห้ง  
 23คนชั่วร้ายรับสินบนจากอกเสื้อ  
  เพื่อผันแปรทางแห่งความยุติธรรม  
 24คนที่มีความเข้าใจมุ่งหน้าของเขาตรงไปสู่ปัญญา  
  แต่ตาของคนโง่อยู่ที่สุดปลาย
แผ่นดินโลก  
 25บุตรชายโง่เป็นที่โศกสลดแก่บิดา  
  และเป็นความขมขื่นแก่สตรีผู้ให้กำเนิด  
 26ที่จะปรับคนชอบธรรมก็ไม่ดี  
  ที่จะโบยคนดีก็ผิด  
 27บุคคลที่ยับยั้งถ้อยคำของเขาเป็นคนมีความรู้  
  และบุคคลผู้มีจิตใจเยือกเย็นเป็นคนมีความเข้าใจ  
 28ถึงคนโง่หากนิ่งเสียก็นับว่าเป็นคนฉลาด  
  เมื่อเขาหุบริมฝีปากของเขาก็นับว่าเขามีความคิด

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ก่อนวันลบมลทิน

ก่อนวันลบมลทิน


จากบทความก่อนนี้ ที่พระเจ้าเตรียมเราก่อนเข้าสู่เดือน Tishrei ซึ่งเป็นเดือนเริ่ม
ต้นปีใหม่ 5771 นั้น เรากำลังอยู่ในเดือน Elul ซึ่งในเดือน Tishrei นั้นจะมีสิ่ง
สำคัญคือเทศกาล 3 เทศกาล คือ
- เทศกาลเป่าเขาสัตว์
- วันลบมลทินบาป
- เทศกาลอยู่เพิง

ในบทความนี้ผมจึงอยากเตรียมเราเพื่อเข้าสู่ วันลบมลทินบาปนั่นเอง ในเดือนนี้
Elul เป็นเดือนแห่งการตรวจสอบและการพิจารณาตัวเองถึงสิ่งที่ผ่านมา นอกจาก
นี้ยังเป็นเดือนแห่งการใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า พระเจ้านั้นบริสุทธิ์เราต้องชำระ
และยอมรับในความบาปที่เราทำที่ผ่านมา พิจารณาถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

นอกจากนี้ความหมายของเดือนนี้ยังหมายถึงการยกโทษ และการให้อภัย ซึ่งมีเป้า
หมายเช่นเดียวกันคือ ตรวจสอบตัวเอง เพราะพระองค์ต้องการให้เราเข้าใกล้พระองค์
มากที่สุด พระองค์ที่เป็นองค์บริสุทธิ์

ในสมัยก่อนนั้นวันที่บริสุทธิ์ที่สุดของชาวอิสราเอลในรอบปีคือ ยมคิปปูร์ (Yom Kippur)
หรือวันลบมลทินบาป ซึ่งในวันนี้นั้น ชาวอิสราเอลจะขอการอภัยโทษ ความบาปผิดที่ได้
ทำมาต่อพระเจ้า ทั้งบาปที่ได้ทำเป็นการส่วนตัว ในที่ลับ หรือบาปของประเทศทั้งประเทศ
เช่น ครั้งที่อิสเราเอลไหว้รูปเคารพ ในถิ่นทุรกันดาร

แต่ก่อนวันลบมลทินบาป ก่อน Yom Kippur นั้นคือวัน Erev Yom Kippur เออฟยมคิปปูร์
ซึ่งวันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะขอการอภัยโทษความผิดบาป จากผู้อื่นก่อนที่วัน ยมคิปปูร์
จะมาถึง การที่จะกระทำเช่นนี้มีความหมายที่สำคัญในความคิดของชาวอิสราเอลมากเนื่อง
จากเขาเชื่อว่า ต้องขอการอภัยจากผู้อื่นก่อน จึงจะขอการอภัยโทษจากพระเจ้าได้ และผู้นั้น
ก็ต้องยกโทษให้กับผู้ที่มาขอการอภัยด้วย

ในวันนี้ ตอนนี้พระเจ้าก็เรียกให้เราทำเช่นเดียวกันนี้ คือเราต้องขออภัยจากผู้อื่น มันยากแน่
นอน เพราะมันเป็นทางแคบที่เราต้องผ่านไป แต่เราถ่อมใจลง ลดตัวลงมา พระเยซูตรัสว่า
เราต้องจัดการเรื่องขัดเคืองของเรากับผู้อื่นก่อน เราจึงจะนมัสการพระองค์ได้อย่างสิ้นสุด
จิตสุดใจได้

มัทธิว 5:23-24
"เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว   และระลึกขึ้นได้ว่า   พี่น้องมีเหตุขัด
เคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา   กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้น
เสียก่อน   แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน"

อย่าคิดว่านี่ไม่สำคัญ หลายคนมีความขุ่นเคืองกัน ซึ่งในความหมายก็คือในกายเดียวกัน
เป็นเวลาที่เราจะสำรวจตัวเองจริงๆ ลองมองดูในกระจกที่เที่ยงธรรม และยอมรับมัน ยอม
รับในสิ่งที่สะท้อนออกมาและเราเห็นว่ามันไม่เหมาะสม เมื่อพระวิญญาณเตือนเรา ให้เรา
เชื่อฟังและยอมรับ ถ่อมใจลง เพราะโอกาสที่เราจะได้นมัสการพระเจ้าอย่างแท้จริงอาจจะ
ถูกปิดกั้นไว้เนื่องจาก ความสัมพันธ์ที่แตกร้าว ขุ่นเคืองเพราะการกระทำ ทัศนคติ คำพูดผิดๆ
และไม่ควรของเรา และอีกหลายอย่าง

ให้เรามีความคิดที่ต้องพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อคืนดีกับผู้อื่น และพี่น้องกันเสียแต่วันนี้ ก่อน
จะถึงวัน Erev Yom Kippur เออฟยมคิปปูร์ นั้นให้เราขอการอภัยและคืนดีกับผู้ที่เราขัดเคือง

สำหรับผมเองแล้ว สิ่งที่ผมมั่นใจว่ามาจากพระเจ้า เพราะเมื่อเชื่อฟังแล้ว ส่วนตัวเราดีขึ้นจริง
นั่นคือ การขอการให้อภัยของเรานั้น แม้เราจะผิดหรือจะถูก ก็ให้เราถ่อมใจเพื่อเห็นแก่พระคริสต์

"และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์เหมือน
ข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น"
มัทธิว 6:12

"จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกันและถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราว
ต่อกันก็จงยกโทษให้กันและกันองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรด
ยกโทษให้ท่านฉันใดท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน"
โคโลสี 3:13

มัทธิว 5:21-26
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า   อย่าฆ่าคน   ถ้าผู้ใดฆ่าคน   ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ
เราบอกท่านทั้งหลายว่า   ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน   ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ   ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า  
'อ้ายโง่'   ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า   'อ้ายบ้า'   ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก
เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว   และระลึกขึ้นได้ว่า   พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน
จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา   กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน   แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน
จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล   เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา   แล้วผู้
พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม   และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า   ท่านจะออกจาก
ที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ"

พระคัมภีร์ เกี่ยวข้อง Yom Kippur
เลวีนิติ 16:29
“ให้เป็นกฎเกณฑ์ถาวรแก่เจ้าทั้งหลายว่า ในวันที่สิบเดือนที่เจ็ด   เจ้าต้องบังคับใจตนเองไม่กระทำการ
งานสิ่งใด   ทั้งตัวชาวเมืองเองหรือคนต่างด้าวที่อาศัยอยู่ท่ามกลางเจ้า"

เลวีนิติ 23:27
“ในวันที่สิบของเดือนที่เจ็ดนี้เป็นวันทำการลบ มลทิน   จะเป็นวันประชุมบริสุทธิ์แก่เจ้า 
และเจ้าจงบังคับใจตนเอง   และนำเครื่องบูชาด้วยไฟถวายแด่พระเจ้า"

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คำเตือน

คำเตือน


วันหนึ่งผมไปค้นหาหนังคริสเตียนเรื่องหนึ่งชื่อ "Fireproof" และไปสอบถามที่ร้านวิดีโอที่ไม่มี
ชื่อร้านหนึ่ง เพราะใกล้บ้านที่สุด เมื่อพนักงานถามว่า พี่จะเอาหนังพิเศษ หรือเปล่า ผมตอบ
"ไม่เอาครับ" และเดินหาเรื่องที่ต้องการต่อไป ต่อมาชายคนหนึ่ง เดินเข้ามาในร้านและต้องการ
หนังพิเศษอย่างว่า และร้องขอปกของร้านมาเลือก ผมแทบจะออกจากร้านทันทีที่เห็น ปกหนัง
พิเศษจำนวนมาก 5 ปึกหนาๆ วางเรียงรายให้ลูกค้าเลือก

ไม่แค่นั้น ตามตลาดก็เช่นกัน มีอยู่แทบจะทุกร้านและหาซื้อได้ง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่ใน อินเตอร์เน็ต
ที่มีขายกันเกลื่อน แถมผู้ที่รู้แหล่งก็สามารถหาโหลดได้ไม่ยาก แม้แต่ผมเองยังได้รับโฆษณามาใน
อีเมลล์ สื่อเหล่านี้เมื่อก่อนหาได้ยากมากและมีอย่างลับๆเฉพาะคนและเฉพาะกลุ่มเท่านั้น แต่ปัจจุ
บันกลับแพร่หลายและเปิดเผย สถิติที่ออกมา สิ่งและสื่อเหล่านี้ได้ทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว
ผู้นำที่เป็นคริสเตียนเองหลายคนก็ล้มเหลวในเรื่องนี้ มันเป็นสิ่งยั่วยัว

เราต้องไม่เล่นกับมัน มันยากสำหรับเรื่องแบบนี้แต่เราต้องฝ่าฟันมันไปให้ได้ ถ้าเราตั้งใจและสารภาพ
พระเจ้าจะช่วยเรา แต่ถ้าเราปล่อยตัวตามเนื้อหนัง เราก็จะได้รับการพิพากษาในเรื่องนี้

คำเตือนสำหรับคนหนุ่มใน 1 ยอห์น 2:12-17 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก   คือตัณหาของเนื้อหนัง
และตัณหาของตา
- ตัณหาเนื้อหนัง
การตอบสนองของความต้องการฝ่ายโลก ทางกายที่ไม่รู้จักพอเพียง และมิได้ยับยั้ง
แต่กลับปล่อยตัวให้ถลำลึกเข้าไปตามความปรณถนาที่ยั่วยวน เหมือนสิงห์ที่กำลังจ้องจะตะครุบเรา
ได้เม่าไรก็ไม่มีวันพอ

- ตัณหาตา
ตาที่คอยมองหา เพื่อครอบครองสิ่งต่างๆในโลกนี้ ยิ่งได้มาก็ยิ่งไม่เพียงพอ หาที่เสาะหาสิ่งยั่วยวน
ที่ไม่รู้จักพอ สื่อลามกต่างๆ ที่เนื้อหนังต้องการกิน

- ทะนงในลาภยศ
ความเย่อหยิ่ง และคิดถือตัวที่กระหายการยกย่องจากมนุษย์ด้วยกัน และต้องการอยู่ตลอด พยายาม
ทำทุกวิถีทางเพื่อได้รับซึ่งคำยอย่อง และก็กินมันอย่างเมามัน จนลืมตัวและหลงตัวเอง

สิ่งเหล่านี้เป็นตัวทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า พระองค์ถือว่ามันคือรูปเคารพที่เป็นชู้ และ
นำเราให้ห่างจากพระองค์ เราต้องเข้าใจว่า พระเจ้าเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ และสะอิดสะเอียนในความ
บาป แบบที่อิสราเอล เล่นชู้ซ้ำแล้วซ้ำอีกในถิ่นทุรกันดารนั้น เขายึดติดกับเนื้อหนัง ความต้องกสรและ
การตอบสนองแบบทันทีทันใด ให้ทันใจเขา และก็หันไปหาพระอื่นที่ไม่ใช่พระเจ้า สุดท้ายเขาไม่เหลือ
อะไรเลย แต่ผู้ที่ทนทุกข์และอดทนเพื่อพระองค์ คือให้พระองค์เป็นหนึ่งในชีวิต พระพรต่างๆก็จะตาม
มาอย่างมากมาย เราต้องเลือกที่จะไม่สนองตัณหาที่ปรารถนาอย่างไม่มีวันเพียงพอ แต่เราต้องแสวง
หาความจริงแท้ คือการที่เราเข้าใจความรักของพระองค์และมอบความรักของเราที่มีให้กับพระองค์
ซึ่งเป็นพระเจ้านิรันดร์และจะไม่มีพระไหนมาเทียบพระองค์ได้อีก

เราต้องมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้อง คือเข้าใจความรักของพระองค์ พระเจ้ากำลังจะทำลายสิ่งเหล่านั้น
ในเวลาอันใกล้นี้ นี่เป็นคำเตือนให้เราแยกตัวออกมา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเตือนเรา เพื่อเราจะบริสุทธิ์
โลกจะล่วงไปรวมถึงสิ่งชั่วร้ายต่างๆ แต่เราจะอยู่กับพระองค์เป็ยนิตย์

1 ยอห์น 2:15-19
อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก   ถ้าผู้ใดรักโลก   ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก   คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา   และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา   แต่เกิดมา  จากโลก 17และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป   แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์  

18ลูกทั้งหลายเอ๋ย   บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว   และตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาว่า   ปฏิปักษ์ของพระคริสต์จะมีมา   บัดนี้ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ก็มีมามากแล้ว   ฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว 19เขาเหล่านั้นได้ออกไปจากพวกเรา   แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่พวกเรา   เพราะว่าถ้าเขาเป็นพวกของเรา   เขาก็จะอยู่กับ เราต่อไป   แต่เขาได้ออกไปแล้ว   ซึ่งก็เป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่าเขาเหล่านั้นหาใช่พวกของเราไม่

ในพระเยซูคริสต์เราจะมีชัยชนะ อย่าให้เราโดนหลอกในการเผชิญหน้าที่ไม่ถูกต้อง การหนีจากตัณหา
ต่างๆไม่ได้หมายถึงคุณขี้ขลาดหรือพ่ายแพ้ แต่นั่นคือชัยชนะที่คุณตั้งใจจะยืนหยัดความบริสุทธิ์ไว้เพื่อ
พระองค์ คือพระเจ้าของเรา
โยเซฟเองได้วิ่งหนี และไม่พยายามที่จะเผชิญหน้ากับกับดักที่ล่อลวงเข้าให้ผิศีลธรรมทางเพศ แม้สิ่ง
ที่เขาได้รับจะเป็นความเข้าใจผิดและติดคุก แต่แผนการณ์ของพระเจ้าสุดล้ำลึกนัก สิ่งที่เขาได้รับใน
ตอนจบนั้นคือความมั่งคั่งที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่การพยายามดิ้นรนด้วยตนเอง

ตัณหาราคะและสิ่งยั่วยวนของโลกนี้กำลังจะผ่านไปเพราะมันไม่ยั่งยืน แต่การอดทนเพื่อพระคริสต์ และยึดที่จะประพฤติตามพระทัยของพระองค์ จะดำรงค์อยู่เป็นนิตย์

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

งานเลี้ยงความทุกข์

งานเลี้ยงความทุกข์


ผมเคยไปร่วมงานไว้ทุกข์ให้แบคนที่เสียชีวิต ของชาวพุทธ เนื่องจากเราเอง
รู้จักพระเจ้ามานานและไม่เคยข้องแวะไปเกี่ยวข้องกับงานแบบนี้สักเท่าใด
เมื่อถึงคราวที่จำเป็นต้องไป บรรยากาศในงาน มันช่างเศร้าโศกนัก มันอึด
อัดจนบอกไม่ถูก ทั้งกลิ่นธูป ทั้งเสียงสวดที่ฟังแล้วโศกเศร้ายิ่งนักมีเพลง
ธรรณีกรรแสงที่แสนจะลากเอาความเศร้าออกมาให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก

จริงอยู่มันคือการสูญเสียบุคลที่เรารักไปแบบไม่มีวันที่เราจะได้พบกันอีก
แล้วในโลกใบนี้และในสภาพของเนื้อหนังมังสา และมันคือการสูญเสีย
ครั้งสำคัญที่สุดในชีวิต

แต่เราเองที่เชื่อในพระเจ้า นั่นคือการที่เราได้พบและอยู่เคียงข้างกับพระองค์
ในสวรรค์จะจัดงานฉลองอันยิ่งใหญ่ที่จะรอต้อนรับเรา

รุ่นพี่คริสเตียนของผมเคยพูดว่า ถ้าเค้าต้องเสียบุคลอันเป็นที่รักในครอบครัวไป
ในงานไว้ทุกข์เราจะจัดงานเฉลิมฉลอง และประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า

ผมฟังครั้งแรกนานมาแล้ว ผมคิดในใจว่า "นี่มันคงบ้าไปแล้ว"
แต่นั่นเป็นความคิดที่ผมต้องกลับใจ ของตัวเองในเวลาต่อมา เรามักจะเฉลิมฉลอง
เมื่อถึงเวลาของความสุข การเฉลิมฉลองสำหรับเราคือการที่เราได้นมัสการและยก
ย่องพระเจ้า เกียรติ พระสิริ คำสดุดี ปัญญา ฤทธาและกำลัง เป็นของพระองค์
แต่เมื่อใดที่เรามีความทุกล่ะ เราจะยังเฉลิมฉลองร่อมกันกับพระองค์ได้หรือไม่

ครั้งหนึ่งเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมาที่ผมจีบผู้หญิงคนหนึ่งไม่ติด เธอปฏิเสธในการคบหา
เป็นแฟนกันกับผม ในคืนนั้นเอง เมื่อมีงานเฉลิมฉลองนมัสการที่คริสตจักร ผมไม่สามารถ
จะนมัสการพระองค์ได้เลยเพราะผมคิดว่า เมื่อพระเจ้าไม่ให้ผมสมหวัง ทำไมผมต้องนมัส
การพระองค์

ในภาพยนต์เรื่อง "Facing the Giant" ประโยคสนทนาตอนหนึ่งที่โค้ช อเมริกันฟุตบอล
และลูกทีมอธิฐานก่อนออกจากห้องพักนักีฬาว่า "ลูกชนะลูกก็ขอบพระคุณพระองค์ ลูกแพ้
ลูกก็จะขอบพระคุณพระองค์"

ใน 1 เธสะโลนิกา 5:18
"จงขอบพระคุณในทุกกรณี   เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า   ซึ่งปรากฏอยู่ในพระ
เยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย"

โลกนี้สอนให้เรา ขอบคุณเฉพาะคนที่ดีกับเรา พระเจ้าให้เรารักศัตรูได้เช่นกัน แม้คนนั้นจะ
ไม่น่ารัก

ตอนเป็นเด็กแม้ผมจะไม่ได้ของขวัญจากแม่ในปีเดียว ผมอาจจะโกรธแม่และไม่พูดกับแม่
อีกเลยหลายวัน แต่เมื่อผมลองนั่งนับ ของขวัญที่แม่ซื้อให้รอบตัวในห้อง ผมร้องไห้ด้วยความ
เสียใจ เพราะมันมากเหลือเกินที่แม่ให้เรามา

เราเคยนับพระพรที่พระเจ้าให้กับเรามา หรือยัง เราเคยรื้อฟื้นความเชื่อในพระเจ้าผู้จัดเตรียม
อนาคตของเราโดยพระหัตถ์ของพระองค์หรือไม่

ในสดุดี ดาวิดได้นับพระพรของเขา เมื่ออยู่ในช่วงเวลาที่ลำบาก และเขาก็ได้หลุดพ้นจากความ
สิ้นหวัง และเปลี่ยนเป็นสรรเสริญพระเจ้าว่า "พระองค์ได้เปลี่ยนการไว้ทุกข์เป็นการเต้นรำ"

สดุดี 30:11
"สำหรับข้าพระองค์  พระองค์ทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์ เป็นการเต้นรำ  
 พระองค์ทรงแก้เสื้อผ้ากระสอบของข้าพระองค์ออก  
 และทรงคาดเอวข้าพระองค์ด้วยความยินดี"

ในเวลาที่เราสิ้นหวังสุดๆ ไม่มีที่พึ่งพิงจากที่ไหน เราจะยอมรับได้ง่ายขึ้นถ้าเรามีความสัมพันธ์
ที่ดีกับพระเจ้า มารซาตานที่กำลังดื่มด่ำความทุกข์ยากของเราอย่างเมามัน อาจดูเหมือนถือไพ่
เหนือเรา แต่สุดท้ายความรักและการปลอบประโลมของพระองค์จะมีชัยชนะ เราจะลุกขึ้นใหม่
ได้เพราะพระเจ้ารักษาชีวิตเราไว้

คุณอาจกำลังเจอเหตุการณ์นี้อยู่ ลองเฉลิมฉลองเพื่อนับพระพรของพระเจ้าที่ผ่านมาที่เราได้รับ
ลองมองย้อนกลับไปยังมีพระสัญญาแห่งความชื่นชมยินดี รอเราอยู่ในอนาคต จงวางใจในพระเจ้า
แม้ในเหตุการณ์ที่เราสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เราหวังใจในพระเจ้าองค์นี้ได้เสมอว่าจะประทาน
ความชื่นชมยินดี ลงมาท่ามกลางความโศกเศร้า

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship
บทความเชื่มโยง และเกี่ยวข้อง
http://missionkorat.blogspot.com/2010/07/blog-post_16.html

พระคัมภีร์ใคร่ครวญ
สดุดี 30
1ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์จะยอ   พระเกียรติพระองค์  
 เพราะพระองค์ทรงดึงข้าพระองค์ขึ้นมา  
 และมิได้ทรงให้คู่อริของข้าพระองค์ เปรมปรีดิ์เพราะข้าพระองค์  
 2ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์   ข้าพระองค์ร้องทูลขอความอุปถัมภ์จากพระองค์  
 และพระองค์ได้ทรงรักษาข้าพระองค์ให้หาย  
 3ข้าแต่พระเจ้า   พระองค์ทรงนำจิตวิญญาณของข้าพระองค์ขึ้นมาจากแดนผู้ตาย  
 ทรงให้ข้าพระองค์มีชีวิต   จึงไม่ต้องลงไปสู่ปากแดน  
 4ท่านธรรมิกชนของพระองค์เอ๋ย   จงร้องสรรเสริญพระเจ้า  
 และถวายโมทนาแก่พระนามบริสุทธิ์ของพระองค์  
 5เพราะพระพิโรธของพระองค์นั้นเป็นแต่ชั่วขณะหนึ่ง  
 และความโปรดปรานของพระองค์นั้นตลอดชีวิต  
 การร้องไห้อาจจะอ้อยอิ่งอยู่สักคืนหนึ่ง  
 แต่ความชื่นบานจะมาเวลาเช้า  
 6ส่วนข้าพระองค์  ข้าพระองค์พูด ในความเจริญรุ่งเรืองของข้าพระองค์ว่า  
 “ข้าพเจ้าจะไม่หวั่นไหวเลย”  
 7ข้าแต่พระเจ้า  โดยความโปรดปรานของพระองค์  
 พระองค์ทรงสถาปนาข้าพระองค์ไว้อย่างภูเขาเข้มแข็ง  
  พอพระองค์ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์  
 ข้าพระองค์ก็ลำบากใจ  
 8ข้าแต่พระเจ้า  ข้าพระองค์ร้องทูลต่อพระองค์  
 และข้าพระองค์ได้วิงวอนพระเจ้าว่า  
 9“ถ้าข้าพระองค์ตาย   พระองค์จะได้กำไรอะไร  
 คือเมื่อข้าพระองค์ลงไปยังปากแดนผู้ตาย  
 ผงคลีจะสรรเสริญพระองค์หรือ  
 มันจะบอกเล่าเรื่องความสัตย์จริงของพระองค์หรือ  
 10ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงสดับและทรง   พระกรุณาต่อข้าพระองค์  
 ข้าแต่พระเจ้า  ขอทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ของข้าพระองค์”  
 11สำหรับข้าพระองค์  พระองค์ทรงเปลี่ยนการไว้ทุกข์ เป็นการเต้นรำ  
 พระองค์ทรงแก้เสื้อผ้ากระสอบของข้าพระองค์ออก  
 และทรงคาดเอวข้าพระองค์ด้วยความยินดี  
 12เพื่อจิตวิญญาณของข้าพระองค์จะสรรเสริญ พระองค์และไม่นิ่งเงียบ  
  ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์  
ข้าพระองค์จะถวายโมทนา   แด่พระองค์เป็นนิตย์
                        
พระองค์เปลี่ยนความโศก   กลับเป็นเต้นโลดยินดี     ทรงยกความเศร้าทิ้งไป
ข้าไม่อาจนิ่งอยู่    จึงต้องร้องเพลงด้วยความยินดี 

ความเจ็บช้ำ  ที่เราเคยมี      พระองค์ทรง  เป็นเพื่อนปลอบโยน
ความปวดร้าว  ที่เราเคยมี      ทรงรักษา  ด้วยหัตถ์พระองค์

ความรักพระองค์ช่างแสนงดงาม     ดังแสงทองในยามเช้า
ความมืดได้หาย  ไปจากใจเรา
เปลี่ยนเป็นความ ชื่นชม  และยินดีภายในใจ


ทรงเปลี่ยนความเศร้าโศกและการคร่ำครวญ   
เป็นความชื่นชมยินดีและเริงรื่น
แทนความท้อใจเป็นบทเพลงสรรเสริญ
เต็มด้วยน้ำมันแห่งความเปรมปรีดิ์

เพื่อคนทั้งหลายจะเรียกเราว่าเป็น
ต้นไม้แห่งความชอบธรรม
เพื่อพระเกียรติเป็น    ของพระองค์
เพื่อคนทั้งหลายจะเรียกเราว่าเป็น
ต้นไม้แห่งความชอบธรรม
เพื่อพระเกียรติเป็น    ของพระองค์

เมื่อความสุขสำราญผ่านมาทางใจของข้า
เมื่อทุกข์ทรมานพัดผ่านมา
ไม่ว่าเกิดเหตุใดพระองค์สอนให้พูดว่า
วิญญาณข้า สุขสบาย สุขหรรษา

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553

คำว่า "อาจารย์"

คำว่า "อาจารย์"


สมัยที่ผมเรียนนั้น คำว่า "อาจารย์" นั้นเป็นคำที่ถูกปลูกฝังว่าจะเหมาะกับคนที่เหมาะสม
ความประพฤติดี และเป็นแม่แบบแก่ลูกศิษย์ แต่อาจารย์บางคนที่ ผมเห็นนั้น ไม่ได้เป็น
แม่แบบที่ดีให้แก่พวกเราเลย ทั้งดื่มเหล้า สูบบุหรี่ วาจาหยาบคาย นินทา และอีกหลาย
อย่าง แต่เมื่อเขาสอนเขาสอนให้ดีได้ แต่ตัวเองกลับประพฤติแบบนั้นไม่ได้

อาจารย์เหล่านั้น หลงในตำแหน่งที่ตัวเองมี เขามีอำนาจในโรงเรียน และบางครั้งเขาก็ใช้
อำนาจนั้นในทางที่ผิด และไม่ถูกไม่ควร (ผมหมายถึงอาจารย์บางคนเท่านั้น)

อาจารย์ที่ดีมีเยอะแยะมากมายแต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอาจารย์ที่ไม่ดี เขาขาดความรับผิดชอบ
ต่อหน้าที่ที่เขาได้รับ

ผมพึ่งเริ่มรับใช้ เริ่มรับใช้ในทีมนมัสการ เริ่มสอนเด็กรวีในชั้นเด็กเล็ก เริ่มเทศนาในคริสตจักร
และสอนผู้เชื่อใหม่ในชั้นเรียนตอนบ่าย หลายคนเรียกผมว่าอาจารย์ และคำนี้ทำให้ผมคิด
ทบทวนบางสิ่งบางอย่าง เพื่อไม่ให้ตัวเองหลงและอวดในตัวเอง ในอนาคต

คำๆนี้หลายคนอาจคิดว่า เรียกก็เรียกไปไม่สำคัญ หลายคนชอบที่จะถูกเรียกว่าอาจารย์ และ
หลายคนก็กลัวที่จะถูกเรียกว่าอาจารย์ ในความเป็นจริงแล้ว จะถูกเรียกว่า อาจารย์ หรือไม่นั้น
ไม่สำคัญเท่ากับท่าทีภายในของเราเอง

ยากอบ 3:1
"ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า   อย่าให้เป็นอาจารย์กันมากหลายคนเลย   เพราะท่านก็รู้ว่า  
เราทั้งหลายที่เป็นผู้สอนนั้น   จะได้รับการทรงพิพากษาที่เข้มงวดกว่าผู้อื่น"

พระคัมภีร์ตอนนี้กำลังเตือนเราว่า คำว่า อาจารย์ ที่เราแบกรับอยู่นั้น คือการเป็นผู้สอน
ต้องได้รับการพิพากษาจากพระเจ้าเข้มงวดกว่าคนอื่นๆ

พระคัมภีร์เปรียบเทียบว่า คำเสรรเสริญและคำแช่งด่าจะออกมาจากปากเดียวกันได้หรือ
เหมือนกับ บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย มะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้
หรือ   หรือเถาองุ่นจะออกผลเป็นมะเดื่อได้อย่างไร    เช่นเดียวกันกับ ลิ้นที่เราทั้งหลายสรรเสริญ
องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น   และด้วยลิ้นนั้นเราก็ใช้ในการแช่งด่ามนุษย์ด้วยกัน
เอง   ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์ ซึ่งพระองค์ไม่เคยที่จะใช้ลิ้นในทางชั่ว
ตอนต่อมาในพระคัมภีร์พูดว่า ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา   ก็ให้ผู้นั้นแสดงการ
ประพฤติของตนด้วยพฤติกรรมอันดี   มีใจอ่อนสุภาพประกอบด้วยปัญญา แต่ถ้าท่านรู้สึกขมขื่น
เพราะมีใจริษยาและมักใหญ่ใฝ่สูง   ก็อย่าโอ้อวดและอย่าทรยศต่อความจริง

นี่คือบุคลิกภาพที่ครูหรืออาจารย์ควรจะมี เราต้องมีบุคลิกภาพอย่างพระเจ้า ตามพระฉายาของ
พระองค์ พระเจ้าเป็นครูที่ยอดเยี่ยม การที่เราเป็นอาจารย์ เราต้องสอนด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ปัญญา
ของมนุษย์ แต่เป็นปัญญาจากเบื้องบน เพราะปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก   แล้ว
จึงเป็นความสงบสุข   สุภาพและว่าง่าย   เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจ
คด ฟาริสีถูกเรียกว่าหน้าซื่อใจคดเพราะเขาเป็นผู้สอนแต่ปากเท่านั้น แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระวจนะ
หรือคำสอนที่ตัวเองได้พูดออกไปจากปาก เขาเหล่านั้น พอใจหรือภูมิใจดื่มด่ำกับคำว่าอาจารย์ เขารู้สึก
ดีเมื่อมีคนเรียกเขาว่าอาจารย์ๆ เขาได้ตั้งตัวเองเป็นอาจารย์ด้วยตัวเอง และพยามไปให้ถึงตำแหน่งด้วย
ตัวเอง แต่คุณสมบัติของเขาเหล่านั้น กลับไปไม่ถึง เขายังนินทาคนอื่น ขาดใจที่อ่อนสุภาพ มีความโลภ
อิจฉา และริษยา ไม่มีใจที่อ่อนสุภาพ พูดง่ายๆเลย เขาสอนคนให้มีผลของพระวิญญาณ แต่เขาเองขาด
ผลของพระวิญญาณ คำว่าอาจารย์ปรากฎใน พันธกรทั้ง 5

เอเฟวัส 4:11
"ของประทานของพระองค์   ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต   บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ   บางคนเป็นผู้เผย
แพร่ข่าวประเสริฐ   บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้  
เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น"

คริสตจักร พันธกรทั้ง 5 นั้น ไม่ใช่เพียงศิษยาภิบาบ หรืออาจารย์เท่านั้นที่ ทำทุกอย่างในคริสตจักรและ
สำคัญที่สุด แต่ทุกของประทานล้วนมีความสำคัญทั้งหมด เพื่อนำเราสู่พระกายที่จะจำเริญขึ้นในพระ
คริสต์

พี่น้องครับ ผมไม่ได้หมายความถึงท่านใดที่เป็นอาจารย์และเข้ามาอ่านนะครับ ถ้าท่านใดรู้สึกไม่ดีกับ
บทความนี้ผมอยากขอโทษและขออภัยด้วยใจจริง แต่ผมกำลังหมายถึงผู้ที่ ให้คำว่าอาจารย์เป็นรูป
เคารพ ของชีวิต
ในมัทธิว 23 กล่าวว่า
พวกธรรมาจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส เหตุฉะนั้น   ทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกท่าน  
จงถือประพฤติตาม   เว้นแต่การประพฤติของเขาอย่าได้ทำตามเลย   เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน  
แต่เขาเองหาทำตามไม่

เราจะไม่ต่อต้านพระวจนะ แต่เราต่อต้านความไม่ถูกต้อง สิ่งที่สอนมาจากพระวจนะของพระเจ้า
นั่นไม่ผิด แต่การประพฤติที่เขาประพฤติ นั้นเป็นอีกเรื่องที่เราต้องแยกแยะให้ออก อย่าเหมารวม
พระวจนะที่ถูกต้องกับความประพฤติไม่ถูกต้องที่เขาทำ

ข้อ 6, 7
เขาชอบที่อันมีเกียรติในการเลี้ยงและในธรรมศาลา กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด  
และชอบให้เขาเรียกว่า   'ท่านอาจารย์' ท่านทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกท่านว่า   'ท่านอาจารย์'  
ด้วยท่านมีพระอาจารย์แต่ผู้เดียว   และท่านทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด

อยากย้ำนะครับว่า พระคัมภีร์ไม่ได้ หมายถึง ว่าคนที่ถูกเรียกว่า อาจารย์ จะเป็นคนแบบฟาริสี
แต่พระคัมภีร์กำลังเตือนเราให้ ตั้งมั่นตลอดในการไม่อวดตัว และหยิ่งทรนงในตัวเองจนเกินไป
จนคิดว่าตัวเองมีอำนาจมากกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ผู้เดียวที่มีอำนาจเหนือสุดคือ พระเจ้าเท่านั้น

พระคัมภีร์ไม่ได้หมายถึงผู้ถ่อมใจ และได้บเกียรติว่าอาจารย์ แต่หมายถึงผู้ที่กำลังยกตัวเองขึ้น
และให้ตำแหน่งแก่ตัวเอง และบันทึกไว้ว่าผู้ใดจะยกตัวขึ้น   ผู้นั้นจะต้องถูกเหยียดลง  
ผู้ใดถ่อมตัวลง   ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น

สำหรับเราแล้วเราไม่แสวงหาจะได้รับคำว่า ครู หรืออาจารย์ และเราก็ไม่ต้องรู้สึกผิดถ้าจะมีคนเรียก
เราว่า อาจารย์ แต่ถ้าเรามีของประทานของอาจารย์ หรือได้รับการยอมรับจากทุกคนหลายคนที่จะ
เรียกเราว่าอาจารย์ ท่าทีภายในของเราที่สะท้อน บุคลิกลักษณะของพระเยซูคริสต์ พระฉายของพระ
องค์ผู้ทรงสร้างเรามา   ต่างหากที่สำคัญ เพื่อเราจะเป็นตัวแทนที่จะ สะท้อนอาจารย์เยซู ให้ทุกคน
รอบข้างได้เห็นและสัมผัสถึงพระองค์ได้

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

พระคัมภีร์ เพิ่มเติม

2 ทิโทธี 2:24-26
ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท   แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน   เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน 25ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ   ว่าพระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขา

กลับใจ   และมาถึงซึ่งความจริง 26และหลุดพ้นบ่วงของมารผู้ซึ่งดักจับเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน(   หรือ   โดยผู้รับใช้ของพระองค์ได้จับเขามาให้เป็นเชลยแห่งน้ำพระทัยของพระเจ้า) 

1 ทิโมธี 3:1-7

1คำนี้เป็นคำจริง   คือว่าถ้าผู้ใดปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร   ผู้นั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ 2ผู้ปกครองดูแลนั้นต้องเป็นคนที่ไม่มีใครติได้   เป็นสามีของหญิงคนเดียว   เป็นคนรู้จักประมาณตน   มีสติ

สัมปชัญญะ   เป็นคนสง่าเรียบร้อย   มีอัชฌาสัยรับแขกดี   เหมาะที่จะเป็นครู 3ไม่ดื่มสุรามึนเมา   ไม่เป็นนักเลงหัวไม้   แต่เป็นคนสุภาพ   ไม่เป็นคนชอบวิวาท   ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน 4ต้องเป็นคนครอบครองบ้านเรือนของตนได้ดี 

 อบรมบุตรธิดาของตนให้อยู่ในโอวาทและมีใจนอบน้อม 5เพราะว่าถ้าชายคนใดไม่รู้จักครอบครองบ้านเรือนของตน   คนนั้นจะดูแลคริสตจักรของพระเจ้าอย่างไรได้ 6อย่าให้ผู้ที่กลับใจใหม่ๆเป็นผู้ปกครองดูแล   เกรงว่าเขาอาจ

จะยโส   แล้วก็จะถูกปรับโทษเหมือนอย่างมารนั้น 7นอกนั้นเขาจะต้องเป็นที่นับถือของคนภายนอก   มิฉะนั้นจะเป็นที่ติเตียนและจะติดบ่วงแร้วของมาร

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ความสุข หรือ ความบริสุทธิ์

ความสุข หรือ ความบริสุทธิ์


วันกิดผมในหนึ่งที่มีคนโทรมาอวยพรหลายคน หลายคนอวยพรว่า .......
"มีความสุขมากๆนะ" หรือ "ขอให้มีความสุข" แน่นอนผมอยากมีความสุข
ใครบ้างที่ไม่อยากมีความสุข ทุกคนล้วนต้องการความสุข เราแสวงหาสิ่ง
ที่จะทำให้เรามีความสุข

พระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่า เรามีความสุขไม่ได้ พระคัมภีร์เองก็พูดถึงความสุข
และการชื่นชมยินดีด้วย ความสุขเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับเรา ในพระ
คัมภีร์ก็ได้พูดถึงความสุข และการชื่นชมยินดีในหลายๆตอนด้วยกัน

แต่เราต้องการความสุขเพื่ออะไร เพื่อสนองความต้องการของเนื้อหนังของ
เราหรือตอบสนองสิ่งอื่นใด บางครั้งเราตอบสนองโดยการ แสวงหาความ
สุขของโลกนี้มากเกินไป เราอาจมองเห็นว่าความสุขนี้คือสิ่งที่เราต้องแสวง
หาเสียบ้าง เราเชื่อว่าความสุขที่เราแสวงหาอยู่นั้นคือเป้าหมายสูงสุดที่พระ
เจ้าได้กำหนดไว้ให้กับเรา ถ้าเรากำลังเดินเข้าสู่ความคิดแบบนี้ เราควรใคร่
ครวญสิ่งที่เราจะหนุนใจกันต่อไปนี้

เราอาจอธิษฐานขอพระเจ้าในสิ่งที่เราต้องการ และเราก็กำหนดความคิดของ
พระเจ้าว่า สิ่งนี้แหละที่เราต้องการ และพระองค์ก็ต้องคิดเช่นนี้ด้วย และเมื่อ
เราไม่ได้ตามที่เราปรารถนา หรือตามกำหนดเวลาที่เราต้องการ เราก็จมอยู่กับ
การสูญเสียความสุข เหมือนถูกแย่งชิงเอาไป

พระเจ้าคงอยากพูดกับเราว่า ความสุขแท้มาจากการรักษาสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา
และมอบให้เราปฏิบัติ ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ของพระองค์

สดุดี 1:1-2
"ความสุขเป็นของบุคคล  
ผู้ไม่ดำเนินตามคำแนะนำ
ของคนอธรรม  
หรือยืนอยู่ในทางของคนบาป  
หรือนั่งอยู่ในที่นั่งของคนที่ชอบเยาะเย้ย  
แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในพระธรรมของพระเจ้า  
เขาภาวนาพระธรรมของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน"

ความสุขที่เกิดจากการเชื่อฟังพระเจ้า เราต้องไม่เชื่อคำของผู้ที่ดูหมิ่นหรือเยาะ
เย้ยพระองค์ คือคนที่ไม่เห็นด้วยกับคำสอนของพระเจ้า คนรอบข้างเรา หรือโลก
นี้อาจจะมีอิทธิพลกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว สิ่งไหนที่เราคิดว่าทำให้เรามีความสุข
แต่เมื่อเราใครครวญแล้ว พระวิญญาณเตือนเราว่าขัดกับทางของพระเจ้า นั่น
ก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง อย่าหยวนแก่ความสุขจอมปลอมเพื่อความสุขจอมปลอม
เพียงแค่ชั่วคราว เราอาจจะเดินเข้าสู่กับดักได้โดยที่เราไม่ทันระวัง
ถ้าเราใครครวญพระคำของพระองค์ เราก็จะรู้หนทางที่พระเจ้าจะนำเราไปสู่ความ
สุขที่แท้จริง

สดุดี 84:5
"ความสุขเป็นของบุคคลที่อาศัยในพระนิเวศของพระองค์  
เขาร้องเพลงสรรเสริญพระองค์เสมอ  
ความสุขเป็นของบุคคลที่กำลังของเขาอยู่ในพระองค์  
คือคนที่ในใจของเขาเป็นทางหลวงไปศิโยน"

บางครั้งเราต้องเดินผ่านหุบเขาบาคา หรือหุบเขาร้องไห้ มันอาจจะเป็นช่วงเวลาที่
เต็มไปด้วยน้ำตา ซึ่งเป็นทางผ่านก่อนไปพบกับพระเจ้า เราจะเข้มแข็งขึ้นและพบ
กับองค์พระเจ้าผู้เป็นความสุขที่แม้จริง เราผ่านไปเพื่อเข้าหาพระเจ้า ไม่ใช่ออกห่าง
จากพระเจ้า
เราอาจจะเห็นภาพของการอดทนเก็บเงินเพื่อซื้อของอย่างหนึ่ง เช่นบ้านหรือรถ เพื่อ
จะได้ความสุข ภาพนี้สะท้อนว่า เมื่อเราต้องผ่านความยากลำบากและน้ำตา ความสุข
ก็รอเราอยู่ พระเจ้ารอคอยเราอยู่ เพื่อรับเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ของพระองค์

อิสยาห์ 48:18
"โอ  ถ้าเจ้าได้เชื่อฟังบัญญัติของเรา  
แล้วความสุขสมบูรณ์ของเจ้า   จะเป็นเหมือนแม่น้ำ  
และความชอบธรรมของเจ้า   จะเป็นเหมือนคลื่นทะเล"

พระเจ้าต้องการบอกเราว่า เราต้องเชื่อฟังพระองค์ คือพระวจนะของพระองค์ เพราะสันติสุข
และความชอบธรรม จะมาถึงเราเมื่อเราเชื่อฟังและมีชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

สุภาษิต 16:20
"บุคคลผู้สนใจในพระวจนะจะพบของดี  
และคนที่วางใจในพระเจ้าจะสุขสบาย"
 
สุภาษิต 29:18
"ที่ใดๆที่ไม่มีการเผยธรรม  ประชาชนก็ละทิ้งความ ยับยั้งชั่งใจเสีย  
แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติจะเป็นสุข"

พระเจ้ากำลังบอกให้เรารู้ว่า ความสุขที่แท้จริงนั้นคือ การรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์
เพื่อชีวิตที่บริสุทธิ์ องค์บริสุทธิ์แห่งฟ้าสวรรค์เรียกเราให้เข้าสู่ความบริสุทธิ์ สิ่งนี้เป็น
พระลักษณะอันชอบธรรมของพระองค์ พระคัมภีร์บอกเราว่า

1 เปโตร 1:15-16
"แต่เพราะพระองค์ผู้ทรงเรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์   ท่านทั้งหลายจงประพฤติ
ให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ ดังที่มีพระวจนะเขียนไว้แล้วว่า   ท่านทั้งหลายจง
เป็นคนบริสุทธิ์  เพราะเราบริสุทธิ์"

พระเยซูเองไม่ได้เรียกร้องในการมีความสุข แต่พระองค์กลับมีความสุข สันติสุข
และชื่นชมยินดี แม่เผชิญกับความทุกข์ยาก และยากลำบาก ความสุขแท้คืออะไร
เราจะดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างไร เพื่อความสุข หรือเพื่อความบริสุทธิ์ พระเจ้าไม่
ได้บอกเราว่า จงแสวงหาความสุข แต่พระเจ้าเรียกให้เรา จงมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ความ
สุขที่แท้จริง คือ การมีชีวิตที่บริสุทธิ์ และถวายเกียรติแด่พระเจ้าของเรา

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship