วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศักดิ์ศรี และการขอโทษ

ศักดิ์ศรี และการขอโทษ


คำพูดหนึ่งผมไม่แน่ใจว่าแหล่งกำเนิดมาจากที่ไหน แต่มีคำที่ว่า "ลูกผู้ชาย
ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้" คำพูดคำนี้เองถ้าเรามองให้ลึกซึ้ง คำนี้อาจจะเป็นสา
เหตุของการ ฆ่าฟันกันตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็ได้เพราะว่า ห้ามหยามศักดิ์
ศรีข้า อย่างเด็ดขาด

บางครั้งสาเหตุของการผิดใจกันอาจจะมาจากความไม่ตั้งใจ ความวู่วาม
หรืออารมณ์เพียงชั่ววูบ แต่สิ่งที่บรรเทาสิ่งเหล่านี้ได้คือ "คำขอโทษ"
แต่คำๆนี้กลับเป็นคำพูดที่พูดยากเหลือเกิน และก็เป็นคำพูดที่คนก็เรียก
ร้องมากเหลือเกินเช่นกัน

หลายปีที่แล้ว บุคลิกผมเองเป็นคนไม่ค่อยพุด และไม่ค่อยตอบโต้คารมกับ
ใครเท่าใดนักครั้งหนึ่งเมื่อผมโดนคนคนหนึ่งที่มีบุคลิกพูดจาโผงผาง พูดคำ
พูดที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ผมได้ตอบโต้ถ้อยคำนั้นกลับไปแบบตาต่อตา และฟัน
ต่อฟัน สิ่งที่ไม่คาดคิดคำพูดที่ไม่คาดฝันว่าจะออกมาจากปากผม กลับทำ
คนคนนั้นรู้สึกเจ็บ ทั้งที่เค้าว่าคนอื่นมามาก แต่เค้าเจ็บด้วยคำพูดในทำนอง
เดียวกับที่เค้าว่าคนอื่น

ผมคิดว่าผมไม่ผิดและเค้าสมควรจะได้รับคำพูดคำนั้นไป ผมได้ตัดสินเค้า
แทนพระเจ้าไปแล้ว และผมก็ไม่คิดจะพูดว่า ขอโทษ เพราะผมคิดเอาเอง
ว่า ถ้าพูดขอโทษไปก็เท่ากับว่าผมยอมรับผิด ผมก็ผิดเองนะสิ

คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู พระองค์บอกเราให้จัดการกับความขัดแย้ง
ความขัดแย้งคือ ไม่ตรงกัน ไม่ลงรอยกัน แน่นอนมันไม่ใช่พระประสงค์ของ
พระเจ้าเลย พระองค์ไม่ประสงค์ให้ในพระกายมีความขัดแย้ง และไม่ลง
รอยกัน พระองค์ให้เราเป็นฝ่ายเริ่มต้น เข้าไปหาพี่น้องที่เราขัดแย้ง และ
ขัดเคืองด้วย และขอโทษเขา

มัทธิว 5:21-26
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า   อย่าฆ่าคน   ถ้าผู้ใดฆ่าคน   ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ เราบอกท่านทั้งหลายว่า   ผู้ใดโกรธพี่น้องของตน   ผู้นั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ   ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องว่า   '

อ้ายโง่'   ผู้นั้นต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษและผู้ใดจะว่า   'อ้ายบ้า'   ผู้นั้นจะมีโทษถึงไฟนรก เหตุฉะนั้นถ้าท่านนำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว   และระลึกขึ้นได้ว่า   พี่น้องมีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับท่าน จง

วางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชา   กลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นเสียก่อน   แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของท่าน จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วในขณะที่พากันไปศาล   เกลือกว่าคู่ความนั้นจะอายัดท่านไว้กับผู้พิพากษา   แล้วผู้

พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม   และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ เราบอกความจริงแก่ท่านว่า   ท่านจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้จนครบ"

พระองค์ได้เตือนเราว่า ปัญหาความขัดแย้ง เป็นเรื่องสำคัญที่ร้ายแรง
พอที่จะหยุดการนมัสการเพื่อกลับไปคืนดี 24
พระเยซูได้หนุนใจสาวกในตอนนั้นรวมถึงเราทุกคนในตอนนี้ด้วยเช่นกัน
ว่าให้กระตือรือร้น ที่จะคืนดีกับพี่น้อง 25

ไม่สำคัญว่าความขัดแย้งจนเกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์ จะมาจากเราหรือ
ไม่ จงถ่อมใจลง ที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ที่จะทำทุกวิถีทาง (ทางที่ถูกต้อง)
เพื่อจะคืนดีกัน

หลังจากนั้นเป็นปี ผมเริ่มเข้าไปขอโทษกับพี่น้อง 2-3 คน บางคนแม้จะจำไม่
ได้แล้วว่าเรื่องอะไร จำได้แต่ว่าขุ่นเคืองกับเรา บางคนยิ้มเหมือนสะใจที่เรา
ยอมเข้ามาขอโทษ และสีหน้าเค้าเต็มไปด้วยความรู้สึกสะใจ บางคนก็ให้อภัย
เราและจากสิ่งที่สื่ออกมา ผมรู้ภายในว่าเค้ารอคำขอโทษจากผมมานานแล้ว

คืนดีซะก่อนที่คุณจะไม่มีเวลาในโลกนี้ เพราะหลังจากนั้น พระคัมภีร์เตือนเรา
เราต้องพบกับการพิพากษา พระองค์เองรอคืนดีกับเราเสมอ แม้เราเองจะกบฏ
และดื้อด้านมากแค่ไหน ทำชั่วช้ากับพระองค์ขนาดไหน

ไม่ว่าคนที่คุณเข้าไปขอคืนดีจะตอบโต้มาเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า หน้าที่ต่อ
ไปเป็นของพระเจ้า อาเมน

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

สิ่งเดียวที่คงอยู่

สิ่งเดียวที่คงอยู่


เราเคยได้ยินคำสอนมากมายและเราก็เชื่อแน่ว่า พระเจ้าคือผู้ที่เราต้อง
พึ่งพาเท่านั้น พระคัมภีร์ตอนหนึ่งที่ผมประทับใจคือ
ยอห์น 15:5
"เราเป็นเถาองุ่น   ท่านทั้งหลายเป็นแขนง   ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและ
เราเข้าสนิทอยู่ในเขา   ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก   เพราะถ้าแยกจากเรา
แล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย"
ฉบับ NIV ถ้าผู้ใดคงอยู่ในเรา และเราคงอยู่ในเขา

เพราะเราขาดจากพระองค์ไม่ได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เรามีความสุขสบาย
ตามเนื้อหนังของเรา ความเป็นอยู่ของเราที่ดี เราก็จัดการให้พระเจ้าพัก
ไม่ต้องพึ่งพาพระองค์ โดยที่เราก็เดินไปเองโดยลำแข้งของตัวเอง เราคิด
ว่าเราพึ่งตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาพระเจ้า

แต่เมื่อเรากลับมาเจอความทุกข์เมื่อใด หมดกำลังไป และไม่มีคำตอบใน
ชีวิต ไม่พบหนทางที่จะเดินก้าวต่อไป หันไปทางไหนก็มืดมนไปหมด วันนั้น
แหละเราถึงจะกลับมาหาพระองค์และเรียกหาพระองค์ที่เราได้เดินจากมา
และเราถึงจะเชื่อว่าพระองค์จะช่วยเราได้หลังจากที่เราพ่ายแพ้ด้วยกำลัง
ของตัวเองที่พยายามต่อสู้

ถ้าเรากำลังเจอความทุกข์โศกอย่างที่สุด ความยากลำบากที่มีเข้ามาในชีวิต
เราคิดว่าเราไม่เหลืออะไรเลยในความมืด ดังเพลงที่บอกว่า
"เมื่อความมืดมิด คืบคลานเข้ามา เมื่อดวงตาบอด ซ่อนฉันจากพระองค์"
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้หลุดลอยไปหมดแล้ว อย่าพึ่งเศร้าใจไป เรายังไม่หมด
หวังเรายังมีแสงสว่างอยู่ "เยซูมา"

เรายังมีพระเยซูที่คอยเราอยู่จากที่ที่เราเดินจากมา และพร้อมจะนำเราไปสู่
ชัยชนะได้ ใน
2 พงศาวดาร 20:3-17
"และเยโฮชาฟัทก็กลัว   และมุ่งแสวงหาพระเจ้า   และได้ทรงประกาศให้อดอาหารทั่วยูดาห์ และยูดาห์ได้ชุมนุมกันแสวงหาความช่วยเหลือจากพระเจ้า   เขาทั้งหลายพากันมาจากหัวเมืองทั้งสิ้นแห่งยูดาห์   เพื่อแสวงหาพระเจ้า

และเยโฮชาฟัทประทับยืนอยู่ใน ที่ประชุมของยูดาห์และเยรูซาเล็ม   ในพระนิเวศของพระเจ้า  ข้างหน้าลานใหม่ และตรัสทูลว่า   “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย   พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าใน

ฟ้าสวรรค์หรือ   พระองค์มิได้ปกครองเหนือบรรดาราช อาณาจักรของประชาชาติหรือ   ในพระหัตถ์ของพระองค์มีฤทธิ์และอำนาจ   จึงไม่มีผู้ใดต่อต้านพระองค์ได้ ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย   พระองค์มิได้ทรงขับไล่

ชาวแผ่นดินนี้ออก ไปเสียให้พ้นหน้าอิสราเอลประชากรของพระองค์หรือ   และทรงมอบไว้แก่เชื้อสายของอับราฮัมมิตรสหายของ พระองค์เป็นนิตย์ และเขาทั้งหลายได้อาศัยอยู่ในนั้น   และได้สร้างสถานนมัสการแห่งหนึ่งในนั้น

ถวายพระองค์   เพื่อพระนามของพระองค์  ทูลว่า 'ถ้าเหตุชั่วร้ายขึ้นมาเหนือข้าพระองค์ทั้งหลายจะเป็นดาบ   การพิพากษา  หรือโรคระบาด   หรือการกันดารอาหาร   ข้าพระองค์ทั้งหลายจะยืนอยู่ต่อหน้าพระนิเวศ นี้และต่อ

พระพักตร์พระองค์   เพราะพระนามของพระองค์อยู่ในพระนิเวศ   และร้องทูลต่อพระองค์ในความทุกข์ใจของข้าพระองค์ทั้งหลาย   และพระองค์จะทรงฟังและช่วยให้รอด' ดูเถิด  บัดนี้คนอัมโมนและโมอับ   และภูเขาเสอีร์   ผู้

ซึ่งพระองค์ไม่ทรงยอมให้คนอิสราเอลบุกรุก   เมื่อเขามาจากแผ่นดินอียิปต์และผู้ ซึ่งเขาได้หลีกไปมิได้ทำลายเสีย ดูเถิด   เขาทั้งหลายได้ให้บำเหน็จแก่เรา  ด้วยมาขับเราออกเสีย จากแผ่นดินกรรมสิทธิ์ของพระองค์   ซึ่งพระองค์

ประทานให้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นมรดก ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์  พระองค์จะไม่ทรงกระทำ การพิพากษาเหนือเขาหรือ   เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คน หมู่มหึมานี้   ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์

ทั้งหลาย   ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด   แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์”  
 ในระหว่างนั้นคนทั้งปวงของยูดาห์ก็ ยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าพร้อมกับภรรยาและลูกหลานของเขา และพระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมา สถิตกับยาฮาซีเอลบุตรเศคาริยาห์   ผู้เป็นบุตรเบไนยาห์  ผู้เป็นบุตรเยอีเอล   ผู้เป็น

บุตรมัทธานิยาห์เป็นคนเลวีเชื้อสายของอาสาฟ   เมื่อท่านอยู่ท่ามกลางที่ประชุมนั้น และเขาได้พูดว่า   “ยูดาห์ทั้งปวงและชาวเยรูซาเล็มทั้งหลาย กับกษัตริย์เยโฮชาฟัท   ขอจงฟัง  พระเจ้าตรัสดังนี้แก่ท่านทั้งหลายว่า   'อย่ากลัว

เลย   และอย่าท้อถอยด้วยคนหมู่มหึมานี้เลย   เพราะว่าการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน   แต่เป็นของพระเจ้า พรุ่งนี้เช้าจงลงไปต่อสู้กับเขา   ดูเถิด   เขาจะขึ้นมาทางขึ้นที่ตำบลศิส   ท่านทั้งหลายจะพบเขาที่ปลายหุบเขา ทาง

ตะวันออกของถิ่นทุรกันดารเยรูเอล ไม่จำเป็นที่ท่านจะต้องสู้รบในสงครามครั้งนี้  โอ  ยูดาห์   และเยรูซาเล็ม  จงเข้าประจำที่   ยืนนิ่งอยู่และดูชัยชนะของพระเจ้าเพื่อท่าน'   อย่ากลัวเลย   อย่าท้อถอย   พรุ่งนี้จงออกไปสู้กับเขา

และพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับ ท่าน”

ตอนนี้คนยูดาห์ก็พบเจอปัญหาเช่นเดียวกันกับที่กล่าวมา พวกเขารู้สึกขาด
ปัญญา ขาดเรี่ยวแรง และกำลังที่จะเอาชนะศัตรู แต่เขายังรู้ว่าเขายังมีพระ
เจ้า มุมมองด้านบวกของกษัตริย์เยโฮชาฟัท กับประชากรของพระองค์เชื่อ
ว่านี่คือความหวังเดียวของพวกเขา เขายังไม่หมดหวังในเหตุการณ์นี้ พวก
เขาเพ่งมองที่พระองค์ ในข้อ 12 กล่าวว่า
"ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์"

ถ้าเราพิจารณษดูในคำอธิฐานของกษัตริย์เยโฮชาฟัท กษัตริย์เยโฮชาฟัท
ได้วางใจในพระเจ้าสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยการเชื่อว่าพระองค์
เท่านั้นที่สามารถช่วยประเทศนี้ได้ กษัตริย์เยโฮชาฟัทยอมรับว่าพระเจ้า
มีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง ที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าอยู่
เหนือสถานการณ์ในปัจจุบัน นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยต่อการตอบ
สนองของ กษัตริย์เยโฮชาฟัท

เราต้องจดจ่อที่ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่ใช่กำลังของตัวเราเอง เพราะ
ในแต่ละวันเราต้องเผชิญกับศัตรูมากมาย รวมถึงการทดลองต่างๆ
ความกดดันที่เข้ามา พระเจ้าตรัสว่า พระองค์ได้ประทานวิญญาณใน
เรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อใดที่เผชิญกับความยากลำบากทุกข์
ยากที่กดดันเข้ามา พระองค์จะต่อสู้แทนเรา และแน่นอนเราจะได้รับชัย
ชนะแน่นอน แต่การที่พระเจ้าจะสู้แทนเรา เราต้องยอมรับว่าศึกนี้เป็นของ
พระองค์ ต้องยอมรับว่าเรามีความจำกัด เรามีความกลัว และอ่อนแอที่ต้อง
มีพระผู้ช่วย

เราต้องเชื่อว่าความหวังเดียวที่เรามี จะไม่สูญเปล่า ความหวังคือ ตั้งใจว่า
จะทำได้ ปองไว้ หมายไว้ คือในพระเจ้า ว่าพระองค์จะกระทำตามพระสัญ
ญาที่พระองค์ยืนยันไว้ พระสัญญาที่เป็นพันธะที่พระเจ้าทรงตรัสแล้วไม่
คืนคำ แม้ขีดๆหนึ่งก็ไม่หายไปจากพระสัญญาของพระองค์
มัทธิว 5:18
"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า   ตราบใดที่ฟ้าและดินดำรงอยู่  
แม้อักษรหนึ่งหรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ   จนกว่าสิ่ง
ที่จะต้องเกิด   ได้เกิดขึ้นแล้ว"

สุดท้ายนี้ ผมหนุนใจให้เราอดอาหารอธิฐาน ไม่ใช่เพราะผมพูด แต่พลัง
ในการอดอาหารจะนำพาคุณในยามที่คุณมองไม่เห็นแม้แสงสว่างในที่
มืด เพื่อเราจะไม่สาละวนกับการทำอาหาร และไม่ต้องรับประทานอาหาร
เราก็จะมีเวลามากขึ้น ที่จะใคร่ครวญ กับพระเจ้าขอความช่วยเหลือจาก
พระองค์ "เมื่อใดที่เราอ่อนแอ เมื่อนั้นเราก็เข้มแข็ง" เพราะในความอ่อน
แอ เราจะพบพระองค์

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อย่าด่วนตัดสิน

อย่าด่วนตัดสิน



ผมเคยเข้าใจผิดเพื่อนสาวคนหนึ่งเมื่อสมัยที่ยังเรียน เมื่อมีคนมาเล่าให้เราฟังว่า
เห็นเพื่อนสาวคนนี้ ซ้อนจักรยานยนต์ กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่ผม ในความเป็น
เด็กตอนนั้น ผมเชื่อในสิ่งที่ฟังและได้ยินทันที ผมจินตนาการถึงสิ่งที่เค้าทำตาม
ความเข้าใจในตอนนั้นจนเตลิดเปิดเปิง ผมโทรศัพท์ไปหา และต่อว่าเค้าด้วย
ความโกรธ และโมโห แม้เค้าจะอธิบายยังไง ผมก็ไม่เชื่อ และไม่ฟังอะไรทั้งสิ้น
ต่อมาไม่นานจึงมารู้ว่า คนคนนั้นคือน้องชายแท้ๆ ที่กลับมาจากต่างจังหวัดนั่น
เอง ผมต้องโทรไปขอโทษ ด้วยท่าทีที่สำนึกผิด กว่าจะหายโกรธก็นานหลายวัน

หรืออีกกรณีที่ผมเองโดนเข้าใจผิดในเรื่องบางเรื่อง ที่ผมโดนเหน็บแนมและโดน
ต่อว่าทั้งที่เราไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย แม้เราจะอธิบายอะไร ก็ไม่เป็นประโยชน์
และยังโดนยืนกรานว่า "ผมผิดเต็มๆ"

เราเองควรต้องเรียนรู้ที่จะฟัง ก่อนที่เราจะโต้ตอบอะไรออกไปหรือจะพูดอะไร
โต้ตอบออกไป แม้การตอบสนองออกไปเราก็ควรฟังให้มั่นใจก่อน มนุษย์มักจะ
ถูกล่อลวงให้สรุปอะไรด้วยความรวดเร็ว และก็โต้ตอบออกไปด้วยอารมณ์
ความโกรธ หรือความฉุนเฉียว เราควรไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ

ยากอบ 1:19
ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า   จงทราบข้อนี้   จงให้ทุกคนไวในการฟัง  
ช้าในการพูด   ช้าในการโกรธ


ไวในการฟัง เราควรมีความไวในการฟัง ในพระคัมภีร์เดิมระหว่างที่พระเจ้า
นำทางคนอิสราเอล พระเจ้าพูดเพื่อจะนำชาวอิสราเอลเป็นระยะในระหว่าง
การเดินทาง ในชีวิตเราจึงจำเป็นต้องเร็วในการฟังเสียงต่างๆที่เขามา และ
ต้องมีความระมัดระวัง ไวที่จะได้ยินเสียงที่ถูกต้อง

ช้าในการพูด คำพูดทุกคำที่ออกมาจากปากล้วนมีควมสำคัญ พระเจ้า
ได้เน้นในพระวจนะให้เรา ระวังลิ้นของเราในการปลดปล่อยถ้อยคำออก
มา เราต้องระวังในคำพูดที่ออกมา อย่าพูดโดยที่ไม่คิด

ช้าในการโกรธ พระเจ้าบอกว่าโกรธก็โกรธได้แต่อย่าทำบาป และใครที่
โกรธและไม่ทำบาป พระวจนะตอนนี้จึงบอกเราว่าให้ช้าในการโกรธ
ความโกรธจะเป็นตัวฉุดเราให้ต่ำลง และขาดการเป็นตัวของตัวเอง

ขอพระเจ้าช่วยเราที่จะให้เวลากับการฟัง ช่วยเราที่ยัยยั้งชั่งใจในเรื่อง
ของคำพูดและความโกรธ

ถ้าท่านกำลังโดนเหตุการณ์เช่นนี้อยู่ จงอธิฐาน ฝากไว้กับพระเจ้า
เพราะเป็นเรื่องของเค้ากับพระเจ้า ให้เราเบนสายตามามองที่พระ
เยซูที่พระองค์เผชิญปัญหาจากการปรักปรำ การตอบสนองของ
พระองค์ยอดเยี่ยมจริงๆ คือตามน้ำพระทัยพระเจ้า
พระองค์ทรง ไวที่จะฟัง ช้าที่จะพูดอะไรออกมา และพระองค์
ไม่ตกเป็นทาสของความโกรธ

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

เสียงของพระเจ้า

เสียงของพระเจ้า


หลายครั้งที่ผมได้ไปในงานที่มีเสียงดนตรีที่มีความดังมากๆ
จนเมื่อเวลาที่จะคุยกับใคร ก็ต้องใช้การตะโกน ถึงขนาดนั้น
ก็ยังไม่ได้ยินเสียงของกันและกันด้วย เพราะเสียงคุยนั้นเบา
กว่าเสียงดนตรีที่ดังอึกทึก เมื่อเป็นเช่นนั้นผมก็ตัดสินใจที่จะ
เลิกคุยเพราะคุยไปก็ไม่รู้เรื่อง จึงไม่คุยต่อเพราะเสียงรอบข้าง
มันดังเกินไป

หรือเมื่อมีโทรศัพท์มือถือเข้ามา ซึ่งเป็นการโทรมาคุยธุระที่สำคัญ
งานหนึ่ง เมื่อคุยกัน ผมก็บอกว่า "ไม่ได้ยินเลย แค่นี้ก่อนนะ" แล้ว
ก็วางสายไป หลังจากออกมาจากที่แห่งนั้น จึงรู้ว่าเราได้พลาด
การคุยธุระที่สำคัญไปซะแล้ว

ระหว่างที่ผมได้เขียนบทความนี้เป็นช่วงเวลาของเดือนอัพ (AV)
ตามปฏิทิน อิสราเอลที่เกี่ยวข้องกับการฟัง ชนชาติอิสราเอลได้
ฟังผู้สอดแนมทั้ง 10 คนที่พูดแต่เรื่องลบๆ ที่ขาดความเชื่อและ
ทำให้อิสราเอลได้สูญเสียโอกาสในการก้าวเข้าไปสู่แผ่นดินของ
พระเจ้าที่ได้ทรงสัญญาไว้ ทั้งที่มีเสียงแห่งความเชื่อมั่นในพระเจ้า
เบาๆเพียง 2 คนคือโยชูวา และคาเลบ แต่เราก็ไม่ได้ยิน

ประเด็นคือเราเองต่างหาก ที่เข้าไปอยู่นที่ๆมีเสียงดังจนเกินไป
และไม่ใส่ใจที่จะมีความเชื่อร่วมกันกับเสียงแห่งความเชื่อทั้ง
2 เสียง

ในพระคัมภีร์ 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11-18 พระเจ้าสามารถตรัสกับ
เอลียาห์บนภูเขาโฮเรบ ผ่านลม แผ่นดินไหว ไฟ แต่ขณะที่เอลียาห์
กำลังซ่อนตัวจากพระ นางเยเซเบล ที่ขู่จะฆ่าเอลียาห์ พระเจ้าได้
ตรัสกับเอลียาห์ด้วยเสียง เบาๆว่า "เอลียาห์เอ๋ยเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่"

ถ้าเราดูจริงๆเราจะรู้ว่าเอลียาห์รู้ว่าเสียงกระซิบที่อ่อนโยน คือเสียง
จากพระเจ้า บางครั้งเราตระหนักว่าพระเจ้าได้ทรงสำแดงพระองค์
อย่างอัศจรรย์ และเต็มปด้วยฤทธิ์เดชเท่านั้น ถ้าเราพยายามมอง
หาพระเจ้าเฉพาะในสิ่งใหญ่ๆ เราอาจจะไม่ได้พบกับพระองค์
พระเจ้ามักจะทรงปรากฏ ในเสียงกระวิบที่อ่อนโยน ในความเงียบ
ของหัวใจ เราคอยฟังพระเจ้าอยู่หรือไม่

1 พงศ์กษัตริย์ 19:11-18
และ กันดารวิถี 13


เราต้องแยกตัวเองออกจากเสียงอึกทึกและกิจกรรมที่วุ่นวายใน
ชีวิต และรอฟังการทรงนำอย่างสงบ พระสุรเสียงของพระเจ้าอาจ
จะมาถึงในเวลาที่คุณไม่คาดฝัน เหมือนโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้น
ท่ามกลางห้องที่มีแต่เสียงอึกทึกครึกโครม

เสียงที่คอยกลบเสียงที่แผ่วเบาของพระเจ้า ตอนนี้ถึงเวลาแล้ว
ที่เราควรจะสงบเสียงในความคิด และในหัวใจของเราที่มาจาก
ผู้สอดแนมที่คอยตะโกนค้านเสียงแห่งความเชื่อ ที่จะนำเราไป
สู่ชัยชนะในชีวิต เพื่อเราจะได้ยินเสียงที่แผ่วเบาของพระเจ้าได้

ในแต่ละวันเราต้องเผชิญและเจอกับเสียงเหล่านี้ ให้คุณ
มั่นในว่า "เราจะมีชัยชนะ"


ขอบคุณพระเจ้า

ktm.worship

วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หัวใจแห่งความสุภาพ

หัวใจแห่งความสุภาพ


เมื่อสมัยที่ผมยังเป็นนักศึกษาและต้องทำโปรเจคหนึ่งร่วมกันเป็นงานกลุ่ม
ผมได้รับเลือกเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มในการทำโปรเจคครั้งนี้
ในระหว่างการทำงานก็มักมีอุปสรรคเยอะแยะมากมาย ทั้งการที่ไม่เข้าใจ
กัน และการที่ไม่เข้าใจในการแจกแจงงาน ทำให้เหมือนกับว่าเราเองทำงาน
อยู่คนเดียว จริงๆแล้วผมไม่ควรจะใจเย็นอยู่ได้อีก และควรจะระเบิดอารมณ์
ออกมา หรือไม่ก็ต่อว่าอะไรไปสักอย่างแบบเจ็บๆให้เค้ารู้สึก
แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์บอกว่าผมควรระงับยับยั้งอารมณ์นั้นไว้

ในคริสตจักรเองก็เช่นเดียวกัน หลายครั้งที่ผมได้ยินข่าวจากคริสตจักรบางแห่ง
ที่มีการไม่เข้าใจกันภายในคริสตจักร และมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน แต่สิ่งนั้นไม่ใช่
ประเด็น แต่ประเด็นสำคัญที่ผมได้ยินมาคือ แม้ในการประชุมกรรมการของ
คริสตจักรเอง ก็มักมีปัญหาการใช้อารมณ์ที่มีออกมาสาดใส่กัน

พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นทหารของพระเยซูคริสต์ ชีวิตของเราควรสะท้อน
ให้ทุกคนรอบข้างเห็นถึงพระคุณของะรัเยซูคริสต์ที่มี แน่นอนเราควรยืดหยัด
ในความเชื่อ แต่ในขณะเดียวกันเราต้องมีหัวใจของพระเจ้าแห่งความเมตตา
ต่อผู้คนรอบข้างที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเรา
ใน 2 ทิโมธี สิ่งที่เปาโลได้ให้คำแนะนำต่อทิโมธีคือ "ให้มีใจเมตตา"
ต่อไม่ชอบความรุนแรงอันนำไปสู่การทะเลาะวิวาท แต่ให้มีใจเมตตาคือ
ต้องมีความอดทนอดกลั้น อดทนให้นาน เพื่อจะเป็นครูสอนที่เหมาะสม
ชี้แจงฝ่ายตรงข้ามที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกันด้วยความสุภาพได้

ครั้งหนึ่งที่ผมเองขับรถไปในซอยกลับบ้านซึ่งเป็นเดินรถทางเดียว
รถคันหนึ่งที่ขับสวนทางมาด้วยความเร็ว ได้เกือบจะชนกันที่มุมเลี้ยว
แต่สิ่งที่ผมทำไปโดยอัตโนมัติ คือ รอยยิ้มที่มีไปถึงเค้าและการโค้ง
หัวเล็กน้อยโดยไม่มีการฟ้องผิด หรือทำการใดอันนำไปสู่การทะเลาะ
อย่าให้เสียงใดมาหลอกคุณได้ว่า เค้าทำไม่ถูก เราต้องไม่ยอมถอยรถ
หรือไม่ก็ต้องเปิดหน้าต่างไปบอกสักหน่อย ไม่ก็บีบแตรใส่หน้าไปเลย

"ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท  
แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน   เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน
ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ   ว่าพระเจ้าอาจจะทรง
โปรดให้เขากลับใจ   และมาถึงซึ่งความจริง"
2 ทิโมธี 2::24-25

ผมขอหนุนใจว่าคริสเตียนที่เติบโตฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ได้อยู่ที่
การท่องพระคัมภีร์ได้มากมายหลายข้อ จบปริญญาเอก ดร.
หรือจบมาจากโรงเรียนพระคัมภีร์ นั่นเป็นส่วนประกอบ
แต่แก่นแท้คือ ผลของพระวิญญาณที่มีต่างหาก ว่าเรามี
ผลของพระวิญญาณหรือไม่ นั่นคือ

"ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น   คือความรัก   ความปลาบปลื้มใจ  
สันติสุข   ความอดกลั้นใจ   ความปรานี   ความดี   ความสัตย์ซื่อ
ความสุภาพอ่อนน้อม   การรู้จักบังคับตน   เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรม
บัญญัติห้ามไว้เลย"
กาลาเทีย 5:22-23

ถ้าเราอยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์เราต้องเอาเนื้อหนังของเรา อารมณ์เก่าๆของเรา
ตรึงไว้ที่กางเขนกับพระเยซูคริสต์
ขอพระวิญญาณเตือนเรา ที่เราจะดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

กำจัดอุปสรรค 5 ค. เพื่อไม่เสียโอกาส



กำจัดอุปสรรค 5 ค. เพื่อไม่เสียโอกาส

แกะบทความจาก คำเทศนา 25 กค 2010 
http://missionkorat.blogspot.com/2010/07/25-2010.html

ในตอนที่ส่งผู้สอดแนมทั้ง 12 คนเข้าไปสอดแนมนั้น

มี 10 คนที่มีความคิดในด้านลบ จนทำให้อิสราเอล

เสียโอกาสในการเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า



เดือนนี้เป็นเดือน เผ่าสิเมโอน (คือการฟัง)

เมื่อเราเองต้องฟังอะไรบ่อยๆ เราก็จะปฏิบัติแบบนั้น

ฟังมากๆก็มักจะเป็นแบบนั้น



อย่าให้เราฟังคำพูดของมนุษย์ที่มาจากความคิดของมนุษย์

ที่แอบซ่อนอุบายของซาตาน ที่จะดึงเราให้ออกห่างจากพระประสงค์

ของพระเจ้า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องฟังพระคำจากพระเจ้า จริงๆ



เพราะหูก็ชิมถ้อยคำ อย่างกับเพดานปากชิมอาหาร

โยบ 34:3



ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง

เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน

แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธและกบฏ

เจ้าจะเป็นเหยื่อของคมดาบ

เพราะว่าพระโอษฐ์ของพระเจ้า

ได้ตรัสแล้ว

อิสยาห์ 1:19-20



บางครั้งเรารอคอยพระสัญญาของพระเจ้า

ระหว่างทางนั้นก็พบเจอกับอุปสรรคมากมาย

เมื่อเราเดินไปจ่อที่ปากทางเข้า และกำลังจะ

ได้รับชัยชนะ



เราก็เจอสกัดด้วยผู้สอดแนมทั้ง 10 คน

และวันนี้เราจะร่วมกันมั๊ย ..... ที่จะปิดปาก

ผู้สอดแนมทั้ง 10 และปิดหูเราเองจะเสียง

ของผู้สอดแนม ด้านลบเหล่านั้น



ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมที่เราควรจะยืน

ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนเรา อย่าให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขัดขวาง

ที่เราจะไปถึงเป้าหมายแห่งพันธสัญญา ของพระเจ้า อย่าเสียเวลาเลยครับ

อีกนิดเดียว



เดือนนี้เป็นเดือย อัพ ตามปฏิทินยิว ที่เราจะลิดเอาสิ่งที่ไม่ได้มาจาก

พระประสงค์ของพระเจ้า จากผู้สอดแนมทั้ง 10 คน ออกไป

5 ค. ที่ควรลิดทิ้ง

1.ความสงสัย (ขาดความเชื่อ)

กันดารวิถี 13:27-28

เขารายงานโมเสสว่า "เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์จริง แต่..

คนที่นั่นเข้มแข็ง เมือก็ใหญ่โต ป้อมกำแพงก็หนาแน่น และมีคนอานาค (มาจากคนเนฟิล)



เราเองเคยมีใจสงสัยหรือเปล่า บางครั้งเราอาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ปกติ

ไม่เห็นจะมีอะไร แล้วถ้ามันไม่มีอะไร จนกลายเป็นความเคยชิน

บางคนไม่สนใจฟังด้วยซ้ำ ผมยกตัวอย่างมานี่ก็ให้เราเห็นถึงความชินชา

และถ้าเราสงสัยจนเคยชินล่ะครับ จะมีผลกระทบต่อ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามั๊ย



ความสงสัย สงสัยจังทำไมๆๆ ทำไมต้องแบบนั้น ทำไมต้องแบบนี้ (ผมมิได้มีเจตนาว่าการ สงสัยผิดนะครับ)

คำจำกัดความของสงสัยคือ รู้สึกประหลาดใจ กริยาหมายถึง อาการที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ หรือยืนอยู่ที่สองข้าง ว่าจะเลือกข้างไหนดี



ให้เราเองที่จะฝึกมอบเรื่องราวไว้กับพระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าจะกระทำทุกสิ่งให้เกิดผลดี

ความสงสัยนี่เองทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ตัดสินใจไม่ได้ นำไปสู่ความสับสน ไม่รู้จะตัดสินใจยังไง



และความรู้สึกแบบนี้เองทำให้เราไม่ได้รับคำตอบของการอธิฐานโดยความเชื่อ (สงสัยคือขาดความเชื่อนั่นเอง)

พระคัมภีร์บอกว่าสั่งภูเขาให้ลอยไปในทะเลมันก็จะไป หรือ เมื่ออธิฐานจงเชื่อว่าจะได้รับ

มาระโก 11:23-24

“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดจะสั่งภูเขานี้ว่า จงลอยไปในทะเล และมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้นก็จะเป็นตามนั้นจริง เพราะฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าจะได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น”

พระเยซูไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เราอธิฐานขอแล้ว ให้เราต้องมานั่งสงสัย ว่าจะได้หรือไม่ พระองค์จะได้ยินเราหรือเปล่า

พระองค์ฟังเรามั๊ยแต่พระเจ้าตรัสว่า สิ่งใดท่านอธิฐานขอ



เมื่อเปโตร จะเดินบนน้ำไปหาพระองค์ เปโตรมีความเชื่อตอนนั้น

เมื่อเปโตรลงเดินไประหว่างนั้นเมื่อเข้าเห็น ลมพัดแรง

และเขาตกใจกำลังจมลง จึงร้องให้พระเยซูช่วยด้วย

พระเยซูยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้และบอกว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ

ในยากอบ 1:6 แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย

ตอนนี้เองเราจึงควรจดจ่อที่พระเจ้า ลมแรง คลื่นที่ถาโถม เปรียบกับปัญหาต่างๆ

ถ้าเราพึ่งกำลังเราเอาตัวไปเทียบกับปัญหา ปัญหาก็ใหญ่

แต่ในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ปัญหาก็เล็กนิดเดียว

ในมัทธิวเอง 17:14-20

ให้ท่านพิจารณาดู มีชายคนหนึ่งมาคุกเข่าขอให้พระเยซูให้รักษาบุตรที่เป็นลมบ้าหมู เพราะสาวกรักษาไม่ได้

พระองค์ให้พาเด็กนั้นมา สาวกถามว่า ทำไมพวกเขาขับผีนั้นออกไม่ได้ สิ่งที่พระเยซูตอบคือ "เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย"

คนชอบธรรมจะมีชีวิตด้วยความเชื่อ

ตัดสินใจเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าเองมีแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม คือ

ความคิดที่สงสัย และขาดความเชื่อ

พระเยซูชี้ให้สาวกเห็นว่า แม้จะเผชิญกับปัญหาสุดจะขยับเขยื้อน

ให้เราเบนสายตาจากปัญหามามองที่พระคริสต์ เพื่อให้มีความเชื่อมากขึ้น



2. ความสับสน

กันดารวิถี 13:30-31

คาเลบบอกว่า "เราควรขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่"

แต่มีเสียงคัดค้านว่า .. "เราสู้เขาไม่ได้หรอก เขาแข็งแกรงกว่าเรา"

ผมว่าสงสัยกับ สับสนนั้นเกี่ยวข้องกัน อาจจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกันก็ได้

สับสนนั้นอาจจะมีความหมายในการเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาโดยตลอด ตัดสินใจอะไรที่แน่นอนไม่ได้

คิดอย่างแต่ทำอีกอย่าง เคยหรือไม่ครับ ? ขาดความมั่นใจ

ยกเรื่องร้านอาหาร

บางครั้งเราสับสนและตามมาด้วยการหาเหตุผล ในความหมายของสับสนคือ ทำการใคร่ครวญหาเหตุผล

บางครั้งสิ่งนี้เราอาจจะพยายามตีความวิเคราะห์ พระวจนะสิ่งที่พระเจ้าพูดว่าสมเหตุสมผลมั๊ย

และถ้าไม่สมเหตุสมผลของเราล่ะครับ เราก็เกิดความไม่มั่นใจ



ซาตานต้องการแย่งชิงน้ำพระทัยของพระเจ้าไป นี่เป็นช่องทางโจมตีของซาตาน

ถ้าพระเจ้าให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง แต่มันดูไม่เข้าท่าล่ะครับ มันดูไม่เหมาะสมล่ะ

มันไม่น่าเป็นไปได้ มันไม่ควรทำ เราคิดแบบนี้มั๊ย...



ผมอยากหนุนใจว่าพระเจ้าจะนำเราไปในที่ที่เหมาะสมเสมอๆ มาตรฐานของโลกเอง ความคิดของโลกเอง

ความสมเหตุสมผลของโลกเอง ต่างกันกับพระทัยของพระเจ้า



อย่าให้เราเอาความสับสนสงสัย มาคิดแทนพระเจ้า ถ้าเราต้องเสียสละอะไรไป ต้องแลกกับสิ่งที่เรารัก

ต้องเสียเวลา แลกกับความสุขสบายที่เรามี เราจะวิเคราะห์อย่างไร



เราอาจมองว่า ชีวิตเก่าๆเดิมๆก็ดีอยู่แล้ว

1โครินธ์ 2:14

แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ

ความคิดของมนุษย์นั้น ชอบการดูสมเหตุสมผล มีที่มาและที่ไป มันจะให้ความรู้สึกที่ดี ถ้าเราเข้าใจอะไร คิดอะไรได้ แบบสมเหตุสมผล



3.ความเท็จ (นินทา ว่าร้าย ตัดสิน)

กันดารวิถี 13:32-33 , 14:4

แล้วพวกเขาก็กระจายข่าวในแง่ร้ายในอิสราเอล (ฉบับเดิม เขาได้กล่าวร้าย)

ว่าเป็นแผ่นดินที่กินคน (คนเรามักหวั่นไหว ในคำพูดแง่ลบ)

เราเป็นเหมือนตั๊กแตน

14:4 แล้วเขาก็พูดต่อๆกันไป ว่าจะเลือกผู้นำคนใหม่

การจะยุยงให้เกิดการกบฎนั้น มักจะมีข้อมูลที่เติมแต่งไม่จริงในแง่ลบ



การนินทาว่าร้าย กล่าวโทษ หรือการตัดสิน

กันดารวิถี 23:19

เพราะพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา

พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์ มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้ว

ไม่ทรงกระทำ หรือทรงสัญญาไว้แล้วไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น



อิสยาห์ 57:11 ,13 ตอนท้าย

เจ้าครั่นคร้ามและเกรงกลัวใคร เจ้าจึงได้มุสาอยู่นั่นเอง

แะไม่นึกถึงเรา และไม่เอาใจใส่เราสักนิด

เรามิได้ระงับปากอยู่เป็นเวลานานแล้วดอกหรือ (คิดว่าพระองค์เงียบอยู่นาน)

อย่างนั้นซีเจ้าจึงไม่ยำเกรงเรา



ท้าย 13 แต่ผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในเราจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และจะได้

ภูเขาบริสุทธิ์ ของเราเป็นมรดก



มัทธิว 5:18 NIV

เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป

แม้อักษรที่เล็กที่สุด ตัวหนึ่ง หรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหาย

จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน



1 ยอห์น 3:6 วิญญาณแห่งความเท็จ NIV

คนที่มาจากโลกจะพูดมุมมองของโลก และโลกก็ฟังเขา ส่วนเรามาจากพระเจ้า

ผู้ใดรู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าเป็น พระวิญญาณแห่งความจริง

หรือวิญญาณแห่งความเท็จ



เราต้องชนะเสียงเหล่านั้น เรามาจกพระเจ้าและต้องมั่นใจว่า

พระองค์ผู้ทรงอยู่ในเรา ยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก



มัทธิว 7:1-3

อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าพระไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น

เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก



เราเองเคยกล่าวโทษกันหรือไม่ครับ ผู้ที่มีสิทธิ์ปรับโทษได้มีแต่พระเจ้าเท่านั้น

เราเคยกล่าวโทษใครหรือไม่ ? ถ้าแบบนั้นเราตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเองหรือไม่ ?

พระเจ้าเจิมตั้งโมเสส และก็มีเพียงพระเจ้าองค์เดียวที่จะปลดโมเสส



ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น

บ่าวคนนั้นจะดีหรือจะล่มจมก็สุดแต่นายของเขาและเขาก็จะได้ดีแน่นอน

เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้



เราเองเป็นคนของพระเจ้า ถึงแม้เราจะมีผิดพลาด จะมีจุดออ่น

พระเจ้าทำให้เราชอบธรรมได้ อย่าให้เราตัดสินซึ่งกันและกันเลย

แม้เราจะเคยนินทา หรือกล่าวโทษ สิ่งนี้ก็ไม่สามารถทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนได้

โรม 2:1

เหตุฉะนั้นมนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา

บางครั้งเราเห็นด้วยเมื่อฟังคำกล่าวโทษ และนินทา

แต่จะตกใจมั๊ยถ้า ถ้าเค้าหันมาแล้วบอกว่าท่านก็พอกัน



เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าบางอย่างไม่ชอบธรรมหรือไม่ถูกต้อง

และเราต้องพูดนั้น ควรมีความระมัดระวัง

ถ้าเราต้องพูด เราต้องทำด้วยท่าทีที่ถ่อมใจและด้วยความรัก



ผมเคยนั่งคิดเล่นๆว่า เวลาเรานินทาใครนั้น เอ...เขาก็ไม่ได้ยินนี่นา และใครล่ะที่ได้ยิน

เราเองทั้งนั้น ตั้งแต่โดนยัดเยียดความคิด รับมันไว้ เอามาประมวลผล

และเค้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรานินทา

ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองเลย

เวลานินทาคนที่ได้ยินก็คือเราเอง

เราต้องร่วมมือกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พระองค์ทำการในเรา



ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก

ให้ความรักนั้นเป็นเกราะป้องกันเราจากการโจมตี

และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ



4.ความกระวนกระวาย กังวล

กันดารวิถี 14:1-2

เขาร้องไห้กันระงมทั่วอิสราเอล และบ่นกับโมเสสและอาโรน

"เราน่าจะตายในอียิปต์ หรือตายในถิ่นทุรกันดารนี้"

พวกเขากำลังกระวนกระวาย



พระคัมภีร์ที่พูดถึงความกระวนกระวาย เช่นใน

มัทธิว 6:25

เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม…….

ความวิตกกังวล นอกจากจะทำลายสุขภาพแล้วยังริดรอนความเชื่อของเราด้วย

1 เปโตร 5:7

จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย



กระวนกระวายคือรู้สึกอึดอัด และทุกข์ใจ เราเองไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดเลยในชีวิต จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้เรา

เชื่อว่าพระเจ้าจัดเตรียมคุณภาพชีวิตของเราให้ยิ่งใหญ่พอ

ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะกระวนกระวาย ไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย เหมือนเดิม หรือแย่ลง



บางครั้งเราก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้

ละความกระวนกระวาบ "ละ"คือโยนทิ้งไป

พระเจ้าเองรู้ถึงปัญหาของเราและพระองค์ก็รู้ถึงวิธีที่จะจัดการกับมันได้

ถ้าเรากระวนกระวายก็เท่ากับว่า เราพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวของเราเอง

เราจะต่อสู้กับความกระวนกระวายได้อย่างไร

เราอาจจะกระวนกระวายเรื่องสุขภาพ เรื่องเงินทอง บ้าน รถ

ให้เราเปลี่ยนเป็นคำอธิฐาน

หยุดที่จะแช่อยู่อย่างนั้นและอธิฐาน

หยุดที่จะร้องไห้และบ่น



ถ้าเราเองยังพึ่งพาตัวเอง เราก็ยังไม่ได้วางใจในพระเจ้าอย่างเต็ม 100%

พระองค์คอยเราอยู่ที่จะช่วยแบกภาระ

อย่าให้เรายอมจำนนต่อสถานการณ์ปัญหา

แต่ให้ยอมจำนนต่อพระเจ้า

สติปัญญาของโลกนี้ต่างกับพระปัญญาของพระเจ้ามากนัก

พระเยซูบอกเราว่า เรามอบสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ ยอห์น 14:27



เราจะพบเจอสันติสุขที่พระเยซูบอกเราตอนไหน ตอนเจอพายุร้าย พระเยซูไม่ได้มาเพื่อจะทำให้ความลำบากหมดไปจากเรา

แต่เราจะมีวิธีการใหม่ๆเพื่อให้เรารับมือกับพายุที่ถาโถมมาได้

จงแบกแอกแล้วเรียนจากพระเยซูคริสต์





จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

มัทธิว 11:29



พระเยซูไม่เคยกังวล เราเองก็ไม่ต้องกังวล หรือกระวนกระวายใจ

เมื่อเราเจอกับสถานการณ์ หรือมีความกระวนกระวายใจ เราจะพบวิธีการใหม่ๆที่จะรับมือได้โดยพระเยซูคริสต์



ทั้งหมดนี้ให้เราเรียกหา เชิญพระองค์มาเพื่อช่วยเรา

ยอห์น 14:26

แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าจะทรงส่งมาในพระนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่ท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน



5.ความเพิกเฉย เฉยเมย

กันดารวิถี 14:3

ทำไมพระเจ้าพาเรามาตาย ยังดินแดนนี้ด้วยคมดาบ

ลูกเมียเราต้องตกเป็นเชลย เราออกจากที่นี่กลับไป

อียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ ?

เขาไม่ต้องการทำอะไรแล้ว และอยากไปอยู่แบบเดิมๆ



ความหมายของเฉยเมย เพิกเฉย หมายถึง ความรู้สึกที่ขาดใจปรารถนา มีความเฉื่อยชา อุ่นๆ และเกียจคร้าน

บางครั้งเราอาจจะพยายามอ่านพระวจนะ ฟังคำสอน คำเทศนาต่างๆ แต่ไม่ทำะไรเลย



หัวใจแบบนี้เมื่อมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเข้ามา บางครั้งก็จะไม่ต่อสู้เลย เราต้องป้อนความคิดที่ถูกจนเต็มเสมอ

เพื่อจะแย้งกันได้ ขอให้พระวิญญาณ เตือนเรา

บางครั้งผมเองมีความคิดเช่นว่า เมื่อมีความคิดผิดๆเข้ามา ก็แช่มันไว้ซะเฉยๆ เพราะเราคิดว่า

เราไม่ได้ทำก็ไม่เห็นจะต้องจัดการก็ได้

บาป 2 ชนิด

1.บาปที่เราลงมือกระทำ

2.บาปเพิกเฉยนี่แหละครับ



บาปเฉยเมยคือ ไม่ยอมคิด หรือทำในสิ่งที่ถูกต้อง

ไม่ขอโทษ ไม่สารภาพ เฉยๆซะแบบนั้น

มีความคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด

เพราะคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร

- ไม่รู้ตัวว่าผิด

- ไม่ยอมรับว่าผิด



เราสามารถเอาชนะความเฉยเมยนี้ได้ โดยเอาชนะที่ความคิดก่อน

เรามีตะลันต์เรื่องไหนแต่เราไม่ทำ ความสามารถเราก็ไม่เติบโต

ยิ่งไม่อยากทำอะไร ก็จะมีความรู้สึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ

เราอาจจะดูในพระคัมภีร์เรื่องของตะลันต์ คนที่ได้ตะลันต์เดียวเรียนนายว่า ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน มัทธิว 25:14-30

คนที่ได้เงินตะลันต์เดียว ขุดหลุมซ่อนเงินของตนเองไว้

นายกลับมาก็ชี้แจงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน

เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่าน

ไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิดนี่เงินของท่าน

ผมขอนุญาติยกตัวอย่างเรื่องการออกกำลังกายนะครับ คนที่ไม่เคยวิ่งเลยนานๆ เมื่อวิ่งครั้งแรกจะรู้สึกทรมานมาก แต่ถ้าผมอยู่เฉยๆก็ไม่รู้สึกทรมานใช่ไหมครับ



แต่สุขภาพจะไม่สมบูรณ์เท่าออกกำลังกาย ตัวอย่างสั้นๆ ก็คือ ถ้าเรายังเฉยเมยก็ยิ่งแย่ลง

(ผมวิ่งไม่ได้หรอกมันไกลเกินไป)



โรม 12:2

อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่

เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม



คริสเตียน และผู้เชื่อทุกคน แม้กระทั้งผู้ที่ไม่เชื่อ ต่างก็มีความต้องการปรารถนาชีวิตที่ดี

แต่ถ้าเราเอาแต่เฉยเมย แต่ก็อยากให้มีอะไรดีๆเกิดขึ้น....????



สิ่งที่เราจะได้รับในอาณาจักรของพระเจ้า ในอนาคต ขึ้นอยู่กับ

สิ่งที่เราครอบครองในปัจจุบัน

คุณไม่ใช่ผู้เล็กน้อย

บางอย่างอาจจะยาก แต่เราค่อยๆคืบคลานและยึดคืนมาได้

การเอาชนะความเฉยเมย

- ตระหนักยอมรับว่าระบบของโลกปัจจุบันนั้นชั่วร้าย

- ยืนหยัดต่อสู้กับวิญญาณของโลกนี้

- เกลี่ยดชังสิ่งที่ชั่ว รักสิ่งที่ชอบธรรม

- เปลี่ยนแปลงความคิดให้สอดคล้องกับพระเจ้า …อ่านพระวจนะ



ช่วงท้าย

ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเผชิญกับกำแพงที่ใหญ่ ศัตรูที่เข้มแข็ง ยักษ์ต่างๆมากมายที่ทำให้เรา

หันออกจากพระประสงค์ของพระเจ้า และน้ำพระทัยของพระองค์

ผมหนุนใจว่าเราจะไม่ฟังเสียงเหล่านั้นอีกต่อไปที่ทำให้เราเดินเพี๊ยนออกจากทางของพระเจ้า



อิสยาห์ 45:2-3

พระเจ้าได้ตรัสว่า

พระองค์จะนำหน้าเราไป ปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ

เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก

พระองค์จะยกทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด

(ให้เราเรียกเอา ไม่ใช่เงินเพียงเท่านั้น นั่นไม่สิ่งที่เราจะจดจ่อแต่เราจดจ่อที่พระสัญญาของพระเจ้าที่เราจะไปให้ถึง เราเรียกเอาสุขภาพที่ดี ชีวิตที่ดี สันติสุขต่างๆมา)

ขุมทรัพย์ที่เร้นลับให้แก่เจ้า



พระคัมภีร์ใคร่ครวญ

จงชำระตัวให้สะอาดเถิดเอาการกระทำชั่วๆของเจ้า

ออกไปให้พ้นตาเรา เลิกทำผิดเสียเถิด

อิสยาห์ 1:16



หากเจ้าเต็มใจเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีที่สุดจากผืนแผ่นดิน

แต่หากเจ้ายังคงดื้อดึงหรอกบฏ เจ้าจะเป็นเหยื่อคมดาบ

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้ดังนั้น

อิสยาห์ 1:19-20

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

กำจัดอุปสรรค 5 ค. เพื่อไม่เสียโอกาส




กำจัดอุปสรรค 5 ค.   เพื่อไม่เสียโอกาส
ในตอนที่ส่งผู้สอดแนมทั้ง 12 คนเข้าไปสอดแนมนั้น
มี 10 คนที่มีความคิดในด้านลบ จนทำให้อิสราเอล
เสียโอกาสในการเข้าสู่แผ่นดินของพระเจ้า

เดือนนี้เป็นเดือน เผ่าสิเมโอน (คือการฟัง)
เมื่อเราเองต้องฟังอะไรบ่อยๆ เราก็จะปฏิบัติแบบนั้น
ฟังมากๆก็มักจะเป็นแบบนั้น

อย่าให้เราฟังคำพูดของมนุษย์ที่มาจากความคิดของมนุษย์
ที่แอบซ่อนอุบายของซาตาน ที่จะดึงเราให้ออกห่างจากพระประสงค์
ของพระเจ้า เป็นช่วงเวลาที่เราต้องฟังพระคำจากพระเจ้า จริงๆ

เพราะหูก็ชิมถ้อยคำ   อย่างกับเพดานปากชิมอาหาร 
โยบ 34:3

ถ้าเจ้าเต็มใจและเชื่อฟัง  
เจ้าจะได้กินผลดีแห่งแผ่นดิน  
แต่ถ้าเจ้าปฏิเสธและกบฏ  
เจ้าจะเป็นเหยื่อของคมดาบ  
เพราะว่าพระโอษฐ์ของพระเจ้า
ได้ตรัสแล้ว
อิสยาห์ 1:19-20

บางครั้งเรารอคอยพระสัญญาของพระเจ้า
ระหว่างทางนั้นก็พบเจอกับอุปสรรคมากมาย
เมื่อเราเดินไปจ่อที่ปากทางเข้า และกำลังจะ
ได้รับชัยชนะ

เราก็เจอสกัดด้วยผู้สอดแนมทั้ง 10 คน
และวันนี้เราจะร่วมกันมั๊ย ..... ที่จะปิดปาก
ผู้สอดแนมทั้ง 10 และปิดหูเราเองจะเสียง
ของผู้สอดแนม ด้านลบเหล่านั้น

ยังไม่สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาสู่ตำแหน่งเดิมที่เราควรจะยืน
ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนเรา อย่าให้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวขัดขวาง
ที่เราจะไปถึงเป้าหมายแห่งพันธสัญญา ของพระเจ้า อย่าเสียเวลาเลยครับ
อีกนิดเดียว

เดือนนี้เป็นเดือย อัพ ตามปฏิทินยิว ที่เราจะลิดเอาสิ่งที่ไม่ได้มาจาก
พระประสงค์ของพระเจ้า จากผู้สอดแนมทั้ง 10 คน ออกไป
5 ค. ที่ควรลิดทิ้ง
1.ความสงสัย (ขาดความเชื่อ)
กันดารวิถี 13:27-28
เขารายงานโมเสสว่า "เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์จริง แต่..
คนที่นั่นเข้มแข็ง เมือก็ใหญ่โต ป้อมกำแพงก็หนาแน่น และมีคนอานาค (มาจากคนเนฟิล)

เราเองเคยมีใจสงสัยหรือเปล่า บางครั้งเราอาจคิดว่านั่นเป็นเรื่องที่ปกติ
ไม่เห็นจะมีอะไร แล้วถ้ามันไม่มีอะไร จนกลายเป็นความเคยชิน
บางคนไม่สนใจฟังด้วยซ้ำ ผมยกตัวอย่างมานี่ก็ให้เราเห็นถึงความชินชา
และถ้าเราสงสัยจนเคยชินล่ะครับ จะมีผลกระทบต่อ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรามั๊ย

ความสงสัย สงสัยจังทำไมๆๆ ทำไมต้องแบบนั้น ทำไมต้องแบบนี้ (ผมมิได้มีเจตนาว่าการ สงสัยผิดนะครับ)
คำจำกัดความของสงสัยคือ รู้สึกประหลาดใจ กริยาหมายถึง อาการที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ หรือยืนอยู่ที่สองข้าง ว่าจะเลือกข้างไหนดี

ให้เราเองที่จะฝึกมอบเรื่องราวไว้กับพระผู้เป็นเจ้าของเรา ว่าจะกระทำทุกสิ่งให้เกิดผลดี
ความสงสัยนี่เองทำให้เราอยู่ในสภาวะที่ตัดสินใจไม่ได้ นำไปสู่ความสับสน ไม่รู้จะตัดสินใจยังไง

และความรู้สึกแบบนี้เองทำให้เราไม่ได้รับคำตอบของการอธิฐานโดยความเชื่อ (สงสัยคือขาดความเชื่อนั่นเอง)
พระคัมภีร์บอกว่าสั่งภูเขาให้ลอยไปในทะเลมันก็จะไป หรือ เมื่ออธิฐานจงเชื่อว่าจะได้รับ
มาระโก  11:23-24
เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดจะสั่งภูเขานี้ว่า จงลอยไปในทะเล และมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้นก็จะเป็นตามนั้นจริง เพราะฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิฐานพระเจ้าขอสิ่งใด จงเชื่อว่าจะได้รับ และท่านจะได้รับสิ่งนั้น
พระเยซูไม่ได้บอกว่า สิ่งที่เราอธิฐานขอแล้ว ให้เราต้องมานั่งสงสัย ว่าจะได้หรือไม่ พระองค์จะได้ยินเราหรือเปล่า
พระองค์ฟังเรามั๊ยแต่พระเจ้าตรัสว่า สิ่งใดท่านอธิฐานขอ

เมื่อเปโตร จะเดินบนน้ำไปหาพระองค์ เปโตรมีความเชื่อตอนนั้น
เมื่อเปโตรลงเดินไประหว่างนั้นเมื่อเข้าเห็น ลมพัดแรง
และเขาตกใจกำลังจมลง จึงร้องให้พระเยซูช่วยด้วย
พระเยซูยื่นพระหัตถ์จับเขาไว้และบอกว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเสียจริงๆ
ในยากอบ 1:6  แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย
ตอนนี้เองเราจึงควรจดจ่อที่พระเจ้า ลมแรง คลื่นที่ถาโถม เปรียบกับปัญหาต่างๆ
ถ้าเราพึ่งกำลังเราเอาตัวไปเทียบกับปัญหา ปัญหาก็ใหญ่
แต่ในพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่ ปัญหาก็เล็กนิดเดียว
ในมัทธิวเอง 17:14-20
ให้ท่านพิจารณาดู มีชายคนหนึ่งมาคุกเข่าขอให้พระเยซูให้รักษาบุตรที่เป็นลมบ้าหมู เพราะสาวกรักษาไม่ได้
พระองค์ให้พาเด็กนั้นมา สาวกถามว่า ทำไมพวกเขาขับผีนั้นออกไม่ได้ สิ่งที่พระเยซูตอบคือ "เพราะเหตุพวกท่านมีความเชื่อน้อย"
คนชอบธรรมจะมีชีวิตด้วยความเชื่อ
ตัดสินใจเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าเองมีแผนการที่ยิ่งใหญ่สำหรับเรา ทำลายความคิดที่มีเหตุผลจอมปลอม คือ
ความคิดที่สงสัย และขาดความเชื่อ
พระเยซูชี้ให้สาวกเห็นว่า แม้จะเผชิญกับปัญหาสุดจะขยับเขยื้อน
ให้เราเบนสายตาจากปัญหามามองที่พระคริสต์  เพื่อให้มีความเชื่อมากขึ้น

2. ความสับสน
กันดารวิถี 13:30-31
คาเลบบอกว่า "เราควรขึ้นไปยึดดินแดนนี้เป็นกรรมสิทธิ์ เราสามารถเอาชนะได้แน่"
แต่มีเสียงคัดค้านว่า .. "เราสู้เขาไม่ได้หรอก เขาแข็งแกรงกว่าเรา"
ผมว่าสงสัยกับ สับสนนั้นเกี่ยวข้องกัน อาจจะเป็นพี่น้องฝาแฝดกันก็ได้
สับสนนั้นอาจจะมีความหมายในการเปลี่ยนไป เปลี่ยนมาโดยตลอด ตัดสินใจอะไรที่แน่นอนไม่ได้
คิดอย่างแต่ทำอีกอย่าง เคยหรือไม่ครับ ? ขาดความมั่นใจ
ยกเรื่องร้านอาหาร
บางครั้งเราสับสนและตามมาด้วยการหาเหตุผล ในความหมายของสับสนคือ ทำการใคร่ครวญหาเหตุผล
บางครั้งสิ่งนี้เราอาจจะพยายามตีความวิเคราะห์ พระวจนะสิ่งที่พระเจ้าพูดว่าสมเหตุสมผลมั๊ย
และถ้าไม่สมเหตุสมผลของเราล่ะครับ เราก็เกิดความไม่มั่นใจ

ซาตานต้องการแย่งชิงน้ำพระทัยของพระเจ้าไป นี่เป็นช่องทางโจมตีของซาตาน
ถ้าพระเจ้าให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง แต่มันดูไม่เข้าท่าล่ะครับ มันดูไม่เหมาะสมล่ะ
มันไม่น่าเป็นไปได้ มันไม่ควรทำ เราคิดแบบนี้มั๊ย...

ผมอยากหนุนใจว่าพระเจ้าจะนำเราไปในที่ที่เหมาะสมเสมอๆ มาตรฐานของโลกเอง ความคิดของโลกเอง
ความสมเหตุสมผลของโลกเอง ต่างกันกับพระทัยของพระเจ้า

อย่าให้เราเอาความสับสนสงสัย มาคิดแทนพระเจ้า ถ้าเราต้องเสียสละอะไรไป ต้องแลกกับสิ่งที่เรารัก
ต้องเสียเวลา แลกกับความสุขสบายที่เรามี เราจะวิเคราะห์อย่างไร

เราอาจมองว่า ชีวิตเก่าๆเดิมๆก็ดีอยู่แล้ว
1โครินธ์ 2:14
แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้น   ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้   เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา   และเขาไม่สามารถเข้าใจได้   เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยวิญญาณ
ความคิดของมนุษย์นั้น ชอบการดูสมเหตุสมผล มีที่มาและที่ไป มันจะให้ความรู้สึกที่ดี ถ้าเราเข้าใจอะไร คิดอะไรได้ แบบสมเหตุสมผล

3.ความเท็จ (นินทา ว่าร้าย ตัดสิน)
กันดารวิถี 13:32-33 , 14:4
แล้วพวกเขาก็กระจายข่าวในแง่ร้ายในอิสราเอล (ฉบับเดิม เขาได้กล่าวร้าย)
ว่าเป็นแผ่นดินที่กินคน (คนเรามักหวั่นไหว ในคำพูดแง่ลบ)
เราเป็นเหมือนตั๊กแตน
14:4 แล้วเขาก็พูดต่อๆกันไป ว่าจะเลือกผู้นำคนใหม่
การจะยุยงให้เกิดการกบฎนั้น มักจะมีข้อมูลที่เติมแต่งไม่จริงในแง่ลบ

การนินทาว่าร้าย กล่าวโทษ หรือการตัดสิน
กันดารวิถี 23:19
เพราะพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ จะได้พูดมุสา
พระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยนใจอย่างมนุษย์ มีหรือที่ทรงลั่นวาจาไว้แล้ว
ไม่ทรงกระทำ หรือทรงสัญญาไว้แล้วไม่ทรงกระทำให้เป็นไปตามนั้น

อิสยาห์ 57:11 ,13 ตอนท้าย
เจ้าครั่นคร้ามและเกรงกลัวใคร เจ้าจึงได้มุสาอยู่นั่นเอง
แะไม่นึกถึงเรา และไม่เอาใจใส่เราสักนิด
เรามิได้ระงับปากอยู่เป็นเวลานานแล้วดอกหรือ (คิดว่าพระองค์เงียบอยู่นาน)
อย่างนั้นซีเจ้าจึงไม่ยำเกรงเรา

ท้าย 13 แต่ผู้ที่ลี้ภัยอยู่ในเราจะได้แผ่นดินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ และจะได้
ภูเขาบริสุทธิ์ ของเราเป็นมรดก

มัทธิว 5:18  NIV
เราบอกความจริงแก่ท่านว่าตราบจนฟ้าและดินสูญสิ้นไป
แม้อักษรที่เล็กที่สุด ตัวหนึ่ง หรือขีดๆหนึ่งก็จะไม่มีทางสูญหาย
จากหนังสือบทบัญญัติ จนกว่าทุกอย่างจะสำเร็จครบถ้วน

1 ยอห์น 3:6 วิญญาณแห่งความเท็จ NIV
คนที่มาจากโลกจะพูดมุมมองของโลก และโลกก็ฟังเขา ส่วนเรามาจากพระเจ้า
ผู้ใดรู้จักพระเจ้าย่อมฟังเรา เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าเป็น พระวิญญาณแห่งความจริง
หรือวิญญาณแห่งความเท็จ

เราต้องชนะเสียงเหล่านั้น เรามาจกพระเจ้าและต้องมั่นใจว่า
พระองค์ผู้ทรงอยู่ในเรา ยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นซึ่งอยู่ในโลก

มัทธิว 7:1-3
อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าพระไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น
เหตุไฉนท่านมองดูผงที่ในตาพี่น้องของท่าน แต่ไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน ท่านก็ไม่รู้สึก

เราเองเคยกล่าวโทษกันหรือไม่ครับ ผู้ที่มีสิทธิ์ปรับโทษได้มีแต่พระเจ้าเท่านั้น
เราเคยกล่าวโทษใครหรือไม่ ? ถ้าแบบนั้นเราตั้งตัวเป็นพระเจ้าเสียเองหรือไม่ ?
พระเจ้าเจิมตั้งโมเสส และก็มีเพียงพระเจ้าองค์เดียวที่จะปลดโมเสส

ท่านเป็นใครเล่าจึงกล่าวโทษบ่าวของคนอื่น
บ่าวคนนั้นจะดีหรือจะล่มจมก็สุดแต่นายของเขาและเขาก็จะได้ดีแน่นอน
เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฤทธิ์อาจให้เขาได้ดีได้

เราเองเป็นคนของพระเจ้า ถึงแม้เราจะมีผิดพลาด จะมีจุดออ่น
พระเจ้าทำให้เราชอบธรรมได้  อย่าให้เราตัดสินซึ่งกันและกันเลย
แม้เราจะเคยนินทา หรือกล่าวโทษ สิ่งนี้ก็ไม่สามารถทำให้คนคนนั้นเปลี่ยนได้
โรม 2:1
เหตุฉะนั้นมนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขาก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา
บางครั้งเราเห็นด้วยเมื่อฟังคำกล่าวโทษ และนินทา
แต่จะตกใจมั๊ยถ้า ถ้าเค้าหันมาแล้วบอกว่าท่านก็พอกัน

เมื่อไรที่เรารู้สึกว่าบางอย่างไม่ชอบธรรมหรือไม่ถูกต้อง
และเราต้องพูดนั้น ควรมีความระมัดระวัง
ถ้าเราต้องพูด เราต้องทำด้วยท่าทีที่ถ่อมใจและด้วยความรัก

ผมเคยนั่งคิดเล่นๆว่า เวลาเรานินทาใครนั้น เอ...เขาก็ไม่ได้ยินนี่นา และใครล่ะที่ได้ยิน
เราเองทั้งนั้น ตั้งแต่โดนยัดเยียดความคิด รับมันไว้ เอามาประมวลผล
และเค้าเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรานินทา
ตัวเราเองก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนได้ด้วยตัวเราเองเลย
เวลานินทาคนที่ได้ยินก็คือเราเอง
เราต้องร่วมมือกันกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พระองค์ทำการในเรา

ให้เราดำเนินชีวิตด้วยความรัก
ให้ความรักนั้นเป็นเกราะป้องกันเราจากการโจมตี
และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ

4.ความกระวนกระวาย กังวล
กันดารวิถี 14:1-2
เขาร้องไห้กันระงมทั่วอิสราเอล และบ่นกับโมเสสและอาโรน
"เราน่าจะตายในอียิปต์  หรือตายในถิ่นทุรกันดารนี้"
พวกเขากำลังกระวนกระวาย

พระคัมภีร์ที่พูดถึงความกระวนกระวาย เช่นใน
มัทธิว 6:25
เหตุฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่าอย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม…….
ความวิตกกังวล นอกจากจะทำลายสุขภาพแล้วยังริดรอนความเชื่อของเราด้วย
1 เปโตร 5:7
จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย

กระวนกระวายคือรู้สึกอึดอัด และทุกข์ใจ เราเองไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดเลยในชีวิต จะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ให้เรา
เชื่อว่าพระเจ้าจัดเตรียมคุณภาพชีวิตของเราให้ยิ่งใหญ่พอ
ไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่เราจะกระวนกระวาย ไม่มีอะไรดีขึ้นด้วย เหมือนเดิม หรือแย่ลง

บางครั้งเราก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้
ละความกระวนกระวาบ "ละ"คือโยนทิ้งไป
พระเจ้าเองรู้ถึงปัญหาของเราและพระองค์ก็รู้ถึงวิธีที่จะจัดการกับมันได้
ถ้าเรากระวนกระวายก็เท่ากับว่า เราพยายามแก้ปัญหาด้วยตัวของเราเอง
เราจะต่อสู้กับความกระวนกระวายได้อย่างไร
เราอาจจะกระวนกระวายเรื่องสุขภาพ เรื่องเงินทอง บ้าน รถ
ให้เราเปลี่ยนเป็นคำอธิฐาน
หยุดที่จะแช่อยู่อย่างนั้นและอธิฐาน
หยุดที่จะร้องไห้และบ่น

ถ้าเราเองยังพึ่งพาตัวเอง เราก็ยังไม่ได้วางใจในพระเจ้าอย่างเต็ม 100%
พระองค์คอยเราอยู่ที่จะช่วยแบกภาระ
อย่าให้เรายอมจำนนต่อสถานการณ์ปัญหา
แต่ให้ยอมจำนนต่อพระเจ้า
สติปัญญาของโลกนี้ต่างกับพระปัญญาของพระเจ้ามากนัก
พระเยซูบอกเราว่า เรามอบสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้  ยอห์น 14:27

เราจะพบเจอสันติสุขที่พระเยซูบอกเราตอนไหน ตอนเจอพายุร้าย พระเยซูไม่ได้มาเพื่อจะทำให้ความลำบากหมดไปจากเรา
แต่เราจะมีวิธีการใหม่ๆเพื่อให้เรารับมือกับพายุที่ถาโถมมาได้
จงแบกแอกแล้วเรียนจากพระเยซูคริสต์


จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก
มัทธิว 11:29

พระเยซูไม่เคยกังวล เราเองก็ไม่ต้องกังวล หรือกระวนกระวายใจ
เมื่อเราเจอกับสถานการณ์ หรือมีความกระวนกระวายใจ เราจะพบวิธีการใหม่ๆที่จะรับมือได้โดยพระเยซูคริสต์

ทั้งหมดนี้ให้เราเรียกหา เชิญพระองค์มาเพื่อช่วยเรา
ยอห์น 14:26
แต่องค์ที่ปรึกษาคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าจะทรงส่งมาในพระนามของเราจะทรงสอนสิ่งทั้งปวงแก่ท่าน และจะให้พวกท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวกับพวกท่าน

5.ความเพิกเฉย เฉยเมย
กันดารวิถี 14:3
ทำไมพระเจ้าพาเรามาตาย ยังดินแดนนี้ด้วยคมดาบ
ลูกเมียเราต้องตกเป็นเชลย เราออกจากที่นี่กลับไป
อียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ ?
เขาไม่ต้องการทำอะไรแล้ว และอยากไปอยู่แบบเดิมๆ

ความหมายของเฉยเมย เพิกเฉย หมายถึง ความรู้สึกที่ขาดใจปรารถนา มีความเฉื่อยชา อุ่นๆ และเกียจคร้าน
บางครั้งเราอาจจะพยายามอ่านพระวจนะ ฟังคำสอน คำเทศนาต่างๆ แต่ไม่ทำะไรเลย

หัวใจแบบนี้เมื่อมีความคิดที่ไม่ถูกต้องเข้ามา บางครั้งก็จะไม่ต่อสู้เลย เราต้องป้อนความคิดที่ถูกจนเต็มเสมอ
เพื่อจะแย้งกันได้ ขอให้พระวิญญาณ เตือนเรา
บางครั้งผมเองมีความคิดเช่นว่า เมื่อมีความคิดผิดๆเข้ามา ก็แช่มันไว้ซะเฉยๆ เพราะเราคิดว่า
เราไม่ได้ทำก็ไม่เห็นจะต้องจัดการก็ได้
บาป 2 ชนิด
1.บาปที่เราลงมือกระทำ
2.บาปเพิกเฉยนี่แหละครับ

บาปเฉยเมยคือ ไม่ยอมคิด หรือทำในสิ่งที่ถูกต้อง
ไม่ขอโทษ ไม่สารภาพ เฉยๆซะแบบนั้น
มีความคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด
เพราะคิดว่าไม่ได้ทำผิดอะไร
-           ไม่รู้ตัวว่าผิด
-           ไม่ยอมรับว่าผิด

เราสามารถเอาชนะความเฉยเมยนี้ได้ โดยเอาชนะที่ความคิดก่อน
เรามีตะลันต์เรื่องไหนแต่เราไม่ทำ ความสามารถเราก็ไม่เติบโต
ยิ่งไม่อยากทำอะไร ก็จะมีความรู้สึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ
เราอาจจะดูในพระคัมภีร์เรื่องของตะลันต์ คนที่ได้ตะลันต์เดียวเรียนนายว่า ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินไปซ่อนไว้ในดิน  มัทธิว 25:14-30
คนที่ได้เงินตะลันต์เดียว ขุดหลุมซ่อนเงินของตนเองไว้
นายกลับมาก็ชี้แจงว่า ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนใจแข็ง เกี่ยวผลที่ท่านมิได้หว่าน
เก็บส่ำสมที่ท่านมิได้โปรย ข้าพเจ้ากลัวจึงเอาเงินตะลันต์ของท่าน
ไปซ่อนไว้ใต้ดิน ดูเถิดนี่เงินของท่าน
ผมขอนุญาติยกตัวอย่างเรื่องการออกกำลังกายนะครับ คนที่ไม่เคยวิ่งเลยนานๆ เมื่อวิ่งครั้งแรกจะรู้สึกทรมานมาก แต่ถ้าผมอยู่เฉยๆก็ไม่รู้สึกทรมานใช่ไหมครับ

แต่สุขภาพจะไม่สมบูรณ์เท่าออกกำลังกาย ตัวอย่างสั้นๆ ก็คือ ถ้าเรายังเฉยเมยก็ยิ่งแย่ลง
(ผมวิ่งไม่ได้หรอกมันไกลเกินไป)

โรม 12:2
อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่
เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม

คริสเตียน และผู้เชื่อทุกคน แม้กระทั้งผู้ที่ไม่เชื่อ ต่างก็มีความต้องการปรารถนาชีวิตที่ดี
แต่ถ้าเราเอาแต่เฉยเมย แต่ก็อยากให้มีอะไรดีๆเกิดขึ้น....????

สิ่งที่เราจะได้รับในอาณาจักรของพระเจ้า ในอนาคต ขึ้นอยู่กับ
สิ่งที่เราครอบครองในปัจจุบัน
คุณไม่ใช่ผู้เล็กน้อย
บางอย่างอาจจะยาก แต่เราค่อยๆคืบคลานและยึดคืนมาได้
การเอาชนะความเฉยเมย
-           ตระหนักยอมรับว่าระบบของโลกปัจจุบันนั้นชั่วร้าย
-           ยืนหยัดต่อสู้กับวิญญาณของโลกนี้
-           เกลี่ยดชังสิ่งที่ชั่ว รักสิ่งที่ชอบธรรม
-           เปลี่ยนแปลงความคิดให้สอดคล้องกับพระเจ้า อ่านพระวจนะ

ช่วงท้าย
ไม่ว่าตอนนี้คุณจะเผชิญกับกำแพงที่ใหญ่ ศัตรูที่เข้มแข็ง ยักษ์ต่างๆมากมายที่ทำให้เรา
หันออกจากพระประสงค์ของพระเจ้า และน้ำพระทัยของพระองค์
ผมหนุนใจว่าเราจะไม่ฟังเสียงเหล่านั้นอีกต่อไปที่ทำให้เราเดินเพี๊ยนออกจากทางของพระเจ้า

อิสยาห์ 45:2-3
พระเจ้าได้ตรัสว่า
พระองค์จะนำหน้าเราไป ปราบภูเขาทั้งหลายให้ราบ
เราจะทลายประตูทองสัมฤทธิ์ และตัดลูกกรงเหล็ก
พระองค์จะยกทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในความมืด
(ให้เราเรียกเอา ไม่ใช่เงินเพียงเท่านั้น นั่นไม่สิ่งที่เราจะจดจ่อแต่เราจดจ่อที่พระสัญญาของพระเจ้าที่เราจะไปให้ถึง เราเรียกเอาสุขภาพที่ดี ชีวิตที่ดี สันติสุขต่างๆมา)
ขุมทรัพย์ที่เร้นลับให้แก่เจ้า

พระคัมภีร์ใคร่ครวญ
จงชำระตัวให้สะอาดเถิดเอาการกระทำชั่วๆของเจ้า
ออกไปให้พ้นตาเรา เลิกทำผิดเสียเถิด
อิสยาห์ 1:16

หากเจ้าเต็มใจเชื่อฟัง เจ้าจะได้กินผลดีที่สุดจากผืนแผ่นดิน
แต่หากเจ้ายังคงดื้อดึงหรอกบฏ เจ้าจะเป็นเหยื่อคมดาบ
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงลั่นวาจาไว้ดังนั้น
อิสยาห์ 1:19-20
ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship