วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2553

เราทำความดีเพื่ออะไร?

                                           

เราทำความดีเพื่ออะไร?
(1 เปโตร)

พ.ต.อ.สมเพียร เอกสมญา ผกก.สภ.บันนังสตาจ.ยะลา นายตำรวจซึ่งไต่เต้าและเติบ โตจากชั้นประทวน ผู้ทุ่มเทและอุทิศตนเองให้กับงานราชการในพื้นที่ทางภาคใต้มาร่วม  40 ปี จนเหลืออายุราชการเพียงแค่ปีเดียวก้อจะเกษียณ ได้อุตส่าห์ลงทุนเดินทางกว่า  1,000 กิโลเมตรเพื่อเข้าร้องเรียน พร้อมด้วยข้อชี้แจงและเหตุผล ตนได้รับการร้องขอ จากครอบครัว เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิตราชการน่าจะได้มีโอกาสพักผ่อนด้วยการขอ ย้ายออกจาก พื้นที่เสี่ยงล่อแหลมไปปฏิบัติราชการในตำแหน่งเดิมที่ สภ.กันตัง จ.ตรัง  แทนตำแหน่งเดิมที่ว่างอยู่ แต่จนแล้วจนรอดก็มาถูกคนร้ายถล่มยิงจนเสียชีวิต

บาง ครั้งเราพิจารณาว่าทำไมไม่ยุติธรรมเลย ทำไมคนที่ซื่อสัตย์ และทำความดีมา ตลอดทำไมต้องมาเจอกับเหตุการณ์เหล่านี้ ผมเคยได้ยินคำพูดที่ว่า คนดีๆทำไมตาย ง่ายตายเร็วส่วนคนไม่ดีนั้นทำไมอยู่นานและอยู่นานเพื่อทำสิ่งที่ไม่ดีด้วย มันเป็นเรื่อง ที่ยอมรับไม่ได้เลย ถ้าคนที่ตายไปนั้นเป็นคนที่ไม่ดีหรือเป็นคนเลว เราคิดว่าเราอาจจะ ยอมรับได้ ในบางครั้งเราคิดอยากกลับไปแก้ไขสถานการณ์ถ้าเป็นไปได้ เพราะเราคิด ว่ามันไม่ยุติธรรมเลย

พระคัมภีร์บอกเราว่าเราจะทนกับความทุกข์ยาก ลำบากมากเพียงไรในขระที่เราทำ ความดีอยู่นั้น ใน 1 เปโตร ได้พูดถึงความทุกข์ยากที่ไม่เป็นธรรมไม่ใช่การทุกข์ยาก จากการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุ แต่สิ่งร้ายๆที่ต้องทนทุข์ยากนั้นและความไม่เป็นธรรม จากการทำความดี เมื่อก่อนที่ผมจะเชื่อในพระเจ้าและเป็นคริสเตียน สมัยเด็กๆผู้ใหญ่ หลายคนมักจะสอนเราว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" จนมีคนมาแปลงว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน  ทำชั่วได้ดีมีถมไป" คำพูดประโยคหลังนี้สะท้อนถึงคนที่คิดว่า เห็นความไม่ยุติธรรม ของคนดีๆที่ได้รับตอบแทนจากการทำความดี บางครั้งเราคาดหวังอะไรในการมาเชื่อ พระเจ้า เมื่อเราเป็นคริสเตียน เราคาดหวังว่าชีวิตการติดตามพระเจ้าของเราจะปูด้วย พรมแดงสวยหรู กาศประกาศข่าวประเสริฐจึงไม่ใช่การประกาศถึงว่า เมื่อเชื่อพระเจ้า แล้ว พระเจ้าจะอวยพรสิ่งนั้นสิ่งนี้ จะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ จะสุขสบายไม่เจอความทุกข์ นั่น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ไม่ใช่หัวใจสำคัญ (ขอกลับเข้าเรื่องคืน)

แล้วเราจะทำเช่นใด เมื่อต้องเผชิญกับการทดลองเช่นนี้ เรามาดูใน 1 เปโตร

1.การทนทุกข์ ของคนงาน และภรรยา
1.1 (1 เปโตร 1:3-12)
ความทุกข์ ทรมานในตอนนี้คือ ความทุกข์ทรมานด้วยความหวัง ว่าจะได้รับความรอด  เพราะนี่คือบทพิสูจน์ว่าเราจะมีความเชื่อแท้ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เพื่อลองดูความ เชื่อของเราด้วยว่าเป็นความเชื่อแท้หรือไม่
1 เปโตร 1:7
"เพื่อ การ ลองดู ความ เชื่อ ของ ท่าน อัน ประเสริฐ ยิ่งกว่า ทองคำ ซึ่ง แม้ เสีย ไป ได้  ก็ ยัง ถูกลอง ด้วย ไฟ จะ ได้ เป็น เหตุ ให้ เกิด ความ สรรเสริญ เกิด ศักดิ์ศรี และ  เกียรติ ใน เวลา ที่ พระเยซู คริสต์ จะ เสด็จ มา ปรากฏ"
1.2 (1 เปโตร 1:13 - 2:3)
ความทนทุกข์ตอนนี้คือ ให้เรารู้จักข่มใจจากกิเลสตัณหา เพราะพระเตือนเราว่ากิเลส ตัณหาคือความโง่เขลา และให้เราละความชั่วทั้งปวง สิ่งที่ไม่ควรทำ เราต้องรักษาตน ให้บริสุทธิ์ และเติบโตในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างต่อเนื่อง
เมื่อ เราจะเป็นศิลาที่มีชีวิตในคริสตจักรของพระองค์โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลา มุม เอกที่มีชีวิต
1 เปโตร 2:4-10
"จงมาหาพระองค์ เหมือนมาถึงศิลาอันมีชีวิตอยู่ ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ ว่าพระเจ้าทรงเลือกไว้ และทรงค่าอันประเสริฐ
และท่านทั้งหลายก็เสมือน ศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศฝ่ายวิญญาณ เป็น ปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายสักการบูชาฝ่ายจิตวิญญาณ ที่ชอบพระทัยของพระเจ้าโดย ทางพระเยซูคริสต์
เพราะมีคำเขียนไว้ในพระ คัมภีร์ด้วยว่า `ดูเถิด เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน เป็น ศิลามุมเอกที่ทรงเลือกแล้ว และเป็นศิลาที่มีค่าอันประเสริฐ และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย
เหตุฉะนั้น พระองค์ทรงมีค่าอันประเสริฐสำหรับท่านทั้งหลายที่เชื่อ แต่สำหรับคนทั้ง หลายที่ไม่เชื่อฟังนั้น `ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว'
และ `เป็นศิลาที่ทำให้สะดุด และเป็นก้อนหินที่ทำให้ขัดเคืองใจ' ที่เขาสะดุดนั้นเพราะ เขาไม่เชื่อฟังพระวจนะ ตามที่เขาถูกกำหนดไว้เช่นนั้นด้วย
แต่ท่านทั้ง หลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็น ประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระองค์โดยเฉพาะ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ สำแดงพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้า ไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์
เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาเป็น ชนชาติไม่ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อ ก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว"

1.3 (1 เปโตร 2:11-3:6)
ความทุกข์ตอนนี้คือการที่ต้อง เชื่อฟังเจ้านายหรือสามี ในพระคัมภีร์พระเจ้าให้เราเชื่อ ฟังเจ้านายของเราเองด้วยความเคารพไม่เพียงแต่เจ้านายที่ดีหรือเจ้านายที่เรา พึงพอ ใจเท่านั้นแต่ต่อเจ้านายที่แย่และร้ายกาจด้วย
และภรรยาเองก็จง เชื่อฟังสามีแม้สามีเองจะไม่ดีต่อเราหรือไม่เชื่อในพระเจ้า เพื่อที่เขา นั้นจะเห็นความบริสุทธิ์และความยเกรงพระเจ้าในชีวิตของเรา ไม่ใช่แค่ภายนอกแต่ให้ มาจากข้างใน เพราะนี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อจะทำให้ผู้ที่ปฏิบัติต่อเราอย่างไม่ เป็นธรรมนั้น เห็นพระเจ้าในชีวิตของเรา เปโตรเตือเราไม่ให้ทำบาปเพื่อในขณะที่เรา ตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากนั้น เราจะไม่พ่ายแพ้ต่อการทดลองใจ
1 เปโตร 2:12 ,15
"จงให้การประพฤติของท่านทั้งหลายเป็น ที่น่านับถือท่ามกลางคนต่างชาตินั้น เพื่อว่า ในข้อที่เขาติเตียนท่านว่าเป็นคนทำชั่วนั้น เมื่อเขาเห็นการดีของท่านแล้ว เขาจะได้ สรรเสริญพระเจ้าในวันซึ่งพระองค์จะทรงเยี่ยมเยียนเขา"
"เพราะ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ท่านทั้งหลายระงับความโง่ของคนโฉด เขลาให้สงบด้วยการประพฤติดี"

1 เปโตร 3:1
"ฝ่ายท่านทั้งหลายที่ เป็นภรรยาก็เช่น กัน จงเชื่อฟังสามีของท่าน เพื่อว่าแม้สามีบาง คนจะไม่เชื่อฟังพระวจนะ แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจเขาได้ด้วยโดย ไม่ต้องใช้พระวจนะนั้น"
**3 เพื่อเฝ้าระวังการทดลองใจ
- เพื่อจะไม่หมดหวังกับอนาคต
- เพื่อจะไม่หยุดเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณ
- เพื่อจะไม่เสียความรู้สึกที่ดีต่อคนที่ปฏิบัติไม่ดีต่อเรา

2.การทนทุข์ ของสามีและเจ้านาย
เราอาจะคิดว่าความไม่เป็นธรรมและความทุข์ทน นั้นจะเกิดกับ ภรรยาและผู้น้อยคือคน งานเท่านั้น เพราะด้วยเพศและโดยตำแหน่งนั่นเอง แต่สามีและผู้นำเองก็ต้องเจอกับ ความทุกข์ยากจากความไม่เป็นธรรมด้วยเช่นกัน เราจะรับมือเช่นใด ถ้าเราเองเป็นผู้ นำและสามี
2.1 (1 เปโตร 3:8-4:6)
ความทุกข์ทน โดยอย่าทำชั่วตอบแทนการชั่ว และอวยพรต่อผู้ที่แช่งด่าท่าน ในฐานะ ของเจ้านายและผู้นำเราเองต้องพบเจอกับเรื่องแบบนี้และควรจะตอบสนองด้วยท่าที ที่ ถูกต้อง ถ้าเราเองมุ่งมั่นในการทำดีใครจะมาทำร้ายเราได้ แต่ถ้าเราต้องทนทุกข์ เพราะทำในสิ่งที่ถูกต้องพระเจ้าจะทรงอวยพรเรา ถ้าเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ เราต้องทนทุกข์เนื่องจากการทำดีก็ดีกว่าการทนทุกข์เนื่องจากการทำชั่ว
เรา ต้องทนทุกข์โดยที่ไม่ทำบาปในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า และให้เรารับใช้ผู้อื่นอย่าง สัตย์ซื่อ
1 เปโตร 4:7-11
"แต่สิ่งทั้ง ปวงใกล้จะถึงวาระที่สุด แล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงสำแดงกิริยาเสงี่ยม เจียมตัว และจงเฝ้าระวังในการอธิษฐาน
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็จงรักซึ่งกัน และกันให้มาก ด้วยว่าความรักก็ปกปิดความผิดไว้ มากหลาย
ท่านทั้งหลายจง ต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น
ตามซึ่งทุกคนได้รับของประทานแล้ว ก็ให้เจือจานของประทานนั้นแก่กันและกัน  เหมือนอย่างเจ้าหน้าที่อันดีสำหรับพระคุณต่างๆของพระเจ้า
ถ้าผู้หนึ่งผู้ ใดจะกล่าวสั่งสอน ก็ให้กล่าวตามพระโอวาทของพระเจ้า ถ้าคนใดรับการ ปรนนิบัติ ก็ให้ปรนนิบัติตามกำลังซึ่งพระเจ้าทรงโปรดประทานนั้น เพื่อว่าพระเจ้าจะ ทรงได้รับเกียรติในการทั้งปวงโดยพระเยซูคริสต์ การสรรเสริญและไอศวรรยานุภาพ จงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ เอเมน"

2.2 (1 เปโตร 4:12-19)

ความ ทุกข์ทนโดยปราศจากความงงงันและความอับอายบางครั้งเราต้องทนทุกข์ด้วย ความเจ็บปวด 4:12 บอกเราว่าแม้เราต้องถูกดูหมิ่นเนื่องด้วยพระนามของพระองค์ ท่านก็เป็นสุข เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา
1 เปโตร 4:12-14
"ท่านที่รัก อย่าประหลาดใจที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสเป็นการ ลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน
แต่ว่าท่านทั้ง หลายจงชื่นชมยินดีในการที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยาก ของพระ คริสต์ เพื่อว่าเมื่อสง่าราศีของพระองค์ปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็น อันมากด้วย
ถ้าท่านถูกด่าว่าเพราะ พระนามของพระคริสต์ ท่านก็เป็นสุข ด้วยว่าพระวิญญาณแห่ง สง่าราศีและของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน ฝ่ายเขาก็กล่าวร้ายพระองค์ แต่ฝ่ายท่าน ก็ถวายเกียรติยศแด่พระองค์"
การทนทุกข์ในที่นี้คือการทน ทุกข์ในการทำดี ไม่ใช่การทนทุกข์จากการทำการชั่ว พระ เจ้าหนุนใจเราไม่ให้ละอายแต่ตรงข้ามจงสรรเสริญพระเจ้า
เพราะในบางครั้ง เราเองก็คาดหวังให้พระเจ้าอวยพรเมื่อเราทำดี (เราอาจจะไม่รู้สึกตัว และไม่ตั้งใจ ในการทำดีเพื่อแลกกับพระพร) อย่าให้เราละอายที่เราเป็นคริสเตียนและ ทำดีเพื่อพระเจ้า แต่เราควรมีความละอายเมื่อทำชั่วต่างหาก
1 เปโตร 4:15-16
"แต่ว่าอย่า ให้มีผู้ใดในพวกท่านได้รับ โทษฐานเป็นฆาตกร หรือเป็นขโมย หรือเป็น คนทำร้าย หรือเป็นคนที่เที่ยวยุ่งกับธุระของคนอื่น
แต่ถ้าผู้ใดถูกการร้ายเพราะ เป็นคริสเตียน ก็อย่าให้ผู้นั้นมีความละอายเลย แต่ให้เขา ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะเหตุนั้น"

2.3 (1 เปโตร 5:1-11)
ใน บางครั้งการที่เรามีความเชื่อมั่นเกินไปและมีฐิถิของเราเองทำให้เราขาดใจที่ ถ่อมลง และยอมรับฟังซึ่งกันและกันและถึงแม้จะยอมเราก็จำใจที่จะยอม
1 เปโตร 5:5
"ในทำนองเดียวกัน ท่านที่อ่อนอาวุโส ก็จงยอมตามผู้อาวุโส อันที่จริงให้ท่านทุกคน คาดเอวไว้ด้วยความถ่อมใจในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าทรงต่อสู้คน เหล่านั้นที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์ทรงประทานพระคุณแก่คนทั้งหลายที่ถ่อมใจลง"
ให้เราเชื่อฟังผู้ ที่อาวุโสกว่า เรียนรู้และยอมที่จะถ่อมใจต่อกัน ไม่ใช่เรื่องใครผิดใครถูก นั่นเป็นภาพของการทนทุกข์เพื่อที่จะทำดีเพราะพระคุณของพระเจ้าจะมาถึงเรา และ การดูแลฝูงแกะของผู้นำนั้นไม่ใช่ด้วยการวางอำนาจแต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่หน้าที่  ไม่ใช่เงินทองสิ่งของแลกเปลี่ยนหรือตอบแทน แต่ด้วยเพราะพระประสงค์ของพระเจ้า
สามีเองควรให้เกียรติและเข้าใจภรรยา ด้วยความเห็นอกเห็นใจ ไม่ใช่การเสียเกียรติที่ จะถ่อมใจลงรับฟังซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ใครผิดใครถูกและทะเลาะกันต้องทนทุกข์กับ เรื่องไม่เป็นเรื่อง
1 เปโตร 5:6
"เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อ พระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร"

**3 อย่า สำหรับแนวทางแก้ไขตามพระคัมภีร์สำหรับผู้ที่ตกอยู่ในการทดลอง
- อย่ามีความคิดที่แก้แค้นเราต้องไม่ตอบแทนการชั่วด้วยสิ่งชั่ว (1 เปโตร 3:9)
"เหตุ ฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงภายใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อ พระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร"
- อย่ามีความคิดหดหู่ เราต้องมีความชื่นชมยินดี (1 เปโตร 4:13)
"แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชม ยินดีในการ ที่ท่านได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของ พระคริสต์ เพื่อว่าเมื่อสง่าราศีของพระองค์ปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดี เป็นอันมากด้วย"
- อย่ามีความคิดใช้อำนาจในทางที่ผิด รื้อฟื้นและมีความกะตือรือล้นในการรับใช้ผู้ใต้ บังคับบัญชาของเรา (1 เปโตร 5:2)
"จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่กับ ท่าน จงเอาใจใส่ดูแล ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของอันเป็นมลทิน แต่ด้วยใจพร้อม"

เมื่อ เราต้องทนทุกข์กับความทุกข์ยากให้เราเปลี่ยนท่าทีและความคิดของเราว่าเรามี ชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า ตามพระประสงค์ของพระองค์
"ฉะนั้น โดยเหตุที่พระคริสต์ได้ทรงทนทุกข์ทรมานในเนื้อหนังเพื่อเราทั้งหลายแล้ว  ท่านทั้งหลายก็จงมีความคิดอย่างเดียวกันไว้เป็นเครื่องอาวุธด้วย เพราะว่าผู้ที่ได้ทน ทุกข์ทรมานในเนื้อหนังก็ไม่สัมพันธ์กับบาปแล้ว
เพื่อ เขาจะได้ไม่ดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในเนื้อหนังตามใจปรารถนาของ มนุษย์  แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า"


อยากหนุนใจย้ำด้วยข้อพระคัมภีร์ใน 1 เปโตร 3:17

"เพราะว่าการได้รับความทุกข์เพราะทำความดี
ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้าก็ดีกว่าจะต้องทน
อยู่เพราะการประพฤติชั่ว" 

ที่มาบางส่วนจากหนังสือ "มุมมองใหม่ต่อพระคัมภีร์ใหม่" ของ ฮวง สาบิน
ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553

ความเชื่อในชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น)



ความเชื่อในชีวิตนิรันดร์ (ยอห์น)
ครั้งหนึ่งในวันหยุดที่มีโอกาสได้ผ่อนคลายและได้พักผ่อน ผมนั่งดูสารคดี ชีวิตของนักขับรถผาดโผนซึ่งเป็นสตั๊นแมน และได้ร่วมงานในภาพยนต์หลายเรื่องของฮอลลีวู้ดส์ มาร์ค (นามสมมุติ) มีความสามารถในการขับรถเอียงข้างด้วยสองล้อ หรือขับรถข้ามรถคันอื่นๆที่เรียงราย กันอยู่หลายคัน ขับรถทะลุกำแพงไฟ และฝ่าดงระเบิดเอฟเฟค ก่อนที่มาร์คจะทำการแสดง  ผมเชื่อว่าเค้าต้องทำได้แน่นอน ถึงได้กล้ามาออกรายการแบบนี้มันสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก และเมื่อนาทีสำคัญมาถึงเมื่อ มาร์คกำลังจะทำสถิติโดยการข้ามรถที่มีจำนวนมากกว่าเดิมเป็นสถิติโลก มาร์คถามผู้ชมว่า เชื่อไหมว่าเขาจะทำได้ ทุกคนบอกว่า "เราเชื่อนาย มาร์ค" พร้อมเชียร์ และให้กำลังใจ ก่อนที่จะทำการแสดง มาร์คถามผู้ชมว่า คุณเชื่อผม แล้วมีใคร จะนั่งไปในรถกับผมไหม ?
ไม่มีใครอาสาเลย จนมาถึงอาสาสมัครคนหนึ่ง เขารับที่จะนั่งไปในรถกับมาร์ค เมื่อทำการแสดง ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีตามเป้าหมาย มาร์คสามารถทำสถิติโลกได้


เรื่องของมาร์คทำให้เราพบว่า มาร์คสามารถขับรถไปได้โดยมีอาสาสมัครได้อย่างไม่มีปัญหาใดๆเลย บางครั้งความเชื่อของเราก็ไม่ถึงขนาดมากพอที่จะเอาตัวเองเข้าไปนั่งในรถคันนั้นได้เลย อาสาสมัครคนนี้ต้องมีความเชื่อในความสามารถของมาร์คเท่านั้นถึงจะมีความเชื่อได้


ยอห์นได้เขียนขึ้นสำหรับผู้ที่มีความสงสัยในการเชื่อวางใจในองค์พระเยซูคริสตร์ ยอห์นเรียกให้เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า และชีวิตนิรันดร์ก็มีอยู่ในพระองค์เท่านั้นที่จะประทานให้เราแต่เราเองต้องมีความเชื่อให้มากพอที่จะเต็มใจมอบชีวิตของเราไว้ในอุ้งพระหัตถ์ของพระองค์


ประโยคเด็ดในพระธรรมคือ "เพื่อทุกคนที่วางใจในพระองค์จะได้ชีวิตนิรันดร์" เราจะได้ชีวิตนิรันดร์ก็โดยความเชื่อ ผู้ที่เชื่อในพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์


พระธรรมยอห์นกล่าวถึงชีวิตนิรนดร์ (ขอยกตัวอย่าง)
ยอห์น 3:15 เพื่อ ทุกคน ที่ วางใจ ใน พระองค์ จะ ได้ ชีวิต นิรันดร์
ยอห์น 3:16 เพื่อ ทุกคน ที่ วางใจ ใน พระบุตร นั้น จะ ไม่ พินาศ แต่ มี ชีวิต นิรันดร์
ยอห์น 5:24 ผู้ ใด ฟัง คำ ของ เรา และ วางใจ ใน พระองค์ ผู้ ทรง ใช้ เรา มา ผู้นั้น ก็ มี ชีวิต นิรันดร์
ยอห์น 6:27-28  จง หา อาหาร ที่ ดำรง อยู่ คือ อาหาร แห่ง ชีวิต นิรันดร์
ยอห์น 6:35
ยอห์น 6:40 ทุกคน ที่ เห็น พระบุตร และ วางใจ ใน พระบุตร ได้ มี ชีวิต นิรันดร์
ยอห์น 6:47  เรา บอก ความ จริง แก่ ท่าน ทั้งหลาย ว่า ผู้ ที่ วางใจ ใน เรา ก็ มี ชีวิต นิรันดร์
ยอห์น 6:68-69
ยอห์น 11:25-26
ยอห์น 20:31


ความเชื่อ 3 (ช) สู่ชีวิตนิรันดร์
1. เชื่อในพระบุตรองค์เดียวจะได้รับชีวิตนิรันดร์

เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือไม่ พระเยซูบอกเราว่าไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้นอกจากทางเรา คือพระองค์ และพระองค์ได้แสดงการอัสจรรย์และหมายสำคัญในช่วงบทที่ 1-12 นี้เพื่อยืนยันว่าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
1.เปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น (2:1-11)
2.รักษาบุตรของข้าราชการให้หายโรค (4:46-54)
3.รักษาคนง่อยที่สระน้ำ (5:1-9)
4.เลี้ยงคนห้าพันคน (6:1-14)
5.ดำเนินในทะเลสาปและช่วยสาวก (6:16-21)
6.รักษาคนตาบอดแต่กำเนิด (9:1-7)
7.เรียกลาซาลัสให้เป็นขึ้นจากความตาย (11:1-46)


เพื่อนำสาวกให้เชื่อในพระองคื และพระองค์ได้ทรงรับรองพระดำรัสของพระองค์เองด้วยการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญ 7 อย่างด้วยกัน


1.ผู้นั้นจะไม่กระหายอีกเลย 4:14...................ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น
2.ผู้นั้นจะไม่หิวอีกเลย 6:35...........................เลี้ยงคนห้าพันคนด้วยขนมปัง5ก้อน
3.ผู้นั้นจะไม่ถูกทอดทิ้งเลย 6:37....................การดำเนินช่วยสาวกที่ทะเลสาป
4.ผู้นั้นจะไม่เดินในความมืดเลย 8:12............รักษาคนตาบอดแต่กำเนิด
5.ผู้นั้นจะไม่ประสบกับความตายเลย 8:51....รักษาบุตรข้าราชการ
6.ผู้นั้นจะไม่พินาศเลย 10:28..........................รักษาคนง่อย
7.ผู้นั้นจะไม่ตายเลย 11:26..............................เรียกลาซาลัสจากตาย


พระองค์ยืนยันพระดำรัสของพระองค์ว่าเป็นจริงและทรงเป็นบุตรของพระเจ้าจริง และมีสิทธิอำนาจที่จะประทานชีวิตนิรันดร์แก่ผู้ที่เชื่อในพระองค์


2.เชื่อในพระบุตรเป็นทางเดียวไปสู่พระบิดา
ในระหว่างนี้พระองค์ได้ทรงตรัสกับสาวกจากห้องชั้นบน โดยเนื้หาที่พระองค์ทรงตรัสนั้นเกี่ยวกับความรัก เมื่อพระองค์บอกกับเหล่าสาวกว่าพระองค์ทรงยอมสละชีวิตเพราะพระองค์ทรงรักพวกเขาเหล่านั้น
ยอห์น 15:13
"ไม่มี ผู้ใด มี ความ รัก ที่ ยิ่ง ใหญ่ กว่า นี้ คือ การ ที่ ผู้หนึ่ง ผู้ใด จะ สละ ชีวิต ของ ตน เพื่อ มิตรสหาย ของ ตน"
ให้เราเองแน่ใจว่าพระเยซูพระองค์ทรงรักเรา รักเรามากจนสละชีวิตเพื่อเราได้ ในเวลานั้นสิ่งที่พระองค์ตรัสว่าจะต้องตายและจากไปทำให้สาวก ทั้งกังวล และทุกข์ใจ ในความคิดของเขาตอนนั้น กำลังสงสัยว่าพระองค์จะไปไหน จะตามพระองค์ไปได้อย่างไร
ยอห์น 14:5
"โธมัส ทูล พระองค์ ว่า พระองค์ เจ้าข้า พวก ข้าพระองค์ ไม่ ทราบ ว่า พระองค์ จะ เสด็จ ไป ที่ไหน พวก ข้าพระองค์ จะ รู้จัก ทาง นั้น ได้ อย่างไร"
แต่พระเยซูอธิบายว่าพระองค์จะเสด็จไปหาพระบิดา แต่สาวกก็ไม่เข้าใจ กระทั่งพระองค์อธิบายอีกว่า พระองค์ทรงจากพระบิดามาและต้องกลับไป สาวกจึงเข้าใจและเชื่อ


พระเยซูทรงทดสอบความเชื่อ 3 ครั้ง
- ทรงให้เรารักกัน เมื่อพระองค์ไปแล้ว ยอห์น 13:34
"เรา ให้ บัญญัติ ใหม่ ไว้ แก่ เจ้า ทั้งหลาย คือ ให้ เจ้า รัก ซึ่ง กัน และ กัน เรา รัก เจ้า ทั้งหลาย มา แล้ว อย่างไร เจ้า จง รัก กัน และ กัน ด้วย อย่าง นั้น "


- ทรงจะจากพวกเขาไปคือต้องตาย ไปหาพระบิดาและจะกลับมาใหม่ ทรงทดสอบว่าสาวกจะชื่นชมยินดีในความรักที่มีต่อพระองค์หรือไม่ ยอห์น 14:28
"ท่าน ได้ ยิน เรา กล่าว แก่ ท่าน ว่า 'เรา จะ จาก ไป และ จะ กลับ มา หา ท่าน' ถ้า ท่าน รัก เรา ท่าน ก็ จะ ชื่นชม ยินดี ที่ เรา ไป หา พระบิดา เพราะ พระบิดา ทรง เป็น ใหญ่ กว่า เรา"


- ทดสอบว่าสาวกจะยึดมั่นในความรักของพระองค์ หรือจะท้อถอย ยอห์น 16:1
"เรา บอก สิ่ง เหล่า นี้ แก่ ท่าน ทั้งหลาย ก็ เพื่อ ไม่ ให้ ท่าน ท้อถอย"


3. เชื่อว่าคำพยานของพระบุตรเป็นจริง
ในตอนนี้ได้บันทึกถึง
การจับกุม
การถูกตรึงที่กางเขน
การฟื้นคืนพระชนม์
และการปรากฏตัวของพระองค์


พระองค์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เราเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า และจะมีชีวิตนิรันดร์ถ้ามีความเชื่อ พระธรรมยอก์นบันทึกว่า คำพยานนี้เป็นความจริง
ยอห์น 18:37
"ปีลาต จึง ทูล พระองค์ ว่า ถ้า เช่น นั้น ท่าน ก็ เป็น กษัตริย์ น่ะ ซี" พระเยซู ตรัส ตอบ ว่า "ท่าน พูด ว่า เรา เป็น กษัตริย์ เพราะ เหตุ นี้ เรา จึง เกิด มา และ เข้า มา ใน โลก เพื่อ เป็น พยาน ให้ แก่ สัจจะ คน ทั้งปวง ซึ่ง อยู่ ฝ่าย สัจจะ ย่อม ฟัง เสียง ของ เรา"


ยอห์น 19:35
"คน นั้น ที่ เห็น ก็ เป็น พยาน และ คำ พยาน ของ เขา ก็ เป็น ความจริง และ เขา ก็ รู้ ว่า เขา พูด ความจริง เพื่อ ท่าน ทั้งหลาย จะ ได้ เชื่อ"


ยอห์น 21:24
"สาวก คน นี้ แหละ ที่ เป็นพยาน ถึง เหตุการณ์ เหล่า นี้ และ เป็น ผู้ ที่ บันทึก สิ่ง เหล่า นี้ ไว้ และ เรา ทราบ ว่า คำ พยาน ของ เขา เป็น ความจริง"


ยอห์เชื่อเมื่อเขาไปถึงอุโมง๕กับเปโตร และพบว่าอุโมงค์นั้นว่างเปล่า
ยอห์น 20:8
"แล้ว สาวก คน นั้น ที่ มา ถึง ก่อน ก็ ตาม เข้า ไป ด้วย เขา ได้ เห็น และ เชื่อ"
โธมัสเชื่อเมื่อเห็นรอยตะปู และแผลที่สีข้าง
ยอห์นมีจุดมุ่งหมายให้เราเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้าผู้ให้ชีวิตนิรันดร์
และยอห์นพยายามบอกว่าพระเยซูรักเรามากมายจริงๆจนสละแม้ชีวิตของพระองค์เพื่อเรา และหากจนบัดนี้เรายังไม่เชื่ออีกให้เราเห็นว่าพระองค์เองได้ทรงเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ผู้ที่เชื่อในพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น จึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ให้เราตอบสนองในชีวิตของเราพระเยซูเท่านั้นที่จะให้ได้


- - เราต้องเชื่อในการอัศจรรย์ของพระองค์ เชื่อในคำพยานของพระองค์ นี่เป็นการทดสอบความเชื่อของเราผ่านการอัศจรรย์ การอัศจรรย์ที่เหนือธรรมชาติ เราจะคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าข้าราชการคนนั้นไม่เชื่อพระองค์และหันหลังหนีแทนที่จะกลับไปหาลูกที่ป่วยด้วยความเชื่อ (4:50)
"พระเยซู ตรัส กับ เขา ว่า กลับ ไป เถิด บุตร ของ ท่าน จะ ไม่ ตาย  ข้าราชการ ผู้ นั้น เชื่อ พระดำรัส ที่ พระเยซู ตรัส กับ ท่าน จึง ทูล ลา ไป"
ถ้าคนง่อยตนนั้นไม่เชื่อพระองค์ และไม่ทำตามพระองค์ (5:8)
"พระเยซู ตรัส กับ เขา ว่า จง ลุก ขึ้น ยก แคร่ ของ เจ้า เดิน ไป เถิด"
ดูความเชื่อของคนนี้สิครับ เราอ่านง่ายๆ แต่ถ้าเกิดกับเราล่ะเราจะเชื่อไหม ?
หรือเรื่องขนมปังห้าก้อนที่เลี้ยงคนห้าพัน มันยากแน่ถ้าเราคิดแบบมนุษย์
พระองค์ต้องการทดสอบความเชื่อของเรา และผู้ที่ขาดความเชื่อก็จะท้อถอยและทิ้งพระองค์ไป (ยอห์น 6:66) "ตั้งแต่ นั้น มา สาวก ของ พระองค์ หลาย คน ก็ ท้อถอย ไม่ ติดตาม พระองค์ ต่อไป อีก"


- -  เราดูความเชื่อของอาสาสมัครที่เชื่อเชื่อใจในตัวของมาร์คว่า จะขับรถได้อย่างปลอดภัย เราเองต้องเชื่อในพระองค์ เชื่อในตัวของพระเยซูเลย เชื่อว่าพระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้แก่เราได้ (11:25) "พระเยซู ตรัส กับ เธอ ว่า เรา เป็น เหตุ ให้ คน ทั้งปวง เป็น ขึ้น และ มี ชีวิต ผู้ ที่ วางใจ ใน เรา นั้น ถึง แม้ว่า เขา ตาย แล้ว ก็ ยัง จะ มี ชีวิต อีก"


- - เราเองต้องผ่านการทดสอบ คือทำตามพระบัญญัติของพระองค์ เป็นพยานฝ่ายพระองค์ แม้จะต้องถูกข่มเหง เราจะยอมไหม ? แม้การทดสอบจะยากเพียงใดและเราไม่สามารถผ่านไปได้ เหมือนเปโตร ที่ปฏิเสธพระเยซู แต่เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเรา แม้เราจะพลาดและไม่ผ่าน พระองค์จะชูใจเรา เสริมกำลังเราและให้โอกาสใหม่แก่เรา


เราเองจะได้ชื่นชมยินดีกับชีวิตที่ครบบริบูรณ์และเป็นชีวิตนิรันดร์
ชีวิตนิรันดร์คือการรู้จักพระเยซูคริสต์ พระบิดาที่ทรงใช้เรามา
"และ นี่ แหละ คือ ชีวิต นิรันดร์ คือ ที่ เขา รู้จัก พระองค์ ผู้ ทรง เป็น พระเจ้า เที่ยง แท้ องค์ เดียว และ รู้จัก พระเยซูคริสต์ ที่ พระองค์ ทรง ใช้ มา"
ยอห์น 17:3

ktm.worship 

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

ศึกล้มยักษ์


ศึกล้มยักษ์






 บทความนี้เป็นบทความที่เขียนเร็วที่สุด คือไม่กี่นาทีเพราะโดนกับตัวเองในบางอย่าง เราเองทุกคนย่อมมียักษ์ในชีวิตของตัวเองแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป บางคนมีน้อยมีมาก


ถ้าเราพูดถึงยักษ์แน่นอนครับ เราซึ่งเป็นคนไทยก็จะมีภาพยักษ์ในแบบไทยๆที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็ก ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่โตเท่าภูเขามีเขี้ยวน่ากลัว และจับมนุษย์กินเป็นอาหาร สยดสยองจริงๆ
มนุษย์ที่สูงที่สุดในโลกตั้งแต่มีการบันทึกมาคือนาย โรเบิร์ต แอดโลว์ ซึ่งมีความสูง 2.72 เมตร (พอๆกับโกลิอัท) ในพระคัมภีร์เองก็พูดถึงมนุษย์ยักษ์ แต่ผมจะไม่เจาะลึกเรื่องนี้เพราะแค่ต้องการให้เรา


เห็นภาพของยักษ์เท่านั้น
"ในคราวนั้นมีคนเนฟิล (คือพวกมนุษย์ยักษ์) อยู่บนแผ่นดิน เมื่อบุตรพระเจ้าได้สมสู่อยู่กับบุตรหญิงของมนุษย์ พวกนี้เป็นคนแกล้วกล้าในโบราณกาล เป็นคนมีชื่อเสียง"
ปฐมกาล 6:4

"ที่นั่นเราเห็นคนเนฟิล (คนอานาคผู้มาจากคนเนฟิล) ในสายตาของเรา เราเหมือนเป็นตั๊กแตนโม ในสายตาของเราก็เหมือนกัน"
กันดารวิถี 13:33

เราจะพบได้ว่าความเป็นยักษ์ได้ตามและทำให้เรากลัวมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว และในความคิดเราแน่นอนมันเป็นเรื่องยากแน่นอนที่เราคิดจะต่อกรกับยักษ์เหล่านี้ ในปัจจุบันภาพของยักษ์ไม่ใช่แค่


เพียวรูปธรรมเท่านั้น ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกยกให้เป็นยักษ์ใหญ่ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ด้านการทหาร ด้านกีฬา ในเอเชียก็มีประเทศจีน เป็นมหาอำนาจ และยากที่ประเทศใดๆจะ


ลุกขึ้นมาต่อกรด้วย


ในทางด้านการกีฬา เรามักเรียกทีมยักษ์ใหญ่ว่า มหาอำนาจลูกหนัง ทีมบราซิลเองเป็นเจ้าของตำแหน่งนี้ แต่อะไรๆก็ไม่แน่นอน เมื่อมีทีมเล็กๆทีมหนึ่งก็สามารถล้มทีมชาติบราซิลลงได้อย่างราบคาบ


มาแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ และมักจะมีคำเปรียบว่า
"แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์"
ใน 1 ซามูเอล 17
ครั้งหนึ่งที่อิสราเอลกำลังสู้รบอยู่กับฟีลิสเตียนั้น ซึ่งกองทัพของฟีลิสเตียได้ตั้งค่ายอยู่ตรงข้ามกับหุบเขาเลอาห์ ซึ่งต่างฝ่ายก็ต้องการชี้ขาดในการต่อสู้ว่าให้ส่งนักรบฝีมือดีของแต่ละฝ่ายมาตัดสินกัน


ทางฟีลิสเตียนั้นได้ส่ง โกลิอัท เจ้าของส่วนสูง 270 เซนติเมตร ออกมา แต่อิสราเอลนั้นไม่มีใครที่คู่ควรที่จะต่อกรกับ โกลิอัทได้เลย เมื่อดาวิดหนุ่มน้อยได้ขอให้ซาอูลส่งเขาออกไปรบ แม้ซาอูลจะ


ลังเลแต่ก็อนุญาติ ด้วยอาวุธเพียวหินห้าก้อนกับสลิงเท่านั้น พร้อมด้วยความเชื่อที่มั่นคงในพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ สุดท้ายดาวิดมีชัยชนะ เหนือยักษ์โกลิอัท นักรบฟีลิสเตีย


ในปัจจุบันนี้ยักษ์จริงๆแบบนั้นไม่มีแล้ว แต่ยักษ์ก็ยังคงอยู่แล้วยักษ์ที่ว่าคืออะไร แล้วอยู่ที่ไหน ?
ยักษ์นั้นก็คือยักษ์ ความกังวล ความสงสัย ความกลัว ความบาปฝังใจ ในชีวิตของเราเอง ให้เรามีความเชื่อที่หนักแน่นและมั่นคงในพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดเราก็จะมีชัยชนะเหนือยักษ์เหล่านั้น
เพราะยักษ์เหล่านี้พยายามกัดกินความเชื่อที่เรามีต่อพระเจ้า โกลิอัทเองสร้างความกังวล ความสงสัย และความกลัวให้กับอิสราเอลอย่างมากมาย
ถ้าเราเห็นปัญหาเหล่านี้ว่าเป็นยักษ์ ก็เพราะเรามองมี่ตัวเราเองและพยายามจะจัดการกับมันด้วยตัวของเราเอง และก็ยอมแพ้ไป และมักบอกกับตัวเองว่า ไม่มีทาง ทำไม่ได้ ไม่ไหวหรอก มันใหญ่มาก


เราเอาตัวเราไปเปรียบกับปัญหา และก็อ่อนกำลังลง พระพระเจ้าที่อยู่ในเราเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก
พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่และทรงฤทธานุภาพ ถ้าเราวางภาระของเราลงมอบไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกปัญหา ทุกสถานณ์การณ์ เมื่อเทียบกับพระเจ้าแล้วก็เล็กเช่นกัน พระองค์มาไถ่


เราจากความบาป และจากทุกปัญหา ความกลัว กังวล ความสงสัย และทุกสิ่งทุกอย่างอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวมา อย่าหนีมันและกลัว แต่จงเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านั้นมิใช่ด้วยตัวและกำลังของเรา


เองแต่โดยพระเจ้าที่อยู่ในเรา


จงอย่ากลัวที่เราจะเจอกับยักษ์
"แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็กลัว เมื่อเรือกำลังจะจมก็ร้องว่า พระองค์เจ้าข้าช่วยข้าพระองค์ด้วย ในทันใดนั้นพระเยซูทรงเอื้อมพระหัตถ์จับเขาไว้ แล้วตรัสว่า ท่านสงสัยทำไม ท่านช่างมีความเชื่อน้อย


เสียจริง"
พระองค์กำลังสอนเราว่า อย่าให้ให้เรากลัว และสงสัยในยักษ์คือปัญหาที่เราคิดว่าใหญ่เกินเรา เพราะพระองค์จะไม่มาสายจนเกินไปและพระหัตถ์ของพระเจ้าก็อยู่กับเรา
ฟิลิปปี 4:13
"ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า"



ผมอยากหนุนใจว่า ยาชุดที่ดีที่สุดในการขจัดไวรัสพวกนี้ให้หมดไปคือ
-  การนมัสการ
- การอ่านพระวจนะ
- การอธิฐาน
-ความเชื่อ เชื่อในองค์พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด
กษัตริย์ดาวิดเองไม่มีอาการเหล่านี้เลยเพราะท่านเป็นนักนมัสการนั่นเอง ขอพระเจ้า
เสริมกำลังท่านและให้มีชัยชนะในองค์พระเยซูคริสต์




ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship 

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

มลพิษ

 

มลพิษ

หัวข้อบทความนี้ผมไม่ได้หมายถึงคนที่มีกลิ่นปากนะครับ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดกันว่ามาพูด


ถึงกลิ่นปาก
ก่อนเขียนบทความนี้ ก็ลังเลนิดๆว่าจะเอาบทความนี้ไปเพิ่มในบทความเดิมที่เขียนไว้


ก่อนหน้านี้ดีหรือไม่ ตอนนี้ก็ตัดสินสินใจเขียนใหม่เลย แม้จะเป็นบทความสั้นๆก็ตาม


แต่ผมเชื่อว่าแม้จะสั้นๆ แต่ก็ยากที่จะทำ แต่อย่าให้เราท้อถอยเสียก่อน
ปีนี้ 2010 คงไม่มีใครปฏิเสธกับอากาศที่ร้อนอบอ้าวสุดจะทน 40-42 องศา แทบจะลาย


ลายกลายเป็นน้ำเสียให้ได้ อากาศร้อนอารมณ์คนก็ร้อนตามไปด้วย ผลพิสูจน์ออกมาว่า


สภาวะโลกร้อนนี้เกิดจาก มนุษย์เองไม่ใช่ใครที่ไหน ที่ทำลายสภาวะแวดล้อมตลอดจน


ชั้นบรรยากาศ ตัดไม้ทำลายป่า บุกรุกพื้นที่ป่าสงวน จนโลกเกิการเปลี่ยนแปลง ร้อน


แบบนี้ น้ำตามเขื่อน หรือแม่น้ำสายสำคัญก็แห้งผากจนลงไปเดินเล่นได้ซะแบบนั้น
ร้อนไม่พอ สภาพการเมืองปีนี้ก็ย่ำแย่เน่าเฟอะซะจนเหมือนประเทศจะมาถึงจุดตกต่ำสุดๆ
แต่ยิ่งเราตนะหนักถึงปัญหา และรู้ถึงสาเหตุเราเองก็ไม่เลิดพฤติกรรมแบบเดิมๆซะที


ชีวิตคริสเตียนของเราเองก็เช่นกัน เมื่อแรกที่เรารับเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์เจ้านั้น เราก็


บังเกิดใหม่เป็นโลกที่สดใสเหมือนเมื่อเริ่มแรกสร้าง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เราก็สร้างมลพิษ


ให้กับชีวิตซะเองและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดและเลิกพฤติกรรมนั้นๆ


ครับมลพิษที่ผมหมายถึง คือมลพิษทางวาจานั่นเอง พระวจนะบอกเราว่า ร่างกายเราก็


เป็นวิหาร นั่นเท่ากับว่าเป็นที่ประทับและสถิตอยู่ของพระเจ้า แต่เราเองก็ปล่อยให้พระ


วิหารหลังนี้เต็มไปด้วยสภาพแวดล้อมและมลพิษที่ไม่ดีเอาซะเลย
คำบ่น ความขมขื่น ความโกรธ คำพูดตัดสิน การทะเลาะ คำพูดนินทา การใส่ร้ายป้ายสี
และอีกมากมาย คงไม่จำเป็นต้องมานั่งอธิบายคำเหล่านี้ทีละคำนะครับว่ามีความหมาย


เช่นไร เพราะเราย่อมรู้ดีอยู่แล้ว เราเองถ้าสำรวจตัวเองแล้วเราพบ เราต้องรีบกำจัดมัน


ออกไป แล้วเราจะพบมันได้ยังไง การค้นหาไม่ใช่สิ่งยากแต่การยอมรับ ต่างหากที่ยากยิ่ง


ตัวอย่างมีให้เราเห็นว่า ประชากรอิสราเอล บ่น บ่น และก็บ่น ผลที่ได้คือแทนที่เค้าจะได้


เข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญา 11 วัน กลายเป็น 40 ปี เค้าบ่น และโยนความผิดให้กัน


ทะเลาะกัน และก็มีความขมขื่น ทั้งที่ได้รับการช่วยกู้ออกมาแล้ว


อย่าให้เราเสียเวลาไปเช่นอิสราเอลในช่วงเวลานั้นที่บ่น และบ่น
"อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งที่ไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างผู้อื่น


ขึ้น ตามความจำเป็นของเขา จะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง"


อ.เปาโลย้ำเตือนให้เราได้ทิ้งตัวเก่าๆของเราที่ได้ติดตามเรามา บางครั้งมนุษย์พยายามใช้


เหตุผลในการวิเคราะห์ เพื่อหาช่องทาง ในการพูด หรือมีอุปนิสัยเช่นนั้น
มาตรฐานของพระเจ้านั้น ตรงๆตัว ว่าอย่าทำก็คืออย่าทำ ไม่ก็คือไม่  เพระพระองค์ทราบ


ดีว่าสิ่งเหล่านี้จะดึงชีวิตเรา และทำให้เราเสื่อมโทรมลง และสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้พระ


วิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย


ถ้าเรากล้าที่จะทิ้งตัวเก่า หมายถึงเราต้องยอมรับ ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้ เพื่อที่เราจะได้รับการ
สร้างท่าทีความคิด และจิตใจขึ้นใหม่ เพื่อที่จะสวมตัวตนใหม่ ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างขึ้น


ให้เป็นเหมือนพระองค์ ในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
ให้เราต้องกำจัดมลพิษ ความขมขื่น ความเกรี้ยวกราด ความโกรธแค้น การทะเลาะ และ


การใส่ร้ายป้ายสี พร้อมทั้งการมุ่งร้ายทุกรูปแบบ แต่ในทางตรงกันข้าม จงมีความเมตตา


และมีความสงสาร มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน การให้อภัยมีพลัง


อย่างมากเหมือนกับที่พระเจ้าทรงให้อภัย แก่ท่าน ในพระคริสต์


มันเป็นการยากที่เราจะเลิกจากสิ่งเหล่านี้ ไม่มีค่อยเป็นค่อยไป และไม่มีการประ


ณีประนอม เราไม่สามารถเลิกได้ด้วยตัวของเรา แรงและกำลังของเรา แต่เราเป็นบุคคล


ที่พิเศษที่เรามีผู้ช่วย
กาลาเทีย 5:16
"ดังนั้นข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป"
 เมื่อเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณเราเองจะมีชัยชนะ เพราะตัณหาของวิสัยบาปขัดกับ


พระวิญญาณ และพระวิญญาณขัดกับวิศัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน
ถึงเวลาที่เราต้องเลือกที่เราจะยอมให้ชีวิตเรามีมลพิษต่อไป เราเลือกที่จะป่อยมลพิษออก


มาและทำให้ผู้อื่นได้รับผลกระทบ หรือเราเลือกที่จะให้พระวิญญาณนำเรา นำชีวิตของ


เราให้ออกจากถิ่นทุรกันดาร  และไปถึงเป้าหมายและนิมิตภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว


ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship



วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2553

วาจาถวายเกียรติ



วาจาถวายเกียรติ


ผมเคยได้ยินและพบเห็นคริสเตียนหลายคน ซึ่งคิดว่าการพูดลับหลังบางครั้งก็ไม่ใช่


เรื่องที่ผิด หรือบางคนโกหกเมื่อจำเป็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด และสามารถยอมรับได้ในบาง


สถานการณ์ เพราะเค้าให้เหตุผลว่า บางครั้งก็อาจจะเป็นการระบายความในใจและ


ความอัดอั้นตันใจก็ได้


คริสเตียนหลายคนก็พูดจาไม่เหมาะสม และให้สมกับเป็นคริสเตียน เช่น กู มึง แม่ง


อะไรวะ และอีกมากมาย ซึ่งไม่จำเป็นต้องเขียน


แม่ง เป็นคำย่อมาจากคำว่า แม่มึง หรือแม่มึงอ่ะ เป็นคำใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย สมัย


ผมยังเรียนตอนประถม คำนี้ฮิตมากๆ แม่ ไม่ใช่คำหยาบ ส่วนมึง บางคนก็ว่าไม่หยาบ


แต่สำหรับผมแล้ว เมื่อผมใช้คำๆนี้ออกมา เพื่อด่าเพื่อนๆ เพราะผมรู้สึกพ่ายแพ้ต่อคนๆนั้น
และเอาสิ่งที่เค้ารักมากๆ มาดุถูกเพื่อให้เค้ารู้สึกเจ็บ จริงๆแล้วรากของคำนี้ก็ไม่ได้มีที่มา


ที่ดีเลย หรือมาทดแทนคำว่า มันอยู่ไหน กลายเป็น แม่งอยู่ไหน อยากให้เราระมัดระวังที่


จะเข้าสู่อาณาจักรของซาตานโดยไม่รู้ตัว
กู ใช้แทนชือคนที่พูด ในพจนานุกรม ปัจจุบันถือว่าไม่สุภาพ
มึง มักใช้ในเพื่อสนิท หรือผู้ใหญ่พูดเด็กรุ่นหลัง ในพจนานุกรม เป็นคำไม่สุภาพเช่นกัน
ผมเองไม่ได้ยึดพจนานุกรมเป็นมาตฐาน แต่ในเมื่อมีคนที่อาจจะเจ็บกับคำพูดเหล่านี้ เรา


ควรหรือที่จะพูดออกมา เราควรย้อนดูว่าเราเห็นแก่ตัวหรือไม่ ?


คำพูดเหล่านี้แน่นอนในอดีตสมัยยังขี่เกวียนอยู่ก็ไม่ใช่คำหยาบคายแต่ประการใด และ


คนที่ใช้คำเหล่านี้ก็จะมีเหตุผลเป็นของตัวเองว่า นี่ไม่ใช่คำหยาบคายแต่ประการใด ไม่


เห็นจะเสียหายตรงไหน ? หรือเพื่อที่จะเข้ากับโลกหรือเข้าถึงกลุ่มคนบางกลุ่มได้บาง
ครั้งก็ต้องใช้คำเหล่านี้ จิตใจภายในสำคัญกว่าคำพูด ทำไมต้องมองที่ภายนอกเท่านั้น
ท่านล่ะครับคิดว่าสมเหตุ สมผลหรือไม่ ? โดยเฉพาะภายในคริสตจักร


บางคนอาจจะยึดติดกับความเป็นตัวเองมาก ว่า "ผมเป็นผม ฉันเป็นฉัน" ดูเหมือนจะมั่น


อกมั่นใจแต่จริงแล้วเป็นเพียงข้ออ้างที่จะไม่ยอมปรับปรุงข้อบกพร่องของตนเอง ซึ่งมัก


จะเข้าใจว่าการยอมปรับปรุงข้อบกพร่องนั้นเป็นเรื่องเสียงเชิง หมดฟอร์ม แต่ในทาง
กลับกัน สิ่งนี้กลับเป็นชัยชนะ แะความกล้าหาญ คนที่กล้าหาญเท่านั้นที่จะทำสำเร็จ


อย่าให้เราอ้างว่า "ผมเป็นของผมแบบนี้" ถ้าใครรับไม่ได้ก็แล้วไป (ไม่แคร์)
นี่เป็นข้ออ้างของคนที่ไม่เปิดใจให้กว้างและออกจะดูใจแคบ ทั้งกับตนเอง และผู้อื่นด้วย


นอกจากนี้คำพูดที่เมื่อพูดออกไปแล้วทำให้ผู้อื่นรู้สึกเจ็บ และสร้างบาดแผลให้เค้าโดย


ไม่รู้ตัวนั่นก็คือ คำพูดที่เชือดเฉือน คำพูดที่ประชด คำพูดที่ส่อเสียด และคำพูดที่ล้อเลียน


ผมขอยกตัวอย่างในสมัยเรียนอีกเช่นกัน มีเพื่อนคนหนึ่งมีตาที่ไม่สมประกอบ เราเรียก


เค้าว่า "ไอ้เหล่" อีกคนขาไม่สมประกอบ เราเรียกเค้าว่า "ไอ้เป๋"
คำพูดเหล่านี้แน่นอนเค้าอาจปิดบังไม่แสดงอาการอะไรออกมา แต่แน่นอน เค้าย่อมรู้สึก


ไม่ดีแน่นอน ผมขอยกตัวอย่างแค่นี้นะครับ


โรม 14:21-22
"เป็นการดีกว่าที่จะไม่รับประทานเนื้อสัตว์ หรือดื่มเหล้าองุ่น หรือทำสิ่งใด ซึ่งเป็นเหตุ


ให้พี่น้องล้มลง (ฉบับเดิมใช้คำว่าสะดุด) ดังนั้นสิ่งใดๆก็ตามที่ท่านเชื่อเกี่ยวกับเรื่อง


เหล่านี้ จงเก็บไว้เป็นเรื่อง ระหว่างท่านเองกับพระเจ้าเถิด ความสุขมีแก่ผู้ที่ไม่กล่าวโทษ


ตนเองในสิ่งที่เขาเห็นชอบ"
บางสิ่งบางอย่างแม้ว่าเราจะเชื่อว่าไม่ผิด แต่สิ่งเหล่านั้นต้องเป็นสาเหตุให้พี่น้องต้อง


สะดุดหรือรับไม่ได้ และต้องล้มลง เราก็ควรหลีกเลี่ยง
ผมไม่ได้หมายความว่าต้องหลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่าง เราเองเลือกได้ที่จะพูดหรือไม่พูด


เพื่อเห็นแก่พี่น้อง


โรม 12:2
"อย่าดำเนินชีวิตตามอย่างคนในโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง จิตใจของท่านใหม่


แล้วท่านจึงจะสามารถพิสูจน์ และยืนยันได้ว่า สิ่งใดคือพระประสงค์ของพระเจ้า คือ


พระประสงค์อันดีอันเป็นที่พอพระทัย และสมบูรณ์พร้อมของพระองค์"


1 โครินธ์ 10:23-31
"เราได้รับอนุญาติให้ทำทุกสิ่งได้แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งจะเป็นประโยชน์ เราได้รับการอนุ


ญาติให้ทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุสิ่งจะเป็นการเสริมสร้างขึ้น" (23)


"ทุกคนไม่ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่น" (24)


"เหมือที่ข้าพเจ้าเองพยายามทำให้ทุกคนพอใจในทุกด้าน เพราะข้าพเจ้าไม่ได้แสวงหาผล


ประโยชน์ส่วนตัว แต่แสวงหาผลประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้พวกเขารอด" (23)


มาตรฐานทางด้านภาษาและคำพูดของสังคมนี้ได้เสื่อม และถอยหลังลงทุกวัน
เราเองที่เป็นผู้เชื่อไม่จำเป็นต้องถอยหลังและเดินตามโลกนี้ไปด้วย อย่าให้เราประพฤษติ


ตามอย่างโลก แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง เราเองควรมีความระมัดระวังในเรื่องของการ


ดำเนินชีวิต และคำพูด เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า


เอเฟซัส 15:5 ได้เตือนเราให้ระมัดระวังในการดำเนินชีวิต ในโลกนี้ที่เต็มไปด้วยคำ


หลอกลวงและหลุมพลาง
(19) "จงสนทนากันด้วยเพลงสดุดี เพลงสรรเสริญ และบทเพลงฝ่ายวิญญาณ จงร้อง


แะบรรเลงเพลงในใจถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า"


พระประสงค์ของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงพอพระทัย เมื่อเราใช่ลิ้นของเราด้วยความเข้าใจ
สุภาษิต 10:19 (ฉบับเดิมสมาคม)
"การพูดมากก็จะสะสมการทรยศ แต่เขาผู้ยับยั้งริมฝีปากของตนเป็นผู้หยี่งรู้"


เมื่อเราจะพูดอะไรออกมานั้นควรจะกรั่นกรองก่อนที่จะพูดเพราะว่าถ้าเรารักษาและให้


ความสำคัญของปากและลิ้นของเรา พระคัมภีร์บอกว่า "ผู้ที่รักษาปากและลิ้นของตนก็


รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก"
เราควรเลือกที่จะพูดคำพูดที่สุภาพและอ่อนหวาน ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเราที่จะ


เตือนเราและสอนเราว่าควรจะพูดแบบใด และสิ่งไหนไม่ควรพูด
มนุษย์เรานอกจากต้องการอาหารฝ่ายการแล้ว อาหารหูและจิตใจนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นด้วย


เช่นกัน เพื่อเสริมสร้างไม่ใช่เพื่อการทำลาย
สุภาษิต 15:1
"คำตอบอ่อนหวานช่วยระงับความโกรธ แต่ถ้อยคำเผ็ดร้อน (กักขฬะ) ยั่วโทสะ"


สุดท้ายนี้ผมหนุนใจท่านขออภัยที่ท่านอาจจะไม่เห็นด้วย กับบทความนี้ แต่ถึงยังไงเรา


สามารถระงับได้ และอดได้ที่จะไม่พูดคำที่ไม่สมควร ให้เราถ่อมใจแบบพระเยซูคริสต์


คือยอมทุกอย่าง ลดตัวลง เพื่อส่วนรวม นั่นคือพระกายเดียวกัน ไม่ใช้แค่เพียงคำพูดที่ไม่


สมควรเท่านั่น แต่ การแสดงออกที่ไม่สมควรด้วย


ขอบคุณพระเจ้า

ktm.worship 

วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2553

จะตอบสนองเช่นไร?

                                               
จะตอบสนองเช่นไร?


คริสตจักรในปัจจุบันนี้ ต้องพบเจอกับปัญหาเรื่องของการ กระทบกระทั่งกันเองในคริ


สตจักร ผมเคยเขียน เรื่อง "ใจเดียว กายเดียวในพระเยซูคริสต์" ที่พูดถึงความเป็นน้ำหนึ่ง


ใจเดียวกัน แต่เราจะตอบสนองต่อสถานการณ์เช่นไร ถ้าเราไม่ผิด แต่เราโดนกล่าวโทษ


โดนปรักปรำล่ะ เราโดนใส่ร้ายล่ะ โดยที่เราก็ไม่ได้ผิด เราจะเงียบโดยไม่พูดอะไรเลย


โดยยอมอดทนทุกครั้งไป เพราะรู้ว่าพูดไปก็เปล่าประโยชน์ ยอมแพ้ดีกว่า อยากคิดอะไร


ก็คิดไป เราก็เอาไปนอนเจ็บปวดอยู่ หรือเราเลือกที่จะโต้ตอบบางสิ่งบางอย่างออกไป


ด้วยอารมณ์ หรือด้วยความรักเหตุผล


“การลงโทษ” ในภาษากรีกนอกจากแปลว่า “การลงโทษ” แล้วยังหมายถึง “การกล่าว


โทษ, การตัดสินว่าเป็นคนใช้ไม่ได้, ด่าว่า, ตำหนิ. ตราหน้า” ด้วย


ผมเองเคยได้ยินเรื่องราวของผู้รับใช้หลายคนที่ต้องออกจากคริสตจักร  เหตุเพราะ


ถูกกล่าวโทษและถูกตัดสินจากสมาชิก หรือเพื่อนผู้นำด้วยกัน
1 เปโตร 7:1
"อย่าตัดสิน มิฉะนั้นท่านเองจะต้องถูกตัดสินด้วย"
บางคนมีความเข้าใจและความคิดว่า  การโต้ตอบเป็นสิ่งที่ไม่สมควร และไม่ควรทำการ


โต้ตอบออกไป แต่ในบางครั้งเราก็ต้องกล้าเผชิญกับปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความรัก และ


กล้าปฏิเสธคำตัดสินผิดๆ และการปรักปรำที่ไม่สมเหตุสมผลด้วย


การเงียบโดยไม่พูดอะไรเลยไม่ใช่ทางออกที่จะใช้ทุกครั้งไป แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือให้เรา อธิ


ฐานและถามกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าควรจะทำเช่นไรในสถานการณ์นั้น การที่เราจะ


ถามพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายความว่าชีวิตเราต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าด้วย


แต่ถ้าเรารู้สึกเสียหน้า เสียเกียรติ เสียศักดิ์ศรี และต้องการปกป้องตัวเองจากสถานการณ์


ตอนนั้น ขอหนุนใจให้เราระลึกเสมอว่า เกียรติศักดิ์ศรี นั้นเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้า


เราถูกและไม่ได้เป็นแบบที่ถูกกล่าวหา เราจะไปโมโหและโกรธเพื่ออะไร พระเจ้าเท่า


นั้นที่จะมีสิทธิ์ตัดสินได้ ในส่วนของเราก็ให้เรายั้งลิ้นของเราไว้
"อย่าหลุดปากเอ่ยสิ่งไม่สมควร แต่จงกล่าววาจาอันเป็นประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างผู้อื่น


ขึ้นตามความจำเป็นของเขาจะได้เป็นผลดีแก่ผู้ฟัง"
เอเฟซัส 4:19


ผมหนุนใจให้เราลองถ่อมใจลงและมองดูที่ตัวเอง กลับมาที่ตัวเราเอง อธิฐานขอพระ


วิญญาณ สำแดงแก่เราถ้าเรามีสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว


ถ้าเรามีความรู้สึกดังต่อไปนี้ควรจะ
-ถ้ารู้สึกพูดอะไรออกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
   ก็ขอเงียบไว้
-ถ้ารู้สึกมีอารมณ์ เสียหน้า เสียเกียรติ ถูกดูหมิ่น
   ก็ขอเงียบไว้
-ถ้ารู้สึกต้องการให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และเข้าใจในตัวเรา เพื่อเห็นแก่คน   นั้น


ที่จะไม่ถูกพิพากษา
   ก็จงอธิบายด้วยความรัก และเหตุผล


ในความเป็นจริงแล้วการนิ่งเฉยจะเป็นการตอบสนองที่ดีที่สุดเสมอไปหรือไม่ ? ในบาง


ครั้ง เราเองก็ต้องพูดอะไรอะไรออกไปบ้างด้วยท่าทีแห่งความรักที่มีต่อกัน ไม่ใช่การทุ่ม


เถียง หรืออารมณ์โกรธ


พระเยซูเองก็เป็นแบบอย่างที่ดีในการตอบสนองต่อคำกล่าวโทษและปรักปรำ


1.มาระโก 14:60-61 (53-61)
ต่อหน้าสภาแซนเฮนริน
พวกปุโรหิตพยายามปรักปรำพระเยซู โดยการใส่ร้าย แต่ก็ต้องพบกับพระเยซูที่ไม่แก้ต่าง


หรือแก้ตัวใดๆเลย จึงได้ถามพระองค์ว่า "ท่านจะไม่ตอบอะไรเลยหรือ ?"
พระเยซู พระองค์แสดงออกด้วยอาการเงียบและนิ่ง


ในสถานการณ์เช่นนั้นพระเยซูเองพระองค์ทรงรู้ดีว่า โต้ตอบไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร


และพระองค์ทรงรู้ดีว่าพระองค์ต้องมารับสภาพแบบนี้อยู่แล้ว พระองค์รู้ดีว่าพระองค์


ต้องพบเจอกับสิ่งเลวร้ายอะไรบ้าง เพื่อไปสู่ชัยชนะที่ไม้กางเขน
พระองค์ไม่ได้ทรงแก้ต่างเพื่อศักดิ์ศรี และปกป้องตัวเองเลย
พระวจนะตอนหนึ่งในอิสยาห์ที่เผยถึงพระองค์ว่า
"เขาถูกกดขี่ข่มเหงและทนทุกข์ทรมาน แต่ไม่เคยปริปากเลย เขาถูกนำตัวไปเหมือนลูก


แกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนแกะที่เงียบอยู่ต่อหน้าคนตัดขน เขาก็ไม่ปริปากเช่นกัน"
อิสยาห์ 53:7


มหาปุโรหิตตรัสถามพระองค์อีกครั้งว่า "ท่านคือพระคริสต์พระบุตรขององค์ผู้ทรงเป็น


ที่สรรเสริญหรือ?"


ครั้งนี้พระองค์ตรัสตอบว่า "เราเป็น และท่านจะเห็นบุตรมนุษย์นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์


ขององค์ผู้ทรงฤทธิ์ และเสด็จมาบนหมู่เมฆแห่งสวรรค์"


ผมประทับใจในการตอบสนองที่พระเยซูมีมาก ครั้งแรกพระองค์เงียบ และไม่ได้


ปฏิเสธคำกล่าวหาเพื่อปกป้องพระองค์เอง
แต่พระองค์ก็ไม่นิ่งเฉยที่จะตรัสถึงความเป็นจริง เพื่อให้โลกได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็น


พระบุตรของพระเจ้า


ผมขอเสริมข้อพระคัมภีร์การสนทนาของพระเยซูกับพวกยิวใน
ยอห์น 8:13-59


ซึ่งพระเยซูได้สนทนาโต้ตอบกับพวกยิวในตอนนี้พระองค์ได้สอน และท้าทายให้พวก


เขาพิสูจน์ว่าพระองค์ทำบาปหรือไม่?


2.การขอโทษ
การขอโทษถ้าค้นในพระคัมภีร์เราจะไม่พบ แต่ผมอยากพูดถึงการถ่อมใจลง
ขอโทษคือการ ขอให้ยกโทษให้ เมื่อผมอ่านและรู้ความหมายตรงนี้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้


เลยที่เราจะใช้ความคิดของโลก และกล้าที่จะพูดว่าขอโทษ ทั้งที่เราไม่ได้มีความผิด แน่


นอนมันยากมาก ถ้าเราสวมใจเนื้อหนัง แต่ถ้าเรามีพระทัยแบบพระเยซูคริสต์และถ่อมใจ


ลง ถ่อมใจ คือลดตัวลง มีเกียรติหรือมีความรู้สูง แต่บอกว่ามีน้อย ไม่โอ้อวด เรากล้าที่


จะถอดเกียรติ ความรู้ของเราลงหรือไม่ ?
"ท่านควรมีท่าทีแบบเดียวกับพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพพระเจ้า แต่ไม่ได้ยึดติดในความ


เท่าเทียมกับพระเจ้า พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง มารับสภาพทาสบังเกิดเป็นมนุษย์ และ


เมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมพระทัยลง และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบน


ไม้กางเขน"
ฟิลิปปี 2:5-6
การมารับสภาพทาสหรือเป็นเหมือนทาส และรับเอาทุกสิ่งทุกอย่างไป แต่ผมหนุนใจว่า


เราเองแม้เราจะขอโทษ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราไม่ได้รับโทษมาซะเอง แต่พระเยซูที่อยู่


ในเราได้รับแบกทุกอย่างไว้บนพระกายของพระองค์แล้ว
และนี่คือชัยชนะของพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อยู่ในเราและเราเองก็มีชัยชนะด้วย


ขอบคุณพระเจ้า

ktm.worship 

วันพฤหัสบดีที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2553

คริสเตียนต้องมีวินัยหรือ?


คริสเตียนต้องมีวินัยหรือ?


ถ้าพูดถึงวินัยของคริสเตียน ผมอยากบอกว่าเป็นคนล่ะเรื่องกับการเคร่งศาสนา หรือเป็นแบบฟาริสี ที่ทำทุกอย่างในแบบศาสนา


ผมกำลังพูดถึงวินัยในฝ่ายวิญญาณของเรา และแน่นอนก็เป็นการดีถ้าจะมีวินัยเรื่องอื่นๆในชีวิตด้วย แต่คริสเตียน (บางคน)ก็ไม่ได้สนใจในวินัยฝ่ายวิญญาณเท่าใดนัก


เมื่อเวลาผมทำธุรอะไรสักอย่างแล้วมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาแทรกแทรงในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ หรือสิ่งอื่นๆ ผมมักจะปฏิเสธอยู่เสมอเพื่อให้ธุรนั้นเสร็จก่อน "ติดธุรอยู่"
มักเป็นคำพูดเสมอเวลาปฏิเสธไป


แต่เมื่อเราอธิฐาน หรือเฝ้าเดี่ยว หรืออ่านพระคัมภีร์ ช่วงเวลานั้นเป็นของพระเจ้า เราเคยให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดมาแทรกแทรงหรือไม่ แน่นอนผมเองก็เคยที่จะผละจากเวลานั้นไปทำสิ่งอื่นๆ


เรากลับปล่อยให้ให้บางสิ่งมาแทรกแทรงได้อยู่บ่อยครั้ง เรามีตารางในการทำงานแต่บางครั้งก็ไม่ได้มีตารางที่แน่นอนให้กับพระเจ้าเลย


เรากล้าที่จะบอกกับตัวเองว่า "นี่เป็นเวลาของพระองค์" หรือไม่ เรากล้าที่จะบอกกับเนื้อหนังของเราหรือไม่ว่า "นี่เป็นเวลาของพระองค์ อย่างอื่นเอาไว้ก่อน"


วินัยในภาษาฮีบรู คือ Musar หมายถึงการตรวจสอบ ความถูกต้อง การอยู่ในระเบียบวินัย หลักข้อเชื่อ / ปฏิบัติ และคำตักเตือนสั่งสอน


แน่นอนครับอย่างที่กล่าวไปว่า เราไม่ได้ทำเพื่อพิธีการ หรือศาสนา แต่เพื่อที่เราเองจะไม่ละเลยฝ่ายวิญญาณ และความสัมพันธ์กับพระเจ้า


1 โครินธ์ 14:40
"แต่จงทำทุกสิ่งอย่างเหมาะสมและเป็นระเบียบ"


สุภาษิต 12:1
"ผู้ที่รักวินัยก็รักความรู้ แต่บุคคลที่เกลียดการตักเตือนก็เป็นคนโฉด"


ในสำนวน NIV ใช้คำว่า"คำสอน" วินัยคือคำสอนนั่นเอง


วินัยที่อยากแบ่งปันในตอนนี้ก็คือ การให้เวลากับพระเจ้า การให้เวากับพระอจ้าอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง บางครั้งสิ่งนี้ก็ถูกมองข้ามและไม่ได้ให้ความสำคัญและคิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก ทำไมเราต้องมีวินัยกับพระเจ้าด้วย ?


ในการสนทนาหรือถ้าโดนตักเตือนเรื่องวินัย หลายคนยอมรับไม่ได้ในเรื่องนี้ และมีข้ออ้าง


ผมอยากยกตัวอย่างหนึ่งซึ่งไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิผู้ใด ว่า
- คนไทยไม่มีวินัยในการเข้าซื้อของ หรือการเข้าแถว
- คนไทยไม่มีวินัยในการขับรถ และกฏจราจร จะขับย้อนศร ขับมอเตอร์ไซค์บน      ฟุตบาททางเท้า ขับกลางถนนตามใจฉันก็ได้


- โดยเฉพาะเรื่องการนัดหมาย และการนัดเวลา นี่เป็นข้อเสียที่มีชื่อเสียงมากที่สุด
 ที่ผมยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมาก็เพราะมันสะท้อนสภาพฝ่ายวิญญาณของเราได้เป็นอย่างดี
ผมเคยอ่านบทความประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น ในปัจจุบันนี้ญี่ปุ่นมีการพัฒนาไปมาก อยู่ในอันดับต้นๆของโลก ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และกีฬา ทั้งๆที่สมัยก่อนนี้ญี่ปุ่นเอง อยู้ล้าหลังประเทศไทยเสียด้วยซ้ำ เรานำหน้าเค้าด้วยซ้ำ
และซ้ำยังมาเจอสงครามโลก และระเบิดในฮิโรชิมา อีกด้วย


แต่ตอนนี้ญี่ปุ่นเองก้าวพ้นความตกต่ำ เข้าสู่ความสมบูรณ์ ด้วยระเบียบวินัยของพวกเขาเอง และนี่คือผลตอบแทนที่ได้ ไทยเองกลับล้าหลังอยู่หลายช่วง แถมยังโดนหลายประเทศพัฒนาก้าวข้ามไปด้วยซ้ำ เราอยู่กับที่หรือไม่ ? เราถอยหลังกลับไปหรือไม่ ?


ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราเองก็เช่นกัน ถ้าเราไม่มีวินัยเลย เราเองก็จะไม่ไปไหน และอยู่กับที่ที่เดิม การมีวินัยคือการทำสิ่งที่สมควรทำ ไม่ว่าอยากทำหรือไม่อยากทำ
ในชีวิตของเราฝ่ายวิญญาณเราควรมีวินัยอะไรบ้าง พระเจ้าได้ให้เราเยอะมาก แต่หลักๆท ผมขอยกตัวอย่างวินัย 4 อย่างในชีวิตคริสเตียนต้องมี และเป็นวินัยในชีวิต
1.การใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้า
2.การอธิฐาน
3.พระวจนะคืออาหาร
4.การประกาศข่าวประเสริฐ


1.การใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้า
การใช้เวลาส่วนตัวกับพระเจ้าหรือ เราอาจเรียกว่าเฝ้าเดี่ยว ซึ่งในบางคนเฝ้าเดี่ยวอาจจะไม่เพียงพอด้วยซ้ำ ผมยกตัวอย่างถ้าเราอยากรู้จักใครสักคน และต้องการมีความสัมพันธภาพที่ดีกับคนคนนั้น เราเองก็อยากที่จะมีเวลาที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง ในพระคัมภีร์ใหม่พระเจ้าเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้
"แต่พระเยซูมักจะทรงปลีกตัวไปอยู่ในที่สงบและอธิฐาน"
ลูกา 5:16
โมเสสเองก็มีวินัยเช่นกันในเรื่องนี้ ลองอ่านในชีวิตของโมเสส ในอพยพ
วินัยในการอธิฐานของโมเสส


2.การอธิฐาน
จากผลสำรวจที่หนึ่งพบว่าผู้นำเองใช้เวลาในการอธิฐานน้อยมาก ชีวิตในแต่ละวันของเราต้องพบเจอกับการล่อลวงต่างๆมากมาย  พระธรรม มาระโก พระเยซูได้พูดถึงการอธิฐานเป็นการเฝ้าระวังด้วยเช่นกัน เราเองต้องถูกทดลองด้วยสิ่งต่างๆมากมาย
"จงเฝ้าระวังและอธิฐาน เพื่อท่านจะไม่ตกเข้าไปอยู่ในการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกำลัง"

3.การอ่าน พระวจนะ

หรือการจดจ่อที่พระวจนะ
พระวจนะพระเจ้าคือความจริง พระคัมภีร์ทุกตอนก็ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี
และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของพระเจ้า จะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง


จดจ่อหรือภาวนา คือการเอาใจใส่ เข้ามาใกล้ ฝึกฝน
ผมอยากเปรียบกับการเคี้ยวเอื้อง การคิดรำพึงพระคำของพระเจ้าคือ การเคี้ยวเอี้ยง
เหมือนกับโคกินหญ้า ผมจิตนาการภาพวัวที่กินหญ้าอยู่ (เคยเห็นของจริง)
มันใช้เวลาในการเคี้ยวนานมากๆ จากนั้นก็สำรอกออกมา แล้วเคี้ยวกลับเข้าไปอีกครั้ง
กระบวนการนี้เพื่อย่อยสิ่งที่มีประโยชน์เข้าไปเปลี่ยนเป็นน้ำนมเข้มข้น
มันใช้เวลามาก ผมยืยดูจนเมื่อย แต่!มันไม่เปล่าประโยชน์ ถ้าจะได้น้ำนมที่มีคุณภาพ


ลองใช้เวลากับ สดุดี 119
ไม่อ่อนข้อต่อความบาป (11)
จดจำพระวจนะไส้ในใจและไม่ทำบาปต่อพระองค์


ยินดีในการรู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น (15-16)
เพราะเราใครครวญพระวจนะของพระองค์ และวิถีทางของพระองค์


พบความจริงฝ่ายวิญญาณอันมหัศจรรย์ (18)
เพราะทรงเปิดตาของเราเพื่อจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์ ทั้งหลายของพระองค์


พบที่ปรึกษามหัศจรรย์ (24)
พระวจนะของพระองค์ก็เป็นที่ปรึกษาของเรา


การใคร่ครวญไม่เพียงแต่อ่านพระคัมภีร์และเชื่อเท่านั้น แต่คือการนำไปปฏิบัติด้วย


พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่อหารจานด่วนจะใช้เวลาบดเคี้ยวอย่างละเอียด
อย่าให้หนังสือธรรมบัญญัติห่างจากปากท่าน
โยชูวา 1:8


พระวจนะปกป้องเราจากสงครามประจำวัน
เป็นคำปลอบใจ สำหรับความหวังที่แตกสาย
และเป็นชีวิต
ขอบคุณพระเจ้า


4.การประกาศ


จริงๆแล้วการประกาศอาจจะไม่ใช่วินัยประจำในแต่ล่ะวัน แต่อยากให้เรา (ในความเป็นจริงก็อยากให้ เป็นประจำ)


ในพระคัมภีร์ผมประทับใจหัวข้อของพระคัมภีร์ตอนนี้มากเพราะใช้คำว่า
"พระมหาบัญชา"
"สิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และในแผ่นดินโลกทรงมอบไว้แก่เราแล้ว ดังนั้นจงไปสร้างสาวกจากมวลประชาชาติ ให้เขารับบัพติศมาใน พระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ สอนเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่งที่เราสั่งพวกท่านไว้ และแน่นอน เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไปตราบจนสิ้นยุค"
มัทธิว 28:18-20


ขอบคุณพระเจ้า


ktm.worship

วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

เชื่อฟัง และ เชื่อฟัง



การเชื่อฟัง และ เชื่อฟัง


บทความนี้เป็นบทความแรกที่ผมไม่ได้ค้นคว้าศึกษาอะไรมากไป
อ่านแล้วบางท่านอาจจะไม่เห็นด้วย หรืออาจจะสับสนบางสิ่งที่ผมยกมา
เพราะผมเขียนจากสิ่งที่พระเจ้าให้ในเวลานั้นออกมา บวกกับความรู้สึกภายในด้วย
ระหว่างเขียนผมมีอาการเจ็บที่หัวใจอย่างมาก ถ้อยคำแห่งความรอบรู้ตามมา
คือนอกจากความเป็นหนึ่งเดียวในกายพระคริสต์แล้ว ก็คือปัญหาของสมาชิกกับ
ผู้นำซึ่งมีทั้งกลางแจ้ง และในที่ลับ ซึ่งพระเจ้าเสียพระทัยกับสิ่งนี้มาก
ผมหมายถึงคริสตจักรทั่วประเทศไทย ปัญหาผู้นำและสมาชิกด้วย


วันนี้ผมมีภาระใจบางสิ่ง พระตรัสในใจในเรื่องของการเชื่อฟัง ผมไม่ได้มาเขียนบอกให้เราเชื่อฟังผู้นำ หรือให้


ผู้นำได้รับการยอมรับเพื่อพวกเราจะได้เดินยืด และทำอะไรก็ได้แบบ เผด็จการในคริสตจักร


เจตนาผมไม่ได้หมายถึงผู้นำคริสเตียนเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงในคริสตจักรเท่านั้น แต่หมายถึงโลกด้วย และไม่


ได้หมายความให้เราสนับสนุนคนที่ทำผิด แต่หน้าที่ของเราคืออธิฐาน กับพระเจ้า ถ้าอำนาจนั้นผิด พระเจ้าจะ


เป็นผู้จัดการด้วยพระองค์เอง ผู้ใดหว่านสิ่งใด ก็ย่อมได้สิ่งนั้น


ผมมิได้มีเจตนาในการโยงการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ (เมษายน53)ได้มาถึง


วิกฤติของประเทศไทยโดยกลุ่มคนบางกลุ่ม และผู้นำบริหารประเทศ (รัฐบาล)โดยมุ่งหวังจะโค่นอำนาจของ


อีกฝ่าย แน่นอนไม่มีใครถูก 100% และไม่มีใครผิด 100% เราไม่จำเป็นต้องร่วมทำผิด หรือทำในสิ่ง


ไม่ถูกต้องกับอำนาจนั้นๆ


เราอาจคิดว่ารัฐบาลทุกสมัยขี้โกง และเราก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีอีกเลย
เราอาจคิดว่าผู้นำคริสตจักรทำตัวไม่เหมาะสม และไม่ควรจะเป็นผู้นำอีกต่อไป แม้ในความคิดนั่นก็คือการต่อ


ต้าน


"ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเยที่มิได้มาจากพระเจ้า
และผู้ที่ทรงอำนาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ


ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาตควรได้รับ จงเสียส่วยสาอากรตามที่ควรเสียภาษีตามที่ควร
ความยำเกรงควรแก่ผู้ใดจงยำเกรงผู้นั้น จงให้เกียรติแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ
"
โรม 13:1-2 ,7


ทำไมพระเจ้าถึงอยากให้เราเชื่อฟัง?


เราเชื่อว่าพระธรรมข้างต้นมาจากพระเจ้า พระเจ้าบอกเราว่า


"ถ้าผู้ใดรักเราเขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับ


เขา"
ยอห์น 14:23


การเชื่อฟังเป็นการแสดงความรักของเราที่มีต่อพระเจ้า และผลของการเชื่อฟังและประพฤษติตามก็คือ
เราได้รับความรักของพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตต่อเราด้วย


"หากท่านเอาใจใส่บทบัญญัติเหล่านี้และใส่ใจที่จะปฏิบัติตาม พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านจะทรงรักษาพันธ


สัญญาแห่งความรักกับท่านตามที่ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่าน


พระองค์จะทรงรักและอวยพรท่านและทำให้ท่านทวีจำนวนขึ้น พระองค์จะทรงอวยพรลูกหลานของท่านและ


พืชผลจากแผ่นดินของท่านทั้งข้าวเหล้าองุ่นใหม่ และน้ำมัน ลูกวัวและลูกแกะจากฝูงสัตว์ของท่าน ในดินแดน


ซึ่งพระองค์ทรงปฏิญาณไว้กับบรรพบุรุษของท่านว่าจะประทานแก่ท่าน
ท่านจะได้รับพระพรเหนือกว่าชนชาติอื่นใดจะไม่มีชายหญิงคนใดในพวกท่านที่เป็นหมัน และฝูสัตว์ของท่านก็


เช่นกัน
องค์พระผู้เป็นเจ้า จะทรงปกป้องท่านจากความเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งสิ้น และพระองค์จะไม่ทรงทรมานท่านด้วยโรค


ร้ายใดๆ เหมือนที่ท่านได้เห็นในอียิปต์ แต่จะให้โรคร้ายนั้นเกิดแก่คนทั้งปวงที่เกลียดชังท่าน"
เฉลยธรรมบัญญัติ 7:12-15


"แล้วทูตขององค์พระผู้เป็นเจ้า ร้องเรียกอับราฮัมจากฟ้าสวรรค์เป็นครั้งที่สอง
และกล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศว่า เราปฏิญาณโดยตัวของเราเองว่า ด้วยเหตุที่เจ้าทำเช่นนี้ และไม่


ได้หวงแม้กระทั่งลูกชายของเจ้าคือเจ้านายเพียงคนเดียวของเจ้า
เราจะอวยพรเจ้าแน่นอนและจะทำให้ลูกหลานของเจ้ามีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าเหมือนเม็ด


ทรายที่ชายทะเล ลูกหลานของเจ้าจะครอบครองเมืองต่างๆ ของเหล่าศัตรูของพวกเขา
และทุกประชาชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเชื้อสาย ของเจ้า เพราะเจ้าได้เชื่อฟังเรา"
ปฐมกาล 22:15-18


บางครั้งเราเจ็บกับผู้นำในคริสตจักร เราต้องสูญเสียสิ่งใดไป เราต้องรู้สึกเสียหน้า หรือมีความคิดที่ไม่ตรงกัน


อย่างแรง หรือรับในบางสิ่งบางอย่างไม่ได้ ผมไม่ได้หมายความว่าสิ่งนี้ผิด


แต่มาตรฐานของโลกนี้ต่างกันกับของพระเจ้า
อับราฮัมเองไม่เสียดายลูกชายที่พระเจ้าขอเป็นเครื่องบูชา มาตรฐานโลกนี้ ความคิดโลกนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะเอา


ลูกเป็นเครื่องบูชา แต่อับราฮัมเชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าให้เราเชื่อฟัง
1.เชื่อฟังพระเจ้า
คือเชื่อฟังพระเจ้า
เชื่อฟังพระคริสต์
เชื่อฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ในตัวเรา


2.เชื่อฟังพระวจนะ พระคริสต์ธรรมคัมภีร์


3.เชื่อฟังผู้ที่พระเจ้าสถาปนาไว้
คือ เชื่อฟังผู้นำ


วันนี้ผมอยากแบ่งปันในข้อ 3 คือเชื่อฟังผู้นำ


"ทุกคนต้องยอมตนเชื่อฟังผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีผู้ใดมีอำนาจเว้นแต่พระเจ้าได้ทรงสถาปนา ผู้มี


อำนาจต่างๆที่มีอยู่ล้วนได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้า
ฉะนั้นผู้ที่กบฏต่อผู้มีอำนาจก็กำลังกบฏต่อผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสถาปนาและผู้ที่ทำเช่นนั้นจะนำโทษมาสู่ตัวเอง"
โรม 13:1-2


พระเจ้าย้ำในพระธรรมตอนนี้ให้เราเชื่อฟังผู้นำด้วย เพราะผู้นำคือผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้ง เจิมตั้งไว้
ถ้าเราได้อ่านในพระคัมภีร์ เราก็จะเห็นพระเจ้าสร้างผู้นำในทุกๆยุคทุกสมัย และผู้นำแต่ละคนก็ล้วนไม่สมบูรณ์
แบบทั้งสิ้นแต่ทุกคนเชื่อฟังพระเจ้าโนอาห์ โมเสสเอง ดาวิดเองก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์ทั้งหมด
ในตอนนที่ดาวิดเต้นรำฉลองนมัสการ แบบสุดๆในตอนนั้น


โนอาห์เชื่อในพระเจ้า ซึ่งเป็นผลนำให้ท่านและครอบครัวรอดได้


"เพราะโนอาห์มีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเตือนให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านจึงยำเกรงและต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้รอดพ้นจากความตาย และด้วยเหตุนี้เองท่านจึงได้ติเตียนชาวโลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ"
ฮีบรู 11:7




"มีคาลราชธิดาของซาอูลก็มองออกที่ช่องหน้าต่าง เห็นกษัตริย์ดาวิดกระโดดโลดเต้นรำถวายต่อพระพักตร์


พระเยโฮวาห์ และนางก็มีใจหมิ่นประมาท"
2 ซามูเอล 6:16


ผมขอยกมุมมองที่ผมมีในตอนนี้ไม่ใช่แค่การดูหมิ่นพระวิญญาณ หรือการนมัสการเท่านั้น แต่ดาวิดอยู่ใน


ฐานะของผู้นำ กษัตริย์ และนางมีคาลไม่เห็นด้วยในสิ่งที่ดาวิดกระทำผลที่นางได้สุดท้ายคือนางเป็นหมันไป


ตลอดชีวิต


"ท่านทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังเจ้านายของตนด้วยความเคารพ ไม่เฉพาะต่อเจ้านายที่ดีและเห็นอกเห็นใจเท่านั้น


แต่ต่อเจ้านายที่ร้ายกาจด้วย


เพราะผู้ที่ยอมทนทุกข์อย่างไม่เป็นธรรมเพราะตระหนักถึงพระเจ้านั้นน่ายกย่อง


หากว่าท่านถูกโบยเนื่องจากทำผิด ถึงท่านยอมทนจะนับเป็นความดีความชอบได้อย่างไร แต่ถ้าท่านต้องทุกข์


ยากเพราะทำดีและยอมทนเอา นี่เป็นสิ่งน่ายกย่องต่อหน้าพระเจ้า"


1 เปโตร 2:18




บางครั้งเราเคารพผู้นำที่ถูกใจเรา ตรงใจเรา ไม่ขัดกับเรา แต่พระคัมภีร์ได้บอกถึงผู้นำที่ร้ายกาจด้วย
ผมคงไม่ต้องอธิบายคำๆนี้เลยว่าขนาดไหน


ผมหนุนใจให้เราสวนกระแส เพราะผู้ที่ยอมทนทุกข์อย่างไม่เป็นธรรมเพราะตระหนักถึงพระเจ้านั้นน่ายกย่อง
ท่านจะได้รับการปลอบประโลมจากพระเจ้า


แต่หากว่าท่านถูกโบยเนื่องจากทำผิด ถึงท่านยอมทนจะนับเป็นความดีความชอบได้อย่างไร แต่ถ้าท่านต้อง


ทุกข์ยากเพราะทำดีและยอมทนเอา นี่เป็นสิ่งน่ายกย่องต่อหน้าพระเจ้า


ถึงแม้ผู้นำจะทำให้ท่านเจ็บ และท่านก็รู้ดีว่าท่านไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ผู้นำคนนั้นทำในสิ่งไม่ถูกต้อง ซึ่งท่านคิด


ว่าไม่ควรทำ ท่านรู้สึกไม่ดีเลย แต่ให้ท่านยอมทนเอา อย่ามองที่ผิดหรือไม่ผิด ควรหรือไม่ควร ผมไม่ได้หมาย


ความว่าท่านพูดอะไรไม่ได้เลย แต่จงพูดด้วยความรักเท่านั้น ไม่ใช่อารมณ์ที่ต่อต้าน


จงยอมทนเอาเพราะ นี่เป็นสิ่งน่ายกย่องต่อหน้าพระเจ้า


ผมอยากปิดท้ายด้วย
ฮีบรู 13:17
"ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟัง และยอมอยู่ใต้บังคับบัญชา ผู้นำของท่าน ซึ่งเฝ้าดูแลท่านในฐานะเป็นผู้ที่ต้องรายงาน


จงเชื่อฟังเขาเพื่อเขาจะทำหน้าที่ด้วยความชื่นใจ ไม่จำใจรับภาระซึ่งไม่เป็นประโยชน์อันใดแก่ท่าน"


นอกจากให้เราเชื่อฟังแล้ว แต่ให่เราเต็มใจไม่จำใจในการเชื่อฟัง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าเปล่าประโยชน์อีกเช่นกัน


ขอบคุณพระเจ้า

ktm.worship 

วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553

ใจเดียว กายเดียว หนึ่งเดียวในพระคริสต์

 
ใจเดียว กายเดียว  หนึ่งเดียวในพระคริสต์
        วันนี้วันหยุด เมื่อตื่นขึ้นมาก็เหมือนจะมีภาระใจเขียนๆอะไรสักอย่าง ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลยครับ
ที่จะมีอะไรไหลๆเข้ามา ช่วงนี้อยากจะเขียนอะไรมากมายที่พระเจ้าใส่เข้ามาแม้จะเป็นการเริ่มต้นแต่ก็ ขอบ
คุณพระเจ้า


        จั่วหัวข้อแบบนี้มิได้มีเจตนาจะตำหนิใครนะครับ และไม่ได้มาระบายอะไรด้วย แต่ความรู้สึกแบบนี้
เป็นภาพรวม ของคริสตจักรในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งมีพระเจ้าองค์เดียวกัน แต่เราเองก็แตกแยกกันไปหลายคณะหลายนิกาย พลังของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวนั้น เราเห็นได้จากการสร้างหอบาเบล นั่นคือภาพของน้ำหนึ่งใจเดียว แต่ผมไม่ได้หมายถึง แนวคิดที่ผิดของคนเหล่านั้น


        ด้วยกำลังและความสามารถที่ผมมี ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ไม่สามารถจะทำลายกำแพงนี้ลงได้
คริสตจักรหลายที่มีภาพที่ดูสวยหรู แต่ภายในนั้นไม่ได้เป็นแบบที่ได้แสดงออกมา มีบรรยากาศที่ดูขุ่นๆมัวๆ
ผู้นำเอง สมาชิกเองที่มีความเห็น หรือความคิด และเป้าหมายที่ไม่ตรงกัน ความรู้สึกที่ไม่พอใจกัน
ความอิจฉากัน ความเห็นแก่ตัว แบ่งพรรคแบ่งพวก เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ อันตรายไปกว่านั้นคือ
ยุยง โดยที่คิดและใช้สติปัญญาพยายามไตร่ตรองเอง


คริสตจักรในประเทศไทย ต่างกับโลกนี้อย่างไร เดินทางต่างจากโลกนี้หรือไม่ คริสตจักรเป็นเพียงองค์กร
เท่านั้นหรือ ไม่ใช่เลย เราอยู่ด้วยความไม่ไว้ใจกัน ต่างคนต่างอยู่


ฟิลิปปี 2:3-8 ได้เตือนเราว่า
"อย่าทำสิ่งใดด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง อย่างเห็นแก่ตัว หรือด้วยความถือดี แต่จงทำด้วยความถ่อมใจ
ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว แต่ละคนไม่ควรมุ่งหาประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่ควรคิดถึงประโยชน์ของ
คนอื่นด้วย ท่านควรมีท่าทีแบบพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสภาพ พระเจ้า แต่ไม่ได้ทรงยึดติดในความเท่าเทียม
กับพระเจ้า พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง มารับสภาพทาสบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง  และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน !"


        มีคำๆหนึ่งซึ่งเป็นคำยอดฮิตที่ผมได้ยินมากที่สุดในคริสตจักรทั่วประเทศที่ เคยได้ยินมา นั่นคือคำว่า
"สะดุด" คนนั้นสะดุดคนนี้ คนนี้สะดุดคนนั้น สะดุด อาจารย์ สะดุดผู้นำ สะดุดพี่น้องกันเอง
สะดุด ไม่มาโบสถ์เพราะ สะดุด ย้ายโบสถ์เพราะสะดุด
ผมเคยคิดขำๆ (ไม่ได้เจตนาดูดหมิ่นนะครับ) พระเจ้าให้เราข้ามอุปสรรคได้ แต่ทำไมเราสะดุดซะล่ะ


พระเยซูเสด็จดำเนินไปขณะเทศนา ก็สะดุด พวกฟาริสี หรือ พระเยซูไม่เคยสะดุดใครพระองค์ก้าวข้าม
ทุกปัญหา ด้วยสติปัญญาจากพระเจ้า ไม่ใช่มาตฐานความคิดของโลกนี้


ปัญหาเรื่องแบบนี้ สะดุด เราเจอกันได้ทุกพื้นที่ ผมเคยได้ยินผู้ใหญ่พูดกันว่า มากคนมากความ
ทั้งผู้นำ ทั้งสมาชิก ปะทะกันยิ่งกว่าสงครามการเมืองในปัจจุบันซะอีก เพื่อนผมในหลายคริสตจักร
ก็เอามาระบายบ่อยๆ (ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องดี ที่เอาเรื่องภายในมาพูด)
วันนี้ผมเองไม่ได้มาแก้ตัวให้ผู้นำ หรือใครทั่งสิ้น
วันที่เรารับเชื่อคือพระเยซู เราก็มีเป้าหมายเดียวกัน ปัญหาทุกปัญหา ก็มาจากภายในทั้งสิ้น
เราจะเห็นได้จากคริสตจักรในเมือง โครินธ์ เองก็เช่นกัน บางครั้งเราตัดสินกันเอง พิพากษากันเอง
พูดลับหลังกันเมื่อไม่พอใจ และเกิดการแบ่งฝ่าย ทำให้คริสตจักรหยุดชะงัก เราเห็นภาพเหมือนการเมือง
ในปัจจุบันหรือไม่ครับ


พระคัมภีร์บอกให้เราเชื่อฟังผู้นำ ผู้นำคือคนที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ แน่นอนผมไม่ได้ให้ตะบี้ตะบันเชื่อฟังและ
ทำในสิ่งทีไม่ถูกต้อง แต่การได้คุยอย่างเปิดอกนั่นย่อมดีกว่า (เรื่องการเชื่อฟัง ขออนุญาติ พูดในบทความหน้า)
แต่พระเจ้าเท่านั้นคือผู้พิพากษาและตัดสิน ผู้เดียวเท่านั้น ใครหว่านสิ่งใด ก็จะได้สิ่งนั้น


"อย่าตัดสิน มิฉะนั้นท่านเองจะถูกตัดสินด้วย เพราะท่านตัดสินผู้อื่นอย่างไร ท่านจะต้องถูกตัดสินอย่างนั้น
ท่านตวงไปให้ด้วยทะนานอันใด ท่านก็จะได้รับเท่ากับทะนานอันนั้น
เหตุใดท่านมองดูผงขี้เรื่อยในตาของพี่น้อง แต่ไม่ใส่ใจกับไม้ทั้งท่อนในตาของท่านเอง?
ท่านพูดกับพี่น้องได้อย่างไรว่า ให้เราเขี่ยงผงออกจากตาของท่านเถิดในเมื่อตลอดเวลานั้นท่านเองมีไม้ทั้งท่อน
อยู่ในตา เจ้าคนหน้าซื่อใจคดจงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของเจ้าเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นชัด เพื่อจะเขี่ยผง
ออกจากตาของพี่น้องได้"
มัทธิว 7:1-5
"จงยอมรับผู้ที่อ่อนแอในความเชื่อโดยไม่ตัดสินเขาในเรื่องที่มีความเห็นแตก ต่ากัน
คนหนึ่งเชื่อว่ากินได้ทุกอย่าง แต่อีกคนหนึ่งซึ่งมีความเชื่ออ่อนแอ กินแต่ผักเท่านั้น
คนที่กินทุกอย่าง อย่าดูถูกคนคนที่ไม่กิน และคนที่ไม่กินก็อย่ากล่าวโทษคนที่กิน
เพราะพระเจ้าทรงยอมรับเขาแล้ว ท่านเป็นใครเล่นที่จะตัดสินบ่าวของคนอื่น ?
เขาจะได้ดีหรือเลวก็แล้วแต่นายของเขา และเขาจะได้ดีเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้า
ทรงสามารถทำให้เขาได้ดี
คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งศักดิ์สิทธิ์กว่าอีกวันหนึ่ง ส่วนอีกคนถือว่าทุกวันเหมือนกันหมด
แต่ละคนควรแน่ใจในความคิดเห็นของตนอย่างเต็มที่ ผู้ที่ถือวันหนึ่งวันใดเป็นพิเศษก็
ให้ถือเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินเนื้อก็กินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระ
คุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่กินก็ไม่กินเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และขอบพระคุณพระเจ้า"


โรม 14:1-6
ตอนหนึ่งได้บอกว่าแต่ละคนก็มั่นใจในความเห็นของตนอย่างเต็มที่ สิ่งนี้แหละครับทำให้เรา
ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กันและกัน


สิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัญหาของคริสตจักรในเมืองโครินธ์ อ.เปาโล ยำเรื่องนี้ให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน
ในพระกายของพระคริสต์


"จงถ่อมใจและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน จงอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก
จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณโดยมีสันติสุข
เป็นเครื่องผูกพัน มีกายเดียวและพระวิญญาณองค์เดียวเหมือนกับที่ทรงเรียกท่าน
มาสู่ความหวังเดียวเมื่อทรงเรียกท่าน มีองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อเดียว
บัพติศมาเดียว มีพระเจ้าองค์เดียวผู้ทรงเป็นพระบิดาของคนทั้งปวง ผู้ทรงอยู่เหนือ
ทั้งมวล ทั่วทั้งสิ้น และในทั้งหมด"


1.จงถ่อมใจ
ถ่อมใจคือ ทำให้ต่ำลงให้ต้อยต่ำกว่าความเป็นจริง ถ่อมเกียรติ ลดเกียรติลง ลดตัวลง
แม้มีเกียรติหรือมีความรู้สูง แต่บอกว่ามีน้อยไม่โอ้อวด
โรม 12:16
"จงอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว อย่าหยิ่งผยอง แต่จงเต็มใจคบค้าสมาคมกับคนที่มี
ฐานะต่ำ*(หรือ เต็มใจทำงานที่ต่ำต้อย) อย่าทะนงตน"


ยากอบ 3:1
"พี่น้องทั้งหลาย อย่าตั้งตัวเป็นอาจารย์กันให้มากนักเลย เพราะรู้อยู่ว่าเราทั้งหลาย
ที่เป็นผู้สอนนั้นจะถูกตัดสินอย่างเข้มงวดกว่าผู้อื่น"


ผมไม่ได้เหมารวมถึงคริสเตียนผู้เชื่อทุกคน ผู้นำบางคนหรือผู้เชื่อบางคนไม่ได้มีใจที่ถ่อม
อย่างแท้จริง มนุษย์จะปกป้องตัวเองเมื่อเจอกับสถานการณ์รอบด้านเขาคิดว่า เกียรติหรือ
ตำแหน่ง หรือความรู้ สามารถปกป้องเขาได้


2.สุภาพอ่อนโยน
สุภาพอ่อนโยนคือ ความเรียบร้อยและความละมุนละม่อม สุภาพเรียบร้อยไม่แข็งกระด้าง
พระเยซูเองเป็นแบบอย่างที่ดีและชัดที่สุดของความสุภาพและอ่อนโยน
และเราเองที่มีพระเยซูคริสต์ภายในล่ะเรามีท่าทีเช่นไร?
เราแตกต่างจากโลกนี้หรือไม่? เราเองแข็งกระด้างต่อกันหรือไม่ เมื่อมีสิ่งใดที่ไม่ถูก
ใจของเราหรือไม่ได้ดั่งใจเรา เรามีความละมุนละม่อมพอ หรืออ่อนโยนพอมั๊ยกับสถานการณ์นี้


อย่าให้เราดำเนินตามสติปัญญาของโลกนี้
ยากอบ 3:15
"สติปัญญา แบบนั้นไม่ได้มาจากสวรรค์แต่เป็นแบบโลก ไม่อยู่ฝ่ายวิญญาณและเป็นของมาร"


มัทธิว 11:29-30
"จงรับแอกของเราแบกไว้ และเรียนรู้จากเรา เพราะเราสุภาพและถ่อมใจ แล้วจิตวิญญาณ
ของท่านจะพักสงบ เพราะแอกของเรานั้นพอเหมาะและภาระของเราก็เบา"
แอกของพระเยซูที่พูดถึงในปัจจุบันนี้ ก็คือเราสามารถรับแบกปัญหาที่เราเจอได้หรือไม่
ในคริสตจักรเองก็เช่นกัน ไม่ว่าแอกนั้นจะหนักแค่ไหน จนแทบจะไม่อยากแบกอีก
พระเยซูหนุนใจเราว่า ให้เรียนจากพระองค์สิ เพราะพระองค์สุภาพ และถ่อมใจ ผมหนุนใจ
ให้เราเรียนรู้ด้วยกันนะครับ


3.จงอดทนอดกลั้นต่อกันด้วยความรัก
ความอดทนอดกลั้น แค่ 5 พยางค์เท่านั้นแต่ทำไมยากเหลือหลายสำหรับเราที่จะ อดทนให้ได้
อดทนอดกลั้นคือ ความพยายามกัดฟันสู้เพื่อระงับยับยั้ง ซาตานเองมักจะใช้อุบายเพื่อให้เราพ่ายแพ้
ในปฐมกาล ผมมองเห็นมุมหนึ่งของเอวา และอาดัม เมื่อเขาโดนซาตานเองล่อลวงด้วยกลอุบายต่างๆ
เขาไม่สามารถยับยั๊งท่าทีและความคิดได้เลย
ในภาพยนต์มักจะใส่คำว่า ยอมไม่ได้ แพ้ไม่ได้ ตัวเอกของเรื่อง มักจะไม่อดทนอดกลั้นอะไรนัก
ในการปล่อยพลัง หรือความโกรธออกมา
การอดทนอดกลั้นไม่ได้หมายความว่าเราจะแพ้ พระเยซูอดทนอดกลั้นขนาดไหน ที่ยอมโดนดูถูก ด่า
หยามเกียรติ ถ่มน้ำลายใส่ เยอะเย้ย ถากถาง โบยตีจนยับไปทั้งตัว สมัยผมเป็นเด็กรวี ผมเคยได้ยิน
พี่ๆบางคนพูดว่า ถ้าพระเยซูไม่อดทนอดกลั้นก็สามารถเรียกกองทัพสวรรค์มาบดขยี้ได้สบายๆ
แบบในภาพยนต์ และนั่นก็จะเป็นชัยชนะแบบโลก แค่นั้นจบ มาตฐานของโลกนี้ ใช่!พระองค์แพ้
แต่นั่นคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่สำหรับพระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นความสำเร็จ ของฟ้าสวรรค์ที่
ฉลองชัยชนะเมื่อพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย
(ขออภัยครบที่ออกนอกเรื่องมาเยอะเลย)
และนี่เองเป็นบทเรียนที่เราจะเดินตาม คำว่าแตกแยก คำว่าสะดุด แบ่งพรรคแบ่งพวกยังควรจะมี
ในเราหรือไม่
สิ่งสำคัญ กุญแจตรงนี้คือความรัก บัญญัติข้อใหญ่ที่พระเจ้าให้ไว้ พระองค์ทำสำเร็จเพราะความรัก
เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก (พระคัมภีร์ ยอดฮิตสมัยเราเป็นเด็กๆ) ยอห์น 3:16
ความรักนั้นทนนาน       1 โครินธ์ 13:4 รักที่อดทนต่อมนุษย์ทั้งโลก (ทั้งโลก)


4.จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
จงเพียรพยายาม คำคำนี้ไม่ง่ายเช่นกัน แต่ไม่ใช่ด้วยกำลังของเราเองที่เพียรพยายาม แต่โดย
พระวิญญาณที่จะช่วยเราในการครั้งนี้
"ไม่ใชด้วยกำลัง ไม่ใช่ด้วยฤทธิ์อำนาจ แต่โดยพระวิญญาณของเรา พระยาเวห์ผู้ทรงฤทธิ์ตรัสดังนั้น"


1 โครินธิ์ 1:10
เรื่อง..ความแตกแยกในคริสตจักร
"พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่านในพระนามขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราว่า
ให้ท่านทุกคนปรองดองกัน เพื่อจะไม่มีความแตกแยกใดๆในหมู่พวกท่าน และเพื่อ
ท่านจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ทั้งในความคิดและจิตใจ"


เพลงหนึ่งที่พี่น้องคริสเตียนที่ผมรู้จักได้แต่งไว้
ท่านร้องรับมีเนื้อประมาณว่า
ผูกความสัมพันธ์ทั้งเธอและฉันร่วมเป็นหนึ่งเดียว
คณะไหนก็ไม่เกี่ยวร่วมเป็นหนึ่งเดียวหนึ่งในพระกาย (ประมาณนี้ครับ)


1 โครินธิ์ 12:12-31


ข้อ 12 "กายนั้นเป็นกายเดียวแม้จะประกอบด้วยอวัยวะหลายส่วน
และแม้อวัยวะทั้งหมดจะมีหลายส่วนก็ประกอบกันเป็นกายเดียว พระคริสต์
ก็เช่นกัน เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมาโดย พระวิญญาณองค์เดียวเข้า
เป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาสหรือไท และเรา
ทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน"


เราจะบอกว่าเธอ ไม่จำเป็นสำหรับฉัน ฉันก็ไม่อยากไปยุ่ง เกี่ยวกับเธอ ต่างคนต่างอยู่
ต่างคนต่างทำงาน ต่างคนต่างรับใช้ พวกใครพวกมัน หรือไม่ก็อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้เพราะ
ต่างฝ่ายก็ เสือด้วยกันทั้งนั้น ยอมกันไม่ได้ หากเท้าจะพูดว่า "เพราะฉันไม่ใช่มือ ฉันจึง
ไม่ได้เป็นของร่างกายนั้น" นั่นไม่ใช่เป็นเหตุผลให้กายนั้นไม่เป็นของกันและกัน
ถ้าทั้งหมดต่างจะเป็นอวัยวะเดียว โดดๆ ร่างกายจะไปอยู่ที่ไหน ? อย่าให้เรามีความคิด
ที่ไม่ต้องการกันและกัน หรือ แบ่งแยกกัน เมื่อมีฝ่ายใดอ่อนแอก็ย่อมมีผลกระทบทั้งหมด
เราร้องเพลงวา เรารักพระองค์ๆๆๆ แต่จริงๆเรารักตัวเองหรือไม่ เรากลัวเจ็บ
แต่พระเยซูเจ็บยิ่งกว่า "ถ้าอวัยวะหนึ่งเจ็บ ทุกส่วนก็พลอยเจ็บด้วย ถ้าอวัยวะหนึ่งมีเกียรติ
ทุกส่วนก็ร่วมชื่นชมยินดีด้วย"


โคโลสี 1:18
"พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกายคือ คริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่เป็นขึ้นจากตาย
เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง"


โรม 12:5
"ในพระคริสต์พวกเราซึ่งมีกันหลายคนก็ประกอบเข้าเป็นกายเดียว และแต่ละอวัยวะก็เป็นส่วนหนึ่ง
ของอวัยวะทั้งหมดฉันนั้น"


เราเห็นได้ว่าพระเจ้าเน้นมากเกี่ยวกับเรื่องของอวัยวะเดียว กายเดียวกัน พระเจ้าเน้นในทุกยุคทุกสมัย
ทำไม ?พระเจ้าถึงเน้นเรื่องนี้ด้วยในพระคัมภีร์ เพราะว่าปัญหานี้มีมานานแล้ว และพระองค์ก็ห่วงใย
และหวงแหนในพระกายของพระองค์ พระองค์ต้องการกายที่สมบูรณ์โดยมีพวกเราทุกคนที่เชื่อ
พระองค์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนโดยการที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเราทุกๆคน
พระองค์อดทนต่อทุกสิ่งที่เผชิญ อดทนอดกลั้น ถ่อมใจลง พระองค์ได้ทำสำเร็จแล้วโดยไม่มีเงื่อนไข


ถ้าโลกนี้เป็นข้อสอบ พระเยซูได้สอบผ่านทุกข้อทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เราเอง คริสตจักรเองไม่ได้ผ่านกับ
สิ่งเหลานี้ พระเยซูมาแบบสภาพมนุษย์เพื่อให้เราทุกคนเชื่อว่าเราจะทำได้ด้วยเช่นกัน
เราต้องผ่านกับความคิดที่ซาตานพยายามยัดเยียดให้เรา


แน่นอนมันยากลำบากมาก มันต้องเจ็บ แต่ให้เราเพ่งมองที่พระเยซูคริสต์ เป็นแบบอย่าง
พระองค์ไม่กลัวเสียเกียรติ พระองค์ถอดการยอมรับและยศถาบรรดาศักดิ์ พระองค์เป็นถึงพระเจ้า
แต่มารับสภาพแบบนี้ ผมหนุนใจเราว่านี่คือชัยชนะของพระเยซู และตอนนี้พระองค์ก็อยู่ในเรา


ผมขอจบตรงนี้ด้วยคำอธิฐานของพระเยซูเพื่อผู้เชื่อทั้งปวง ว่า
"เพื่อพวกเขาทั้งหมดจะเป็นหนึ่งเดียวกัน พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์
และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์อย่างไร ก็ขอให้พวกเขาอยู่ในพระองค์ และอยู่ในข้าพระองค์
อย่างนั้นด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา เกียรติ พระสิริซึ่งพระองค์
ประทานแก่ข้าพระองค์นั้นข้าพระองค์ได้มอบให้พวกเขาแล้วเพื่อพวกเขาจะได้เป็น หนึ่งเดียวกัน
เหมือนที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกันคือ ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขาและพระองค์อยู่
ในข้าพระองค์ ขอให้พวกเขาได้รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้โลกรู้ว่าพระองค์
ทรงส่งข้าพระองค์มา และ ทรงรักพวกเขาเหมือนดั่งที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์"
ยอห์น 17:21-23
ท้ายสุดนี้ ท้ายสุดจริงๆครับ ของฝากพระคัมภีร์ใน สดุดี 133
“เป็นการดีและน่าชื่นใจยิ่งนัก เมื่อพี่น้องอาศัยอยู่ด้วยกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน!เหมือนน้ำมันล้ำค่าหลั่งรินบนศีรษะไหลลงมาบนหนวดเครา ไหลลงมาบนหนวดเคราของอาโรนไหลลงบนคอเสื้อของเขา ดั่งน้ำค้างบนภูเขาแห่งเฮอร์โมน ตกลงบนภูเขาศิโยน เพนสะองค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานพระพรที่นั่น ประทานม้แต่ชีวิตนิรันดร์”
ผมขอหนุนใจอีกครั้งว่า ให้เราทำลายกำแพงที่ขวางกั้นความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันลง อยากฝากบทเพลงหนึ่งที่อยู่ในความประทับใจ เมื่อนมัสการด้วยบทเพลงนี้ ร่มในคำอธิฐานของพระเยซู และประกาศการเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในครอบครัว ในคริสตจักร ในจังหวัดนครราชสีมา ในประเทศไทย และทั่วโลก เพื่อพระกายที่สมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ เมื่อถึงเวลานั้น อาณาจักรแห่งความมืดจะไม่มีชัยชนะอีกต่อไป
เราขอสั่งทำลายกำแพง
พระองค์บัญชาพระพรเหนือ  ณ ที่นั่น  
ซึ่งพี่ น้องอาศัยร่วมด้วยกัน
และน้ำมัน แห่งการเจิมพระองค์จะไหลหลั่ง   
เมื่อเราเป็นกายเดียว


พระองค์เลือกเราให้เข้าในพระกาย 
เป็นสหายของพระองค์
รวมพวกเราไว้ในพระวิญญาณบริสุทธิ์      
เป็นนิจนิรันดร์


พระบิดาเราร่วมคำอธิษฐาน พระเยซู
ขอทรงรวมพวกเราเป็นหนึ่งเดียว
ขอทรงให้เรามีนิมิตหมายที่ร่วมกัน
คือ เพื่อความรักของพระบุตร


เราขอสั่งทำลาย กำแพง  เราขอสั่งทำลาย กำแพง
เราขอสั่งทำลาย กำแพง   ใน พระนามของพระบุตร


เรา ขอสั่งทำลายกำแพง เราขอสั่งทำลาย กำแพง
เราขอสั่งทำลาย กำแพง   ให้เราเป็นกายเดียว


ขอบคุณพระเจ้า อาเมน
ข้อพระคัมภีร์จาก NIV

ktm.worship