วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พูดเล่นเองน่า..ล้อเล่น

การพูดเล่น พูดแซว นินทา พูดส่อเสียดหรือเสียดสี ใครเคยประสบกับเหตุการณ์เหล่านี้บ้าง ผมได้เขียนบทความเรื่องแบบนี้มามากพอสมควร แต่วันนี้อยากจะกล่าวถึงคำว่า “พูดเล่น” เป็นพิเศษ คำพูดเล่น ไม่ใช่หมายความว่า ชีวิตเราต้องจริงจังซีเรียสจนพูดอะไรแบบผ่อนคลายไม่ได้ แต่การพูดก็ต้องอยู่ภายในขอบเขต ตัวผมเองเคยพูดเล่นจนสนุกปาก โดยเรื่องที่พูดเล่นนั้น เป็นปมด้อยของคนอื่น เช่นความเตี้ย หรือความไม่สมประกอบของร่างกาย ตัวผมเองในอดีตก็บาดเจ็บกับคำพูดแบบนี้มานานแม้ภายนอกจะไม่แสดงออกและทำตัวว่าเข้มแข็ง ผมเองเป็นคนมีสีผิวที่คล้ำ หรือดำนั่นแหละ และมักถูกเอามาล้อเลียนสมัยเด็ก จนเป็นที่สนุกสนาน บางคนอาจจะพูดว่า เป็นเงาบ้าง ดำเมี่ยมบ้าง และอีกมากมาย และตบท้ายด้วยคำพูดว่า “ฉันพูดเล่น” คำคำนี้ก็เหมือนการแก้ตัวในความบาปที่ตัวเองทำออกไป มันดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นั่นคือการที่เค้ากำลังพูดถึงการทรงสร้างจากพระเจ้าที่ปั้นแต่งสร้างเราขึ้นมาด้วยความรัก พระเจ้ามีแผนการและยุตธรรมเสมอ โลกนี้มองที่ภายนอกแต่พระเจ้าทอดพระเนตรที่จิตใจ หัวใจของพระเจ้า ผิวดำหรือขาวก็เท่ากัน สูงหรือเตี้ยก็เท่ากัน ฉะนั้นใครล่ะเป็นคนกำหนดว่า คนดำต้องเป็นที่เหยียดผิวไปทั่วโลก ทำไมถึงมีการดูถูกชาติกำเนิดกันว่า “ไอ้บ้านนอก” ไอ้จมูกบานมั่ง หัวเถิกหัวล้านบ้าง เคยเห็นคนประเภทนี้ที่เอาปมด้อยคนอื่นมาพูดแล้วก็ขำกันจนสนุกสนานไหม นั่นไม่ใช่เป็นหัวใจของพระเจ้า เขาเองก็เหมือนทำตัวเป็นศาลเตี้ยพิพากษาเองว่า เขาไม่โกรธหรอก มันร้ายแรงมากเลยหรือ

เอเฟซัส 5:4
ทั้งอย่าพูดหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบโลนเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบพระคุณดีกว่า

มันอาจจะรู้สึกสนุกและขำที่เราได้หัวเราะและพูดถึงปมด้อยของอื่นอย่างโจ่งแจ้ง และเราก็จะแก้ตัวด้วยคำว่า พูดเล่นนนน น่า ขำขำ ถ้าเราเคยสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาด้วยความตั้งใจและทุ่มเทสุดกำลัง เราตั้งใจจะให้มันดี และอยากอวดต่อคนอื่นด้วย แต่เมื่อบางคนได้เห็นและหัวเราะเยาะและขำกับงานที่เราสร้างขึ้นด้วยความจริงใจและจริงจัง ด้วยการทุ่มเท เราก็คงไม่สบอารมณ์นักหรอก พระเองก็เช่นเดียวกัน พระองค์สร้างเรามาไม่ใช่ด้วยความไม่ตั้งใจ ไม่ใช่แบบนิทานที่สร้างไม่สมประกอบ แต่พระเจ้าใส่ใจในทุกอย่างที่เรามี เส้นผมทุกเส้นพระเจ้าก็นับไว้แล้วทุกเส้น พระเจ้าใส่ใจในการทรงสร้างเราขนาดนั้นเลย เราเกิดมาจากความรักของพระเจ้า พระเจ้าไม่ชอบพระทัยแน่ถ้าใครมาดูถูกการทรงสร้างของพระองค์
เอเฟซัส 2:10
เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี ซึ่งพระเจ้าได้ทรงดำริไว้ล่วงหน้าเพื่อให้เรากระทำ
สุภาษิต 18:8
ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อยมันล่วงเข้าไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย

มันอาจจะเป็นเรื่องยากที่นิสัยเก่าๆของเราที่ติดตัวมามันยากที่เราจะดึงตัวออกมาจากการล้อเลียน
การนินทา ซุบซิบ มันเหมือนกับการอดอาหารที่เราเดินผ่านอาหารที่แสนอร่อยแล้วอยากจะลองลิ้มชิมรสของมัน เราอาจจะคิดว่าแค่ชิมนิดหน่อย แต่เมื่อชิมแล้วก็อยากจะกินมันทั้งหมด เราอดอาหารอธิษฐานมาเยอะแล้ว และเราลองถืออดอาหารคือการพูดที่ไม่ควรจะพูด ถ้าเราลองชิมมันแค่คำแรกมันก็จะพูดต่อไปเรื่อยๆ เราต้องตัดสินใจตั้งแต่ว่า จะไม่เปิดตู้กับข้าวด้วยซ้ำ

สุภาษิต 21:23,24
บุคคลที่รักษาปากและลิ้นของตน ก็รักษาตัวเขาเองให้พ้นความลำบาก
"คนมักเยาะเย้ย" เป็นชื่อของคนเย่อหยิ่งและคนจองหอง ผู้ประพฤติตัวด้วยความเย่อหยิ่งยโส

อย่าคิดว่ามันไม่เป็นอะไรที่เราจะใช้ลิ้นยังไงก็ได้ และเราก็แค่บอกว่าพูดเล่นเพื่อให้พ้นคดีความไป พระคัมภีร์ตีหน้าไว้เลยว่าคนจำพวกนี้ เป็นคนเย่อหยิ่ง ทำไมถึงเย่อหยิ่งก็เพราะว่าเขาคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น และเพียบพร้อมกว่าคนอื่นๆ ในพระคัมภีร์พวกที่ชอบซุบซิบนินทาก็คือพวกฟาริสี ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนเย่อหยิ่งคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น

สุภาษิต  18:21

ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น และบรรดาผู้ที่รักมันก็จะกินผลของมัน

ชีวิตเราก็เป็นเช่นต้นไม้ที่ออกผลได้ ลิ้นที่พูดก็ออกผลได้ พระคัมภีร์บันทึกว่า ต้นดีผลก็ดี ต้นเลวผลก็เลว เราก็ดูได้จากผลและต้นของมันนี่แหละว่าดีหรือไม่ดี ถ้าต้นไม่ดีก็ควรจะโดนโค่นลงเสียเพราะออกผลที่ไม่ดีไม่มีประโยชน์ NIV บอกเราว่า ลิ้นมีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย คนที่รักการพูด….จะได้กินผลของมัน

สดุดี 15:3
ผู้ซึ่งไม่ใช้ลิ้นของตนในการนินทาว่าร้าย ไม่กระทำชั่วต่อเพื่อน และไม่ด่าเพื่อนบ้านของตน
คำพูดมันก็สะท้อนถึงความสัมพันธ์ของเราเองกับพระเจ้าของเรา สิ่งที่บ่งบอกความเป็นคริสเตียนได้ดีที่สุดคือผลของชีวิต คำพูดก็เป็นหนึ่งในนั้น คนที่ไม่สามารถใช้ผลของการบังคับตนในเรื่องพูดได้ ไม่ระมัดระวังในการพูด พระคัมภีร์ข้างต้นบอกว่า ไม่กระทำชั่วต่อเพื่อบ้าน
กาลาเทีย 5:22-26
ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย

ผลของพระวิญญาณจะวัดความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณของเราได้เป็นอย่างดี เรารักแต่เราทำให้เพื่อนบ้านพี่น้องเราเจ็บด้วยคำพูดเพียงความสนุกของเราและเหมาเอาเองว่า เขาไม่โกรธ มันบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเราไม่ได้พยายามมองหาส่วนดีของกันและกัน แต่มองหาจุดที่จะสังเวชบูชายัน ความสนุกปากของตัวเอง เราไม่รู้หรอกว่าเขามีบาดแผลอะไรมาบ้าง หรือไม่ การพูดเล่นไม่เป็นเรื่องเท่ากับเป็นการเปิดบาดแผลนั้นให้กว้างมากขึ้นไปอีก

สุภาษิต 25:23
ลมเหนือนำฝนมาฉันใด ลิ้นที่ส่อเสียด ก็นำหน้าความโกรธฉันนั้น
สิ่งที่เราพูดอาจจะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างจำนวนมาก ทำไมพระคัมภีร์เน้นเรื่องการพูดไว้มากมาย การพูด 4 ประเภทในพระคัมภีร์ สุภาษิตคือ
- ลิ้นที่สามารถควบคุมได้
คือคิดก่อนจะพูด ขอสติปัญญาจากพระเจ้าก่อนจะพูด ด้วยสติปัญญา
- ลิ้นที่มีความระมัดระวัง
พูดความจริงและระวังในการพูด พร้อมให้คำแนะนำด้วย
- ลิ้นที่มุ่งประสงค์ร้าย
คนที่พูดด้วยแรงจูงใจที่ผิด บิดเบือนความจริง เช่น ล้อเลียนปมด้อยของผู้อื่น ความจริงคือพระเจ้าสร้างเราด้วยความรัก ไม่ใช่สร้างเราผิดพลาดแล้วเหวี่ยงมาในโลก
จำงู ซานตานที่ล่อลวงเอวาได้หรือไม่ งูใช้คำพูดที่บิดเบือนความจริงไปจากสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ ลิ้นแบบนี้มัก นินทา ซุบซิบ ใส่ร้ายป้ายสี ไม่รู้ความจริงทั้งหมดก็คิดในมุมร้ายและออกผลด้วยการพูด
- ลิ้นที่ขาดความระมัดระวัง
คือ ลิ้นที่มีแต่คำโกหก คำสาปแช่ง เช่นพูดไปล่วงหน้าว่าเขาจะร้ายแบบนั้นแบบนี้ ยังไงก็ไม่มีทางเปลี่ยนได้ แต่พระเจ้าบอกว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยพระองค์ ก่อให้เกิดการโกรธและบันดาลโทสะ เกิดความแตกแยก และนำมาซึ่งการทำลายไม่ใช่เสริมสร้างซึ่งกันและกัน
ยากอบ 3:5,6,8,10
ลิ้นก็เช่นเดียวกัน เป็นอวัยวะเล็กๆและอวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ จงดูเถิดไฟนิดเดียวอาจเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ได้หนอ
และลิ้นนั้นก็เป็นไฟ ลิ้นเป็นโลกที่ไร้ธรรมในบรรดาอวัยวะของเรา เป็นเหตุให้ทั้งกายมลทินไปทำให้วัฏฏะแห่งชีวิตเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟโดยนรก
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย

ในยากอบบอกเราว่าแม้มันจะเล็กนิดเดียว แต่ผลของมันก็ทำให้ไฟไหม้ทั้งป่าได้ด้วยไม้ขีดเพียงก้านเดียว ยากอบย้ำอีกครั้งว่าโทษมันถึงตายเลยทีเดียว

ยากอบ 3:9-10
เราทั้งหลายสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระบิดาด้วยลิ้นนั้น และด้วยลิ้นนั้นเราก็แช่งด่ามนุษย์ ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้ตามพระฉายาของพระองค์
คำสรรเสริญและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น

อีกครั้งหนึ่งนะครับ เราอาจะเห็นว่าคนประเภทนี้ทำไมถึงยังรับใช้พระเจ้าอยู่ได้ ทำไมเขารู้พระคัมภีร์มาก เขามีถ้อยคำในการอธิษฐานมาก แต่พระคัมภีร์บอกแล้วว่า นั่นไม่ได้แสดงถึงความเติบโตฝ่ายวิญญาณของเขา อย่าให้เรามีทั้งของดีและของเน่าอยู่ในปากของเราพร้อมๆกัน หรืออย่าให้มีของเน่าอยู่เลยเพราะมันจะทำให้ร่างกายป่วยมีผลถึงความตายแต่จงให้แต่ของที่มีประโยชน์อยู่ในปากของเราเท่านั้น
จะให้คำสรรเสริญ ถวายเกียนติยกย่องพระเจ้าผู้สูงสุดออกมาจากปากที่เราใช้ในการนินทาว่าร้าย ใส่ร้ายป้ายสี และพูดลับหลังคนอื่นพี่น้องของเรา หรือแต่เอาปมด้อยของเขามาล้อเลียนหรือ เราไม่ใช่แค่ดูถูกการทรงสร้างเท่านั้นเมื่อเราล้อเลียนและขำกับปมด้อยของคนอื่น แต่คำว่าการถูกสร้างมาตามพระฉายานั้น คือเราถูกสร้างมาตามแบบขององค์พระผู้สร้าง ฉะนั้นคุณกำลังขำและสนุกับปมด้อยของใครกันแน่

มัทธิว 5:11
เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข

ในพระธรรมมัทธิว ได้หนุนใจเราด้วยว่า เมื่อใดก็ตามที่เราโดนล้อเลียน โดนซุบซิบนินทา โดนใส่ร้ายป้ายสีในเรื่องไม่เป็นความจริง แม้เราจะไม่ได้ทำในสิ่งที่เขาใส่ร้าย แม้ว่าเราจะไม่คิดแบบที่เขาคิด แม้เราจะรับใช้ด้วยหัวใจและด้วยการถวายตัวอย่างจริงใจ แต่โดนนินทาว่าเอาหน้า หรือทำเพื่อให้คนอื่นเห็น ก็ให้เป็นสุขและมีสันติสุขเถิด เพราะเราไม่ได้ทำเพื่อตัวเองแต่ทำเพื่อพระองค์ เมื่อเราต้องเผชิญสถานการณ์เหล่านี้เพราะพระองค์ก็จงเป็นสุขเถิด
เราถูกสร้างมาตามพระฉายาและความรักจากพระเจ้า ถ้าเราจะถูกล้อเลียนก็จงเป็นสุขเถิดพระเจ้าเจ้ามีแผนการสำหรับการทรงสร้างของพระองค์อย่างแน่นอน เราต้องเข้าใจว่านั่นคือเสียงที่ไม่เป็นความจริง มันคือคำพูดเท็จที่ซาตานกำลังใส่เข้ามาในเรา

เอเฟซัส 4:31
จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเถียงกัน และการพูดเสียดสี กับการคิดปองร้ายทุกอย่างอยู่ห่างไกลจากท่านเถิด

โคโลสี 3:8
แต่บัดนี้ สารพัดสิ่งเหล่านี้ท่านจงเปลื้องทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบโลน

ไม่ใช่หมายความว่าเราจะพูดเล่นกันไม่ได้เลย การพูดเล่นก็คือการพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ยังมีความสนุกสนานและสันติสุขมากมาย ที่พระเจ้าประทานให้เรา มากกว่าการพูดเล่นไม่เป็นเรื่อง พูดถึงปมด้อยของคนอื่น พูดซุบซิบนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ผมเองไม่ใช่ว่าจะไม่เคยพูดเล่น ก็ยังมีเผลอไผลบ้างและบางครั้งคำพูดเล่นของผมเองก็ทำให้คนอื่น เสียใจ ทั้งที่เคยล้อเล่นบ่อยๆ แต่ทำไมครั้งนี้โกรธ และถือเป็นจริงเป็นจัง บางครั้งเราพูดจริงจังตรงๆไม่ได้ เช่นผมเคยได้ยินคนที่ล้อเลียนกันเรื่องหัวล้าน หรือไม่ค่อยมีผม ถ้าเราจะพูดว่า ไอ้หัวล้าน ทำไมคุณไม่มีผม เขาคงโกรธแน่และเราก็คงไม่กล้าพูด แต่ช่องโหว่ที่จะทำให้เรากล้าพูดออกมาคือ พูดเล่นนี่แหละ เช่น โอยทำไมมีดวงอาทิตย์สองดวงนะ เอ…ทำไมตรงนี้สว่างจัง เอ๊ะๆๆ พูดเล่นนะ แบบนี้เป็นต้น ฉันก็แค่พูดเล่นไปอย่างนั้นเอง ไม่ได้ตั้งใจะทำให้เขาเสียใจเลย

ผมรู้ว่าบางครั้งใครบางคนที่มีเพื่อนที่พูดเล่นกันได้ อาจจะไม่เห็นด้วยกันกับบทความนี้ ที่บางครั้งบางคนอาจจะคิดว่าพูดเล่นได้ไม่น่าจะเป็นอะไร ถ้าอยู่ในขอบเขต แต่ผมกำลังจะสื่อสารถึงภาพรวมของการใช้คำพูด ไม่ใช่แค่การพูดเล่นเท่านั้น แต่รวมถึงการพูดในหลายๆมุมด้วย เราอาจจะพูดแซวจนติดเป็นนิสัย พูดแซวคนอื่นไปทั่ว ทั่งรูปร่าง สีผิว การไม่สมประกอบ การแต่งตัว สำเนียง พื้นเพ ถิ่นกำเนิด พระคัมภีร์เตือนเราว่า

มีบางคนที่คำพูดพล่อยๆ ของเขาเหมือนดาบแทงแต่ลิ้นของปราชญ์นำการรักษามาให้
สุภาษิต 12:28

ถ้าเราเข้าใจในเรื่องสงครามฝ่ายวิญญาณ คำพูดแซว ประโยคเดียวกัน กับคนคนเดียวกัน อาจจะทำให้เกิดอารมณ์คนแตกต่างกันได้ ในงานอธิษฐานผมผมเจอคนหนึ่งที่ชอบแซวคนอื่นประจำ เมื่อมีพี่น้องคนหนึ่งเข้ามา คนคนนี้มีบุคลิกที่ขี้เล่นใครว่าอะไรแซวอะไรก็ไม่ค่อยโกรธ แต่วันนั้นเป็นวันอธิษฐานที่มีบรรยากาศสงครามฝ่ายวิญญาณอย่างมาก เมื่อเขาจอดรถก็มีคำแซวล้อเล่นสวนมาทันทีว่า “งานจะเลิกแล้ว มาทำไมตอนนี้” ผมคงไม่กล่าวต่อนะครับว่า อารมณ์ของคนที่ถูกแซวจะเป็นอย่างไร ทั้งที่เจอปัญหามามากมายในที่ทำงานแล้วต้องรีบมาอธิษฐาน แต่พอมาเจอคำแซวก็เกิดบาดแผลขึ้นมาทันที นี่เป็นตัวอย่าง เท่านั้น

ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรและช่วยเรา ขอพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ในเราที่จะเตือนเราที่เราจะได้ยินเสียงคำเตือนและการทรงนำจากพระองค์ที่ตรัสจากภายในเราว่า ควรจะพูดอย่างไร ขอสติปัญญาที่มาจากพระองค์ และเมื่อเราเองกลับต้องเจอคำพูดที่แฝงด้วยการทำลาย ขอเราที่จะมีความมั่นคงและตั้งมั่นในพระองค์ หลบซ่อนอยู่ภายใต้ปีกของพระองค์ที่เราจะไม่พึ่งพาตัวเองและตอบโต้ออกไป

ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คริสต์มาส

คริสต์มาส

คริสต์มาสมาถึงอีกหนึ่งปี เดินไปไหนก็จัดงานเฉลิมฉลอง ยิ่งแถวๆบ้านติดป้ายว่า “merry x'mas” หรือ Merry Christmas นั่นแหละ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจความหมายของคำๆนี้อย่างถูกต้อง หรือเขาอาจจะเข้าใจถูกแต่เราเองเข้าใจผิดเองนี่ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ที่สำคัญ เหล้า ยา ครบ เมากันให้หัวทิ่ม แถมด้วยการร้องเพลงสองแง่สองง่าม เปิดเพลงมีหางเครื่องนุ่งสั้นๆมาเต้นเหมือนโดนน้ำร้อนลวกซะแบบนั้น อันนั้นเขาก็ชอบกัน
แล้วคริสเตียนล่ะ คริสต์มาสนี้เราควรคิดถึงอะไร แม้คริสต์มาส บางแห่งจะเชื่อว่าเป็นการประสูติของพระเยซู หรือบางแห่งจะไม่เชื่อเช่นนั้น วันนี้ผมไม่ได้จะมาถกเถียงเรื่องนี้ใดๆทั้งสิ้น

ดูบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่ http://missionkorat.blogspot.com/2010/12/blog-post_13.html

พระคัมภีร์บอกว่า พระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดแก่เรา ถ้าวันที่ 25 นี้เป็นช่วงเวลาที่พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกนี้ในครรภ์ของนางมารีย์หญิงพรหมจารี เป็นของขวัญให้แก่โลกใบนี้ ใครบ้างที่สมควรจะได้รับ เราหรือเปล่า ?

วันนี้จึงไม่ใช่วันของซานตาครอสที่ถูกบิดเบือนไป พระเยซูพระองค์เป็นของขวัญชิ้นใหญ่ที่เราไม่สมควรจะได้รับด้วยซ้ำ แต่พระองค์ทรงนำพระคุณความรักของพระเจ้ามาถึงเรา เราก็เป็นคนบาปดังเช่นอาดัมแต่พระเยซูเสด็จมาเพื่อลบล้างผลบาปเหล่านั้น เพราะพระองค์รู้ดีว่าธรรมบัญญัติไม่สามารถทำให้เรารอดได้เลย

ยอห์น 1:17
เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงประทานธรรมบัญญัตินั้นทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูคริสต์

พระองค์เสด็จมาในโลกนี้เพื่อนำเราทั้งหลายกลับคืนดีกับพระบิดา และกลับสู่พระเจ้า เราจะกลับไปหาพระเจ้าได้ก็โดยทางพระเยซู เหมือนที่เราอธิษฐานว่า ในพระนามพระเยซู

ยอห์น 14:6
พระเยซูตรัสกับเขาว่า "เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา

วันนี้เป็นวันที่เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรักและพระคุณของพระองค์ที่ถ่อมพระองค์เองและเข้ามาในโลกนี้ เพื่อเป็นแสงสว่างในโลกนี้

ยอห์น 1:14
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา 
บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง   เราทั้งหลายได้เห็นพระ
สิริของพระองค์   คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของ
พระบิดา

สำหรับเทศกาลนี้คือช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดี สำหรับเราเวลาแห่ง
ความชื่นชมยินดีคือการที่พระองค์ได้ประสูติ ผู้ทรงนำความชื่นชมยินดี
ในความรอดมาสู่โลกนี้

นี่เป็นเวลาที่เราจะยึดคืนความไม่เข้าใจ และความเชื่อผิดๆที่ผ่านมา คริสต์มาส
นี้โลกนี้ควรได้รู้ว่าพระเยซูได้เสด็จเข้ามาเพื่อพวกเขาทุกคน ไม่ใช่เพื่อให้ทำบาปเพิ่ม
ขอพระเจ้าอวยพระพรงานประกาศทุกแห่ง

ขอพระเจ้าเสริมกำลังและเรี่ยวแรงกับพี่น้องทุกคนตลอดปีที่ผ่านมา
ขอความรักของพระเจ้าออกไปสัมผัสและแตะต้องหัวใจของทุกคนที่
ได้ยินได้ฟังเรื่องราวพระองค์ในการประกาศ ขอแผ่นดินของพระองค์
มาตั้งอยู่ในหัวใจของพี่น้องทุกคน ขอบคุณพระองค์ที่ทรงเสด็จเข้ามา
ในโลกนี้เพื่อเรา

ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตที่เติบโตขึ้น

ชีวิตที่เติบโตขึ้น 
(ผลของพระวิญญาณ)

หากเราจะวักความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายกาย แน่นอนก็คืออายุที่มากขึ้น ร่างกายที่เติบโตขึ้น ความคิดและอุปนิสัยที่พัฒนาขึ้น และถ้าเราจะดูชีวิตที่เติบโตฝ่ายวิญญาณล่ะ จะวัดที่อะไร การที่เราจะวัดตัวเราเองว่าเราเติบโตขึ้นเพียงไรและเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณแค่ไหนนั้น ไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้องเป็นคนที่ดูดี แต่งตัวดีๆ จบการศึกษาสูงๆ ไม่ใช่ทั้งฐานะทางการเงิน หรือชาติตระกูลทั้งนั้น แต่อยู่ที่ผลที่แสดงออกมามากกว่าสิ่งอื่นใด แม้เขาคนนั้นจะเทศนา เป็นศิษยาภิบาลแต่ว่าขาดความอดทนอดกลั้น ไม่มีความสุภาพอ่อนน้อม และชอบนินทา เขาก็เป็นต้นไม้ที่ออกผลเลวออกมา

เราต้องมีผลของพระวิญญาณ คือ ผลของพระวิญญาณทั้ง 9 อย่าง ใน
กาละเทีย 5:22-26
ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย 
ผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์ได้เอาเนื้อหนังกับความอยาก และตัณหาของเนื้อหนังตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว ถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณด้วย เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย

พระเจ้าพระองค์ได้สัญญาว่าจะมอบผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้เราคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณที่พระองค์เองเอื้อมพระหัตถ์ของพระองค์และเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในพระองค์ออกมาและประทานให้กับเรา เพื่ออยู่กับเรา ช่วยเรา เตือนเรา สอนเรา เพื่อเราจะมีผลที่ดี

ผลของพระวิญญาณ ไม่ได้มีเพื่อให้เรารับการเจิมและมีอาการต่างๆเท่านั้น แต่มันหมายถึงการเปลี่ยนแปลงหลังจากนั้นต่างหาก เพื่อเราจะมีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและมีผลที่ดีแบบใน กาลาเทีย ดั่งเช่นต้นไม้
ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลวต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้
มัทธิว 7:17,18

ชีวิตเราก็ดูได้จากผลที่ออกมา

1.ความรัก
ความรักคือ ความชอบ พึงใจ หลายครั้งเราบอกว่า รักๆๆ แต่ผลที่แสดงออกมาเราเป็นดั่งที่ปากเราได้พูดไหม เรายังนินทากันเองอยู่ด้วยซ้ำ เรายังไม่ให้อภัยกันด้วยซ้ำ มองและคอยแต่จับผิดไม่ได้มองหาส่วนดีของกันแต่มองหาแต่ส่วนเสียหายและทำร้ายกัน

1 โครินธ์ 13:4-8
ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง ความรักไม่มีวันสูญสิ้น แม้การเผยพระวจนะก็จะเสื่อมสูญไป แม้การพูดภาษาแปลกๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกกัน แม้วิชาความรู้ก็จะเสื่อมสูญไป

แน่นอนมันช่างเป็นอะไรที่ง่ายที่เราจะเปล่งเสียงว่ารัก แต่มันเป็นอะไรที่ยากที่เราจะสำแดงความรักและมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความรัก เราจะระงับอารมณ์โกรธได้แค่ไหนเมื่อมีคนที่ทำผิดต่อเรา เอาเปรียบเราในการรับใช้ ความรักของพระเจ้านั้นทนได้แม้ความผิด พระเจ้าไม่ได้พูดเท่านั้น แต่พระองค์ทำด้วย ความผิดเราล่ะ เรารู้แน่นอนว่าพระเจ้ารักเราไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งที่เรามีความผิดนี่แหละ เห็นไหมพระองค์ก็รักและอดทนต่อความผิดของเราด้วย นี่คือความรักแท้ที่พระคัมภีร์บันทึกและให้ความหมายของความรักได้ดีที่สุดกว่าหนังสือทุกเล่มบนโลกนี้ นี่เป็นความรักแบบอย่างของพระเยซู พระองค์ทำได้ทุกอย่างที่กล่าวมา และพระองค์ที่อยู่ในเราคือพระวิญญาณก็พร้อมที่จะช่วยเราด้วย ความรักนั้นไม่มีวันสูญสิ้น ไม่ว่าเรากำลังเผชิญสิ่งใดก็ตามแม้เราจะเจอคนที่ทำให้เราเจ็บแค่ไหน ทำผิดต่อเราแค่ไหน เราต้องไม่ลืมว่า ความรักที่ไม่มีวันสูญสิ้นยังคงอยู่ และไม่เคยหมดไปจากเราเลย

เอเฟซัส 5:1,2
เหตุฉะนั้นท่านจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก และจงดำเนินชีวิตในความรัก เหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเราทั้งหลาย และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเรา ให้เป็นเครื่องถวายและเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
เลียนแบบพระเจ้าสิ คือทำตามพระเจ้า จะดีมั๊ยถ้ามีคนบอกว่า เก่งเหมือนพ่อเลย เราจะภูมิใจขนาดไหน เพราะเราสมกับเป็นลูกของพ่อของเรา จงดำเนินชีวิตในความรัก

1 เปโตร 4:8
ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้

ถ้าเราตอบแทนความโกรธด้วยความโกรธจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าเราตอบแทนความโกรธด้วยความรักล่ะพระคัมภีร์บอกเราว่า ความรักลบล้างความผิดมากมายได้ ถ้าเรามีความโกรธและความเกลียดชัง ความเกลียดชังเร้าให้เกิดการวิวาท แต่ความรักนั้นครอบงำบรรดาการทรยศเสีย
สำนวนพระคัมภีร์ NIV บอกว่า ความเกลียดชังยั่วยุให้เกิดความแตกแยก แต่ความรักบดบังความผิดทั้งมวล
สุภาษิต 10:12

ความเข้มแข็งของคริสตจักรที่เป็นกายเดียวคือความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว จงมีความรักแก่กันและกันเพื่อหล่อหลอมความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ซาตานต้องการให้เราขาดความรักและแตกแยกกันเองเกลียดชังกันเอง “จงมีความรัก”
ลูกา6:35
แต่จงรักศัตรูของท่านทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของท่านทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และท่านทั้งหลายจะเป็นบุตรของพระเจ้าสูงสุด เพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว

2.ความปลาบปลื้มใจ
ความปลาบปลื้มใจ คือ ความยินดีที่เกิดขึ้นจากภายใน เป็นความยินดี ดีใจ ปลื้มใจ
สิ่งต่างๆมากมายในแต่ละวันอาจจะรบกวนเราให้เราขาดความชื่นชมยินดีไป พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตที่อยู่ในความปลาบปลื้มใจ

สดุดี 9:2
ข้าพระองค์จะยินดีและปลาบปลื้มใจในพระองค์ ข้าแต่องค์ผู้สูงสุด ข้าพระองค์จะร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์

บางครั้งบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้มาจากพระเจ้าก็กำลังคลืบคลานเข้าไปยึดเอาความปลาบปลื้มใจของเราไป และแทนที่ด้วย ความเศร้า หดหู่ และการคิดร้ายต่างๆ เมื่อเรารู้ว่าพระเจ้าที่อยู่ในเราเป็นพระวิญญาณแห่งความปลื้มปีติยินดี ให้เราจงปลาบปลื้มยินดีในพระองค์ที่ออกมาจากภายใน
พระเจ้าผู้ประทานสิ่งดีพระองค์ไม่ได้ประทานงูให้กับบุตรของพระองค์แทนปลา แต่พระองค์ได้จัดเตรียมคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ให้กับเราทั้งหลายที่เป็นบุตรของพระองค์ มัทธิว 7:9,10


เยเรมีย์ 31:12
เขาทั้งหลายจะมาร้องเพลงอยู่บนที่สูงแห่งศิโยนและเขาจะปลาบปลื้มเพราะของดี ของพระเจ้า เพราะเมล็ดข้าว เหล้าองุ่น และน้ำมัน และเพราะลูกของแกะและโค ชีวิตของเขาทั้งหลายจะเหมือนกับสวนที่มีน้ำรด และเขาจะไม่อ่อนระทวยอีกต่อไป

อย่าให้ซาตานแย่งความปลาบปลื้มใจในพระองค์ไปจากเราเลยพระเจ้าเตรียมสิ่งดีไว้เพื่อเราจะปลาบปลื้มใจในสิ่งดีทั้งหลายที่พระองค์จะทรงประทานให้แก่เรา อาเมน

3.สันติสุข
สันติสุข คือ ความสุขอันสงบราบรื่น
ชีวิตเราบางครั้งเราขาดสันติสุขหรือไม่ เช่นเดียวกันเรามักโดนแย่งสันติสุขที่เราควรมีไปจากภายในเรา อันที่จริงเราไม่ได้โดนแย่ง แต่เรายอมที่จะเสียมันไปเองต่างหาก เราต้องเชื่อๆว่าพระเจ้าได้ประทานสันติสุขให้กับเรา พระองค์ทรงเป็นสันติสุข

2 เธสะโลนิกา 3:16
ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสันติสุข ทรงโปรดประทานสันติสุขให้แก่ท่านทั้งหลายทุกเวลาและทุกทาง ขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าดำรงอยู่กับท่านทุกคนเถิด

เอเฟซัส 6:23
ขอให้พวกพี่น้องได้รับสันติสุขและความรักโดยความเชื่อ มาจากพระบิดาเจ้า และจากพระเยซู
คริสตเจ้า

พระเจ้าบอกเราหลายครั้งในพระคัมภีร์ว่าพระองค์ได้ทรงประทานสันติสุขไว้ปล้วให้กับเรา สันติสุขที่พระองค์ทรงมอบแก่เรานั้นไม่ใช้สันติสุขหรือทรัพย์สมบัติมากมาย ทรัพย์สินเงินทอง แต่สันติสุขของพระเจ้าที่มอบให้กับเรานั้นไม่ใช่แบบที่โลกนี้มี

ยอห์น 14:27
เรามอบสันติสุขไว้ให้แก่ท่านทั้งหลาย สันติสุขของเราที่ให้แก่ท่านนั้น เราให้ท่านไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของท่านวิตก และอย่ากลัวเลย

สันติสุขแท้คือสันติสุขที่ออกมาจากภายในมาสู่ภายนอก ไม่ใช่ภายนอกเข้าไปสู่ภายใน ถ้าเราพบสันติสุขที่แท้จริงแม้เราจะพบเจอความยากลำบาก หรือการทุกยากในโลกนี้ เราก็จะยังคงมีสันติสุขซึ่งอยู่ภายในเรานั่นเอง

ยอห์น 16:33
เราได้บอกเรื่องนี้แก่ท่าน เพื่อท่านจะได้มีสันติสุขในเรา ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว

ขอสันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
สันติสุขแท้ที่เราอาจะไม่สามารถอธิบายหรือเข้าใจได้ คือสันติสุขที่จะนำเราเข้าสู่ความสุขภายในแม้สถานการณ์รอบข้างเราจะเป็นเช่นไร เราจะยังคงไว้ด้วยชีวิตที่มีสันติสุข สันติสุขที่จะดูแลคุ้มครองความคิดของเราไว้ ขอบคุณพระเจ้า

ฟีลิปปี 4:7
แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

4.ความอดกลั้นใจ
ความอดกลั้นใจ คือ ระงับ ยับยั้ง ระงับใจ ยับยั้งใจ
หลายครั้งเลยใช่ไหมที่หลายคนอาจจะจินตนาการว่า ได้ชกหน้าคนที่ทำร้ายเรา คนที่ใส่ร้ายเรา คนที่ทำผิดต่อเรา กลั่นแกล้งเรา และบางครั้งมันก็ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความคิด แต่มันได้กระทำออกมาจริงๆ นี่คือตัวอย่างของการที่ไม่อดกลั้นใจไว้ได้

เอเฟซัส 4:2
คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก

จงถ่อมใจลงทุกอย่าง เมื่อดูเรื่อง The Passion นั้นตอนที่เขาจับพระเยซูไปและโบยตี ลากไปตามทาง เยาะเย้ย ถากถาง ดูถูกสารพัด พระองค์ผู้ทรงเป็นพระเจ้าต้องยอมถ่อมพระทัยลง อดทนอดกลั้นไว้เพื่อให้แผนการของพระบิดา ที่เป็นแผนการแห่งการทรงไถ่นั้นสำเร็จ และพระองค์ก็ผ่านข้อสอบนี้ไปได้ ก่อนจะประทานให้กับเราเป็นผู้สอบต่อไป พระองค์ทำให้เราเห็นว่า มนุษย์ก็สามารถทำได้
จงถ่อมใจลงและสุภาพอ่อนโยนในทุกด้าน ทุกด้านคือทุกอย่างรอบด้าน เราต้องพบเจอหลายสิ่งรอบด้านเรา คนที่ดูถูกเรา ทับถมเรา กดขี่เรา เยาะเย้ยถากถาง เย้ยหยันเราสารพัด นินทาใส่ร้ายเรา พระเจ้าสอนเราให้รู้จักที่จะอดทนอดกลั้น คือระงับเอาไว้
“จงอดทนอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” ข้อ 3 ก็กล่าวเช่นเดียวกันว่า จงเพียรพยายามรักษาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในพระวิญญาณ ไม่ว่าเราจะผิดหรือจะถูก เราก็มักจะถูกกระตุ้นว่า “ฉันไม่ผิด ฉันไม่ยอมแพ้ฉันต้องเอาคืน”

โคโลสี 3:12,13

เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน

เพราะว่าพระเจ้าเลือกเราแล้วให้เป็นพวกบริสุทธิ์ เราต้องแตกต่างเราต้องใส่เสื้อแห่งการอดกลั้นใจ และผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน เขาแรงมาเราต้องรับด้วยความนุ่มนวลและความรัก เราต้องไม่เป็นภูเขาไฟที่กำลังประทุและพร้อมจะระเบิด อย่าพึ่งพากำลังตัวเองที่จะสงบภูเขาไฟ แต่จงมอบภาระนี้พระพระวิญญาณที่อยู่ภายในเป็นผู้ดับ

พระเจ้าเองพระองค์ก็ทรงอดทนอดกลั้นต่อเราทั้งหลายด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์อดทนต่อการทำผิดแล้วผิดอีก บาปแล้วบาปอีกซ้ำๆซากๆ

โรม 3:25
พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระองค์ โดยความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น

ปัญญาจารย์ 7:8 บอกเราว่า “มีใจอดกลั้นก็ดีกว่ามีใจอหังการ”
เรามักจะโดนยั่วยุเสมอๆ แต่จงช้าในการโกรธเถิด
สุภาษิต 14:29
“บุคคลที่โกรธช้าก็มีความเข้าใจมาก แต่บุคคลที่โมโหเร็วก็ยกย่องความโง่”

มัทธิว 18:21-22
ขณะนั้นเปโตรมาทูลพระองค์ว่า "พระองค์เจ้าข้า หากพี่น้องของข้าพระองค์จะกระทำผิดต่อข้าพระองค์เรื่อยไป ข้าพระองค์ควรจะยกความผิดของเขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือ"
พระเยซูตรัสตอบเขาว่า "เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ

5.ความปรานี
ความปรานีคือ ความเมตตา เผื่อแผ่
พระเยซูพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเมตตาปรานี พระองค์ปรานีเราและยั้งการลงพระอาชญากับเราที่ทำผิดบาปซ้ำๆ แต่หลายคนมักเป็นบ่าวที่ได้รับการยกโทษยกหนี้จากผู้เป็นนาย เมื่อออกมาแล้วกลับมาขู่เข็ญและบังคับเอาหนี้จากเพื่อที่เป็นบ่าวด้วยกัน และนี่ก็เป็นภาพที่มีมาถึงคนในยุคนี้ด้วยเช่นกันที่ขาดความปรานี หลายครั้งที่คนหันมาจับผิดกันเอง เอาผิดพี่น้อง ซ้ำเติมคนที่เราชิงชัง ซ้ำเติมศตรูที่ล้มลง

มัทธิว  18:23-35
"เหตุฉะนั้น แผ่นดินสวรรค์เปรียบเหมือนเจ้าองค์หนึ่งทรงประสงค์จะคิดบัญชีกับทาส เมื่อตั้งต้นทำการนั้นแล้ว เขาพาคนหนึ่งซึ่งเป็นหนี้หนึ่งหมื่นตะลันต์ {หนึ่งตะลันต์ มีค่าประมาณสองหมื่นบาท} มาเฝ้า ท่านจึงสั่งให้ขายตัวกับทั้งเมีย และลูกและบรรดาสิ่งของที่เขามีอยู่นั้นเอามาใช้หนี้ เพราะเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ ทาสลูกหนี้ผู้นั้นจึงกราบลงวิงวอนว่า "ข้าแต่ท่าน ขอโปรดผัดไว้ก่อน แล้วข้าพเจ้าจะใช้หนี้ทั้งสิ้น" เจ้าองค์นั้นมีพระทัยเมตตา โปรดยกหนี้ปล่อยตัวเขาไป แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบคนหนึ่งเป็นเพื่อนทาสด้วยกัน ซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่หนึ่งร้อยเดนาริอัน จึงจับคนนั้นบีบคอว่า "จงใช้หนี้ให้ข้า" เพื่อนทาสคนนั้นได้กราบลงอ้อนวอนว่า "ขอโปรดผัดไว้ก่อนแล้วข้าพเจ้าจะใช้ให้" แต่เขาไม่ยอม จึงนำทาสลูกหนี้นั้นไปจำจองไว้จนกว่าจะใช้เงินนั้น ฝ่ายพวกเพื่อนทาสเมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงนำเหตุการณ์ทั้งปวงไปกราบทูลเจ้าองค์นั้น ท่านจึงทรงเรียกทาสนั้นมาสั่งว่า "อ้ายข้าชาติชั่วเราได้โปรดยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะเอ็งได้อ้อนวอนเรา เอ็งควรจะเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน เหมือนเราได้เมตตาเอ็งมิใช่หรือ" แล้วเจ้าองค์นั้นกริ้วจึงมอบผู้นั้นไว้แก่เจ้าหน้าที่ให้ทรมาน จนกว่าจะใช้หนี้หมด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงกระทำแก่ท่านทุกคนอย่างนั้น ถ้าหากว่าท่านแต่ละคนไม่ยกโทษให้แก่พี่น้องของท่านด้วยใจกว้างขวาง"

โคโลสี 3:12

เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าทรงเลือกไว้ เป็นพวกที่บริสุทธิ์และเป็นพวกที่ทรงรัก จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน

ลูกา 6:36
ท่านทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพระบิดาของท่านมีพระทัยเมตตากรุณา

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พระเจ้าเรียกร้องให้เรามีความเมตตาปรานีด้วย เมื่อพระองค์ทรงปรานีเราเพื่อให้เราลืมตาอ้าปากได้ นี่เท่ากับว่าเป็นพระคุณของพระเจ้า เราได้รับการยกโทษหลายคดีที่มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต เพราะความบาปนำมาซึ่งความตาย แต่พระเจ้ายกหนี้ให้หมดแล้ว ฉะนั้นเมื่อเราเดินออกมา เราจะไม่เมตตาปรานีผู้อื่นเชียวหรือ
ขอให้ชีวิตเราเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี

6.ความดี
ความดีคือ ไม่ชั่ว ไม่ทราม ไม่เลว งาม ชอบ
ความดีในที่นี้คือความดีที่สะท้อนออกมาจากภายใน ไม่ใช่การเสแสร้งแกล้งทำ สร้างภาพ ความดีไม่ใช่เพื่อคนจะยกย่อง แต่เพื่อพระเกียรติสิริของพระเจ้า

มัทธิว 5:16
ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

มัทธิว6:1 ในสำนวนฉบับ NIV กล่าวว่า “อย่าทำความดีเพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้นท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์”
เราไม่ได้ทำความดีเพื่อให้ตัวเองดูดีแต่เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า ในแต่ละวันเราต้องทำสิ่งต่างๆมากมาย แต่การทำดีคือไม่ทำชั่ว ไม่ทำสิ่งที่ไม่เหมาะสมตามใจปรารถนา พระวิญญาณจะสอนเราว่าสิ่งไหนเหมาะสมและสิ่งไหนไม่เหมาะสม สิ่งไหนเป็นที่ถวายเกียติพระเจ้าและสิ่งไหนไม่ถวายเกียรติพระเจ้า คำว่าคริสเตียนจะถูกจับจ้องจากคนรอบข้างที่จะคอยจับผิด ว่านี่หรือคริสเตียนในโลกที่มืดมิดนี้ เราต้องเป็นแสงสว่างของโลก เราต้องแตกต่างจากโลก และไม่ดำเนินชีวิตแบบโลกนี้เพื่อคนทั้งหลายที่พบเห็นและสัมผัสจะมองไปถึงพระเจ้าของเรานั่นเอง
1 โครินธ์ 10:31
ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

ฟีลิปปี 1:10,11
เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าสิ่งใดประเสริฐที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ และไม่เป็นที่ติได้ในวันแห่งพระคริสต์ จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของความชอบธรรม ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูคริสต์ เพื่อถวายพระเกียรติและความสรรเสริญแด่พระเจ้า

ด้วยเหตุความดีนี้เองความชั่วจะมีชัยชนะก็เป็นไปไม่ได้ ความชั่วตรงข้ามกับความดี และความดีก็คือพระเจ้า ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับความชั่ว

โรม 12:21
อย่าให้ความชั่วชนะเราได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี

ความดีจะนำเราไปในความมืด และเป็นแสงสว่างที่นำทาง เราเป็นความสว่างและความสว่างนั้นต้องออกผลออกมาเป็นผลแห่งความดี
(ด้วยว่าผลของความสว่างนั้น คือความดีทุกอย่างและความชอบธรรมทั้งมวลและความจริงทั้งสิ้น)
เอเฟซัส 5:9

ความดีพูดง่ายแต่ทำยาก และการทำยากก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำไม่ได้ และต้องทำด้วย ชีวิตต้องมีผลที่ดี แต่ถ้ารู้ว่าการทำดีเป็นสิ่งที่ต้องทำแต่ถ้าไม่ทำก็เท่ากับว่าบาป เพราะพระคัมภีร์ก็บอกเช่นนั้น ใน 
ยากอบ 4:17
เหตุฉะนั้นผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ คนนั้นจึงมีบาป

อย่ากลัวที่จะทำดี อย่ากลัวคนที่อิจฉา อย่ากลัวคนที่หมั่นไส้ อย่ากลัวคนที่นินทา ใส่ร้ายในการทำดีของเรา เพราะพระวจนะบอกว่า

1 เปโตร 3:13,17
ถ้าท่านทั้งหลายใฝ่ใจประพฤติความดี ผู้ใดจะทำร้ายท่าน
เพราะว่า การได้รับความทุกข์เพราะทำความดี ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ก็ดีกว่าจะต้องทนอยู่เพราะการประพฤติชั่ว

7.ความสัตย์ซื่อ
ความสัตย์ซื่อ คือ ความตรงและความจริง ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่นอกใจ
พระเจ้าพระองค์ทรงสัตย์ซื้อและเที่ยงธรรม และพระองค์ประสงค์ให้เราเป็นผู้สัตย์ซื่อและเที่ยงธรรมด้วย ในโลกยุคปัจจุบันนี้ สิ่งที่ตรงข้ามกับความสัตย์ซื่อนั้นมีมากมายมากขึ้นเรื่อยๆ การคดโกง การคอรัปชั่น เอารัดเอาเปรียบกัน 1 บาทยังโกงกันเลย มันบ่งบอกถึงวิญญาณที่อยู่ภายใน แต่เราต้องแตกต่าง เพราะสิ่งที่อยู่ในเราไม่ใช่วิญญาณชั่ว แต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อ บางคนอาจจะคิดว่า เล็กๆน้อยๆก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ถ้ารถโดยสารทอนเงินเราเกิน 1 บาท เราจะคืนไหม แล้วถ้าไม่เจอรถคันนั้นอีกล่ะ อย่าลืมว่าพระเจ้ายุติธรรมและเที่ยงธรรมด้วย พระองค์วินิจฉัยจิตใจเป็น พระองค์ดูที่ภายในจิตใจของเราว่าเรามีความตั้งใจที่จะคืนเงิน 1 บาทนั้นหรือไม่ ถ้าเราสัตย์ซื่อแม้ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ พระเจ้าก็จะนำเราไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่าขึ้นไปอีก

มัทธิว 25:23
นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"

ถ้าแม้เพียงเล็กน้อยเรายังสัตย์ซื่อไม่ได้ ถ้าเราเป็นเจ้านายคนและมีพนักงานที่ไม่สัตย์ซื่อ เราจะยังกล้าเลื่อนตำแหน่งให้เขาไปดูแลงานที่ใหญ่ขึ้นไปหรือไม่ ไม่แน่นอน เราต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ ไม่ใช่แต่เพียงพระเจ้าแต่กับมนุษย์ด้วยกันด้วย

ลูกา 16:10,11
"คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย และคนที่อสัตย์ในของเล็กน้อย จะอสัตย์ในของมากเช่นกัน เหตุฉะนั้นถ้าท่านทั้งหลายไม่สัตย์ซื่อในทรัพย์สมบัติอธรรรม ใครจะมอบทรัพย์สมบัติอันแท้ให้แก่ท่านเล่า

ทิตัส 2:10
อย่าให้ยักยอกแต่ให้สัตย์ซื่อหมดทุกอย่าง เพื่อว่าในการทั้งปวงนั้น เขาจะได้เทิดเกียรติพระดำรัสสอนของพระเจ้า ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

แม้เราจะมีในสิ่งเล็กน้อย อย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ อย่าโลภพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี เราอาจจะไม่มีบ้านที่หลังใหญ่ๆ แต่เราก็ไม่ต้องไปนอนใต้สะพานหรือใต้ถนน เราอาจจะมองว่าตัวเองไม่มีของประทานที่เท่ากับคนอื่นหรือเด่นเท่ากับคนอื่นๆ แต่จงสัตย์ซื่อในของประทานที่เรามี จะมีประโยชน์อะไรถ้าเรามีของประทานและงานที่ใหญ่แต่ไม่สัตย์ซื่อ สิ่งเล็กน้อยที่เรามีและเราได้รับเราจะต้องมองให้เห็นพระคุณของพระเจ้า พระคุณไม่ใช่ว่าเราจะต้องได้มากๆเสมอไป แต่นี่อาจจะเป็นบททดสอบความสัตย์ซื่อบางอย่างที่พระเจ้ากังทดสอบเราก็เป็นได้

มัทธิว 25:22,23
คนที่ได้รับสองตะลันต์มาชี้แจงด้วยว่า "นายเจ้าข้า ท่านได้มอบเงินสองตะลันต์ไว้กับข้าพเจ้า ดูเถิด ข้าพเจ้าได้กำไรมาอีกสองตะลันต์" นายจึงตอบว่า "ดีแล้ว เจ้าเป็นทาสดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของมาก เจ้าจงปรีดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด"

ลูกา 19:17
พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า "ดีแล้วเจ้าเป็นทาสที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อยเจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด"

จงสัตย์ในทุกสิ่งในชีวิต เพราะพระองค์ที่อยู่ในเราเป็นพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ ทั้งด้านดารกระทำ ความคิดจิตใจ และคำพูด

8.ความสุภาพอ่อนน้อม
ความสุภาพอ่อนน้อม คือเรียบร้อย อ่อนโยน ละมุนละม่อม เคารพนบนอบ
หลายคนอาจจะเคยพบเจอคนที่พูดจาสนทนาแบบขวานผ่าซาก บุคลิกแข็งกร้าว หรือก้าวร้าวและดูเหมือนจะเย่อหยิ่ง เมื่อถูกตักเตือน คนเหล่านี้อาจจะมีข้อแก้ตัวที่ว่า “ฉันเป็นของฉันแบบนี้ ใครจะทำไม รับได้ก็รับ รับไม่ได้ก็ไม่ต้องรับ อย่ามองฉันแค่ภายนอกสิ” ถ้าเรากลับไปดูเรื่องความรักที่ผ่านมานั้น ถ้าเรามีความรักเราจะไม่แคร์ความรู้สึกใครเหรอหรือ พระเยซูเองเป็นพระเจ้าที่สุภาพอ่อนน้อม ถ้าทุกครั้งที่เราเข้าไปหาพระเจ้าและเจอต่ความแข็งกร้าวจะเกิดอะไรขึ้น พระเจ้าต้องการให้เราเห็นแก่ผู้อื่นด้วยเช่นเดียวกัน การที่มีความสุภาพอ่อนน้อม ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง หรือบุคลิกภาพส่วนตัวไป


เอเฟซัส 4:2
คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนาน และอดกลั้นต่อกันและกัน ด้วยความรัก

พระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ที่สอนให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียก เราเรียกตนเองว่าคริสเตียน คริสเตียนคือ พระเยซูน้อยๆที่จะออกไปสำแดงแก่โลกนี้ให้เห็นถึงพระลักษณะและอุปนิสัย บุคลิกภาพ ของพระเยซู ถ้าเราบอกว่าเราเป็นคริสเตียนแต่เราขาดหัวใจที่สุภาพอ่อนน้อม เราก็แค่อ้างว่าเราเป็นคริสเตียน

เราต้องมีหัวใจที่ถ่อมด้วยถ้าเราจะเป็นคนที่มีใจที่สุภาพอ่อนน้อม ถ่อมคือ ทำให้ต่ำลงกว่าที่เห็น พระเจ้าพระองคู้เป็นเจ้าของจักรวาลนี้ แต่พระองค์ถ่อมตัวเองลงให้ต่ำลงมาในโลกนี้ พระเจ้าผู้ทรงเกียรติได้ถ่อมลงเพื่อเรา ไม่ว่าเราจะเก่งแค่ไหน มีความรู้จบสูงแค่ไหน แต่พระเยซูเป็นแบบอย่างให้เราได้เห็นว่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ถ่อมใจและสุภาพอ่อนน้อม พระคำตอนหนึ่งบอกเราว่า จงเอาแอกของพระองค์และแบกไว้ และเรียนจากพระองค์

มัทธิว 11:29
จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพและใจอ่อนน้อม และจิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก

เราต้องมองภาพการเป็นกายเดียวกันไว้ เราต้องมีความรักต่อกันเราซึ่งเป็นคริสเตียน หรือผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ว่าจะเผชิญอะไรก็ตามเราต้องสวมใจอ่อนสุภาพ เราจะต้องเจอการยั่วโทสะให้เรามีอารมณ์แต่เราต้องอดทนเราต้องสวมผลของพระวิญญาณให้ครบทุกอย่าง และเมื่อเรามีหัวใจที่อ่อนสุภาพนั้น พระเจ้าจะกระทำการของพระองค์ต่อเอง เขาจะเปลี่ยนแปลงกลับใจ ไม่ใช่เพราะเรา แต่เพราะนี่คือหัวใจของพระเจ้านั่นเอง

2 ทิโมธี 2:24,25
ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ ว่าพระเจ้าอาจจะทรงโปรดให้เขากลับใจ และมาถึงซึ่งความจริง
1 เปโตร 3:8
ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม

ฟีลิปปี 4:5
จงให้จิตใจที่อ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว

สดุดี 37:11
แต่คนใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดกและตัวเขาปีติยินดีในความเจริญอุดมสมบูรณ์

ใจที่อ่อนสุภาพนั้น อาจจะไม่ใช่อาวุธที่ดีที่สุดในการจัดการกับศัตรู แต่มันหมายถึงความเชื่อที่สงบและการถ่อมตัวลงกับพระเจ้าว่าเรายอมจำนนที่จะเชื่อฟังพระองค์ มีความหวังในการช่วยกู้ของพระองค์  พระเจ้าสัญญาไว้ว่าผู้ที่ใจอ่อนสุภาพและถ่อมตัวลงนั้น จะได้บำเหน็จอย่างแน่นอน
มัทธิว 5:5
บุคคลผู้ใดมีใจอ่อนโยน ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก

กาลาเทีย 6:1
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย

9.การรู้จักบังคับตน

หลายครั้งความบาปมักมาในรูปแบบของการยั่วเย้าให้เราอยากทำ อยากลอง มันมีรสชาติที่หวานอร่อย และทางเดินนั้นก็กว้างมากนัก ประตูทางเข้าก็ใหญ่โต ทางเข้าดูสวยหรูแต่เมื่อเข้าไปแล้วคือความตายนั่นเอง เราต้องรู้จักผลของพระวิญญาณแห่งการบังคับตน การบังคับตนนั้นคือการบังคับไม่ให้ตัวเองหลงทางและนำไปสู่ความบาป การบังคับตนก็เป็นการฝึกฝนตัวเองให้อยู่ภายใต้การควบคุม เราต้องฝึกวินัยกับตัวเองอย่างเข้มงวด เราต้องไม่ขาดคุณสมบัติที่จะรับเอารางวัลจากพระองค์

2 ทิโมธี 1:7
เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา
การที่เราไม่รู้จักการบังคับตนนั้น เท่ากับเรายอมแพ้ เรากลัวที่จะต่อสู้ พระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่กลัวให้เราแต่พระเจ้าประทานใจที่กอปรด้วยฤทธิ์และความรัก และจิตใจที่รู้จักบังคับตนเองให้กับเรา การบังคับตนเองต้องอาศัยการอดทน และต้องบากบั่นมุ่งไป คำว่าบังคับตัวเองคือเอาเนื้อหนังให้อยู่หมัด เราต้องบากบั่นและต่อสู้มุ่งไป ไม่ว่าเราจะต้องเจอกับอะไร ต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติ การบังคับตนคือการที่เราต้องละทิ้งความบาปต่างๆที่ล่อลวงและชักจูงเรา ในทิตัส 2:12 บอกว่า

ทิตัส 2:12
สอนให้เราละทิ้งความอธรรมและโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในยุคนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ สัตย์ซื่อสุจริตและตามคลองธรรม

การรู้จักบังคับตนนั้นเราต้องบังคับตนในเรื่องของ อารมณ์ ความรู้สึกอยาก และความอยากได้ พระคัมภีร์ใน ยากอบได้กล่าวถึงการบังคับตนเองว่า

ยากอบ 1:19-21
ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า เหตุฉะนั้นจงเลิกความโสมมทั้งหลายแหล่ และการชั่วร้ายอันดกดื่น และจงน้อมใจรับพระวจนะที่ทรงปลูกฝังไว้แล้วนั้น ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของท่านทั้งหลายให้รอดได้

ช้าในการพูด เราอาจจะพูดอะไรออกไปด้วยอารมณ์และการตอบโต้ เมื่อมีคนที่พูดไม่ดีกับเรา ใส่ร้ายเรา หรือพูดอะไรที่ทำให้เรามีความรู้สึกในแง่ลบ เราเองต้องช้าในการพูด ก็คือมีสติก่อนที่จะพูดอะไรออกไป ช้าในการโกรธความโกรธไม่ใช่ความบาปแต่เป็นทางนำไปสู่ความบาป และเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก พระวิญญาณจะคอยเตือนเราอยู่ภายใน แต่เราต้องยอมที่จะฟังและเชื่อฟัง มันอาจจะทรมานที่เราไม่ได้ตอบโต้ใครบางคน แต่เราเองก็ได้สวมผลของการรู้จักบังคับตนแล้ว จำตอนที่โมเสสผิดพลาดได้หรือไม่ครับ พระเจ้าให้โมเสสสั่งหินให้มีน้ำออกมา แต่โมเสสเอง โกรธประชาชนชาวอิสราเอลที่ดื้อดึงและหลงไปกับรูปเคารพอื่นๆ รวมทั้งการบ่นและการขาดความเชื่อ โมเสสระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยการใช้ไม่เท้าตีฟาดไปที่ก้อนหิน นี่เองพระเจ้าไม่พอพระทัยโมเสสเลย เมื่อเรารู้จักบังคับตนเอง ทุบตีเนื้อหนังให้อยู่หมัด ไม่ใช่เพื่อจะเอารางวัลบำเหน็จแต่เพื่อชีวิตและผลฝ่ายวิญญาณของเราจะจำเริญขึ้น รางวัลนั้นไม่ใช่มงกุฎที่ร่วงโรยได้ แต่เป็นมงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย เราต้องดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ทีอยู่ภายในเรา และไม่ตอบสนองความต้องการของเนื้อหนัง รู้จักบังคับตน นี่คือผลที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

1 โครินธ์ 9:25,27
ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบ เขากระทำอย่างนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งร่วงโรยได้ แต่เรากระทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันร่วงโรยเลย แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
 
1 โครินธ์ 9:27
แต่ข้าพเจ้าก็ทุบตีร่างกายให้มันแข็งจนอยู่มือ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้ประกาศข่าวประเสริฐแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จงลุกขึ้นจากการสิ้นหวัง

จงลุกขึ้นจากการสิ้นหวัง
พระเจ้าผู้ประกาศการเลิกทาส


เคยมั๊ยที่คุณกำลังตกอยู่ในสถานการณืที่พูดได้ว่า "สิ้นหวัง"
สิ้น หมายถึง หมด และจบ ถึงที่สุด
หวัง หมายถึง ตั้งใจว่าจะได้ ปองไว้ หมายไว้ คาดหรือคิดไว้
สิ้นหวัง จึงหมายถึง หมดสิ้นแล้วความตั้งใจที่มี
จบแล้วสิ่งที่หมายปองไว้
ถึงที่สิ้นสุดแล้วกับสิ่งที่คาดหรือคิดไว้
มันหมายถึงการที่คนคนนั้นต้องตกเป็นทาสด้วย
ทาส นอกจากหมายถึงบ่าวหรือคนใช้แล้ว ยังหมายถึงคนที่ขายตัว หรือถูกนำมาขายเพื่อเป็นข้ารับใช้ ยังหมายถึงคำว่า ขี้ข้าได้อีกด้วย
หลายครั้งที่ชีวิตเราเองต้องตกต่ำอยู่กับความสิ้นหวัง และเราเองก็ไม่สามารถจะหลุดออกมาได้ ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว ปัญหาหนี้สิน ปัญหาความรัก และอีกมากมาย นอกจากนี้การที่ต้องยึดติดกับอะไรสักอย่าง ก็เท่ากับว่าต้องเป็นทาสสิ่งเหล่านั้นไปด้วย

โรม 6:16
ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าถ้าท่านยอมตัวรับใช้ฟัง คำของผู้ใดท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้นคือเป็นทาสของบาปซึ่งนำไป สู่ความตายหรือเป็นทาสของการเชื่อฟังซึ่งนำไปสู่ความชอบธรรมก็ตาม


ทางออกของปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่การฆ่าตัวตาย หรือพยายามหนีไปด้วยตัวเอง การพึ่งพาตนเองในสภาพการสิ้นหวังไม่ได้ช่วยให้เราหลุดพ้นจากการเป็นทาสได้ เมื่อตอนที่โยเซฟถูกขายไปเป็นทาส เขามีเจ้านายและเจ้าของ ซึ่งโยเซฟไม่มีสิทธิ์ที่จะหลุดพ้นจากความสิ้นหวังในสถานะความเป็นทาสที่เขาเผชิญอยู่ได้เลย แต่โยเซฟไม่ได้ยอมแพ้กับความสิ้นหวังที่เขาเผชิญ แม้ก่อนนี้เขาจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นความหวังของเขาไป สิ่งที่โยเซฟตั้งใจว่าจะได้ สิ่งที่เขาหมายปองไว้ แต่โยเซฟไม่ยอมสิ้นหวัง เขาเชื่อในพระเจ้า เขาหวังใจในพระเจ้าและรอคอยพระเจ้าของเขา ด้วยการอธิษฐาน รอคอยพระองค์ต่อไปด้วยความเชื่อ เชื่อว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดไว้เพื่อรอคอยลูกๆของพระองค์

เราต้องเข้าใจแผนการของมารซาตานที่ต้องการแยกเราออกมาจากพระเจ้า และพยายามอย่างที่สุดที่จะฉุดดึงคนของพระเจ้าให้ไปร่วมในความสิ้นหวังกับมัน หลายต่อหลายคนถูกซาตานซื้อไปเพื่อเป็นทาสของมัน และมันก็ทำให้เราตกอยู่ในความสิ้นหวัง แต่พระเจ้าพระองค์ส่งบุตรของพระองค์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่เราและซื้อเรากลับมาคืน พระองค์จ่ายหนี้ให้เราแล้วทุกกรณี

โรม 6:22
แต่เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของบาป และกลับมาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว ผลสนองที่ท่านได้รับก็คือการชำระให้บริสุทธิ์ และผลสุดท้ายคือชีวิตนิรันดร์


เราไม่ต้องเป็นทาสของซาตานอีกต่อไปเมื่อเราเชื่อในพระองค์ อย่าให้คำหลอกลวงของซาตานหลอกเราให้ออกจากพระเจ้าและว่าเราเป็นทาสของมัน ถ้าเรายอมรับและก้มหน้าต่อไปกับความสิ้นหวัง เราก็เหมือนตกเป็นทาส ดั่งเช่นอิสราเอลที่ตกเป็นทาสของชาวอียิปต์ ในยุคของโยเซฟเรื่อยมานั้น พวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง สิ่งที่เขาตั้งใจไว้หมายไว้ต้องจบลงนับแต่ถูกจับมาเป็นทาส พวกเขาต้องอยู่กับความสิ้นหวังอยู่ถึง 400 ปีเลยทีเดียว แล้วพระเจ้าของเขาไปไหนเสีย เขาลืมเสียแล้วหรือ

เมื่อพระเจ้าเห็นเช่นนั้นก็ใช้โมเสสผู้รับใช้ของพระองค์มาบอกกับชาวอิสราเอลและให้พวกเขาระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์แต่ชาวอิสราเอลไม่ได้ฟังโมเสสเลย เพราะเขาตกอยู่ในสภาพความเป็นทาสของความสิ้นหวัง ทาสนั้นย่อมต้องถูกกดขี่ให้ตกต่ำเสียจนเงยหัวไม่ขึ้น ไม่มีทั้งความหวัง และหมดอาลัยตายอยาก

อพยพ 6:9
โมเสสจึงนำความนั้นไปเล่าให้ชนชาติอิสราเอลฟัง แต่เขามิได้เชื่อฟังโมเสสเพราะหมดอาลัยตายอยาก และทนงานทาสแทบไม่ไหว

ในเวลานั้นพวกเขาตกต่ำเสียจนเงยหน้าขึ้นไม่ไหวเลย แต่พระเจ้าทรงกระทำการยิ่งใหญ่ในสิ่งที่มนุษย์จะพยายามด้วยตัวเองสักเพียงไรก็ไม่สามารถทำได้ พระองค์ได้ทรงปลดปล่อย และช่วยกู้ประชากรของพระองค์ ออกจากอียิปต์และนำไปในที่พระองค์ทรงจัดเตรียม

สดุดี  121:1-5
ข้าพเจ้าเงยหน้าดูภูเขา ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากไหน ความอุปถัมภ์ของข้าพเจ้ามาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระองค์จะไม่ให้เท้าของท่านพลาดไป พระองค์ผู้ทรงอารักขาท่านจะไม่เคลิ้มไป ดูเถิด พระองค์ผู้ทรงอารักขาอิสราเอล จะไม่ทรงหลับสนิทหรือนิทรา พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน

การช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ของพระองค์ไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น ต่อมาไม่นานการช่วยเหลืออันยิ่งใหญ่ที่ตามมาอีกคือ การช่วยกู้อันยิ่งใหญ่เพื่อประชากรของพระองค์ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระองค์สิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนของพระองค์ในเวลาที่เหมาะสมเสมอ

บริบทหนึ่งอย่าให้สิ่งอื่นใดเข้ามาเป็นพระเจ้าและครอบครองในชีวิตของเราแทนพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็น เกมส์ การ์ตูน ละคร หนัง แฟน หรือสิ่งใดๆก็แล้วแต่ที่เป็นรูปเคารพในใจของเรา แทนพระเจ้า

อีกบริบทหนึ่งคือ เมื่อใดที่เราต้องตกอยู่ในสภาพที่สิ้นหวัง ตกต่ำจนถึงที่สุด เรายังไม่สิ้นหวังหรอกนะครับ เพราะพระองค์จะนำเราออกจากความสิ้นหวังด้วยพระคุณของพระองค์ ให้เราทั้งหลายพ้นจากการเป็นทาสของความสิ้นหวัง จงเรียนที่จะรอคอย และพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่า สำหรับเรา

อพยพ 6:6
เหตุฉะนี้จงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลว่า "เราคือพระเยโฮวาห์ เราจะนำพวกเจ้าไปให้พ้นจากงานตรากตรำที่ชาวอียิปต์เกณฑ์ให้ทำ และจะให้พ้นจากการเป็นทาสเขา เราจะช่วยกู้เจ้าด้วยแขนที่เงื้อง่า และด้วยการพิพากษาอันใหญ่หลวง


ยิ่งปัญหาของเราใหญ่มากแค่ไหน เราจะได้รับคำตอบที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน การเหยียดแขนและเงื้อง่าออกของพระองค์ เป็นการสำแดงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ในการทรงไถ่และการช่วยกู้ประชากรของพระองค์

เฉลยธรรมบัญญัติ 4:34
หรือมีพระเจ้าองค์ใดได้ทรงเพียรพยายามไปนำประชาชาติหนึ่งจากท่ามกลางอีก ประชาชาติหนึ่งด้วยการลองใจ ด้วยการทำหมายสำคัญ ด้วยการอัศจรรย์ ด้วยการสงคราม ด้วยพระหัตถ์ทรงฤทธิ์และด้วยพระกรที่ทรงเหยียดออกและด้วยเหตุน่ากลัวยิ่ง ตามซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทั้งหลายทรงกระทำเพื่อท่านในอียิปต์ต่อ หน้าต่อตาท่าน

เมื่อใดก็ตามที่เราเผชิญกับความสิ้นหวัง นั่นคือเรากำลังตกเป็นทาส จงอย่าที่จะก้มหน้าต่อไปหรือดิ้นรนด้วยกำลังของตนเอง หรือหวังความช่วยเหลือจากสิ่งอื่นใด แต่จงหวังใจในพระเจ้า และเข้าลี้ภัยในพระองค์ พระเจ้าพระองค์เป็นความหวังของเรา พระองค์เป็นที่ลี้ภัยและเป็นความช่วยเหลือของเรา พระองค์เป็นแสงสว่างในชีวิตของเรา เราไม่ต้องตกเป็นทาสอีกต่อไปแต่เราต้องไม่โดนหลอกด้วย
จงลุกขึ้นเถิด

กาลาเทีย 4:2
เหตุฉะนั้นโดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาท


เราทั้งหลายเป็นทายาทของพระเจ้า บุตรน้อยหลงหาย ฝ่ายบุตรนั้นเป็นทายาทของบิดาพ่อผู้ครอบครองทรัพย์สมบัติต่างๆมากมาย แต่เมื่อบุตรนั้นหลงหายไป ต้องตกไปเป็นคนใช้ และอยู่ด้วยความลำบาก แต่บุตรนั้นเมื่อสำนึกได้และกลับใจก็ไม่จมอยู่กับความสิ้นหวัง รีบลุกขึ้นและเลี้ยวกลับมาหาบิดาของตน ฝ่ายบิดาก็อ้าแขนรับบุตรชายนั้นซึ่งเป็นทายาทที่กลับใจแล้ว เข้าสู้อ้อมแขนอีกครั้งหนึ่ง

ขอพระเจ้าอวยพระพร
ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพระคุณของพระองค์
Ktm.worship

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เดือนของพระเจ้าในพระคัมภีร์

เดือนของพระเจ้าในพระคัมภีร์
Month of God 




1.Nisan נִיסָן
เดือนแรกคือเดือน Nisan อ่านว่า นิสาน หรือ นิซ่าน
เดิมเป็นเดือนที่ 7 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน มีนาคม-เมษายน มี 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Hey

เผ่าประจำเดือน ยูดาห์ Judah
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
อพยพ 13:4 ,23:15, 34:18 เดือน อาบีบบ
เอสเธอร์ 3:7
เฉลยธรรมบัญญัติ 16:1
เนหะมีย์ 2:1
เทศกาล ปัสกา passover

2.Iyyar אִיָּר / אייר
เดือนที่สองคือ Iyyar อ่านว่า อิยาห์ หรือ อียา
เดิมเป็นเดือนที่ 8 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน เมษายน-พฤษภาคม มี 29 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Vav
 
เผ่าประจำเดือน อิสสาคาร์ Issachar
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
1 พงษ์กษัตริย์ 6:1,37 เดือน ศิฟ

3.Sivan סִיוָן / סיוון
เดือนที่สามคือ Sivan อ่านว่า สิวาน
เดิมเป็นเดือนที่ 9 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน มี 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือนZayin
 
เผ่าประจำเดือน เศบูลุน Zebulun
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
เอสเธอร์ 8:9

4.Tammuz תַּמּוּז
เดือนที่สี่คือ Tammuz อ่านว่า ทัมมุส หรือ ทามมุซ
เดิมเป็นเดือนที่ 10 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน มิถุนายน-กรกฎาคม มี 29 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Chet
เผ่าประจำเดือน รูเบน Reuben

5.Av אָב
เดือนที่ห้าคือ Av อ่านว่า อัฟ หรือ อัฟฟ
เดิมเป็นเดือนที่ 11 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม มี 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Tet
เผ่าประจำเดือน สิเมโอน Simeon

6.Elul אֱלוּל
เดือนที่หกคือ Elul อ่านว่า เอลูล หรือ เอล ลูล
เดิมเป็นเดือนที่ 12 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน สิงหาคม-กันยายน มี 29 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Yod
เผ่าประจำเดือน กาด Gad
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
เนหะมีย์ 6:15

7.Tishri תִּשׁרִי
เดือนที่เจ็ดคือ Tishri อ่านว่า ทิชรี หรือ ทิช ชรี
เดิมเป็นเดือนที่ 1 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน กันยายน-ตุลาคม มี 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Lamed
เผ่าประจำเดือน เอฟราอิม Ephraim
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
1 พงษ์กษัตริย์ 8:2 เดือน เอธานิม
เทศกาล Rosh hachana "โรช ฮาชานาห์" (ปีใหม่ที่ชาวยิวเฉลิมฉลอง)
เทศกาลเสียงแตร
เทศกาล Yom kippur (ลบมลทินบาป)  
10 วันหลัง Rosh hachana (เลวีนิิติ 23:27-28)
เทศกาลอยู่เพิง



8.Cheshvan (Mar) מרחשוון
เดือนที่แปดคือ Cheshvan อ่านว่า มาร์เชสวาน หรือ คาสวาน
เดิมเป็นเดือนที่ 2 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน ตุลาคม-พฤศจิกายน มี 29 หรือ 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Nun

เผ่าประจำเดือน มนัสเสห์ Manasseh
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
1 พงษ์กษัตริย์ 6:38 เดือน บูล

9.Kislev כִּסְלֵו / כסלוו
เดือนที่เก้าคือ Kislev อ่านว่า คิสเลฟ
เดิมเป็นเดือนที่ 3 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน พฤษจิกายน-ธันวาคม มี 30 หรือ 29 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Samekh
เผ่าประจำเดือน เบนยามิน Benjamin
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
เศคาริยาห์ 7:1 เดือน คิสลิว
เนหะมีย์ 1:1
เทศกาล ฮานูก้า เทศกาลแสงสว่าง

10.Tevet טֵבֵת
เดือนที่สิบคือ Tevet อ่านว่า เทเบท หรือ เทเวท
เดิมเป็นเดือนที่ 4 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน ธันวาคม-มกราคม มี 29 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Ayin
เผ่าประจำเดือน ดาน Dan
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
เอสเธอร์ 2:16

11.Shevat שְׁבָט
เดือนที่สิบเอ็ดคือ Shevat อ่านว่า เซบัท หรือ เชเวท
เดิมเป็นเดือนที่ 5 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน มกราคม-กุมภาพันธ์ มี 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Tsade
 
เผ่าประจำเดือน อาเชอร์ Asher
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
เศคาริยาห์ 1:7

12.Adar אֲדָר א׳
เดือนที่สิบสองคือ Adar อ่านว่า อาร์ดาร์ หรือ อดาห์
เดิมเป็นเดือนที่ 6 ในพระคัมภีร์
อยู่ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม มี 29 หรือ 30 วัน
ตัวอักษร Hebrew ประจำเดือน Kaf
เผ่าประจำเดือน นัฟทาลี Naftali
ข้อพระคัมภีร์ประจำเดือนนี้
เอสเธอร์ 3:7 และ 13 , 8:12, 9:1 และ 15,17,19,21
เอสรา 6:15
เทศกาล ปูริม Purim

13.Adar II אֲדָר / אֲדָר ב׳
อยู่ระหว่างเดือน มีนาคม-เมษายน มี 29 วัน

ค้นคว้าเรื่องเทศการของพระเจ้าได้ที่
http://www.4windsprayer.com/index.php/godsfest

วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลอยู่เพิง

เทศกาลอยู่เพิง
 เทศกาล อยู่เพิงเป็นเทศกาลสุดท้ายในเทศกาลเลี้ยงขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ปรากฎใน พระคัมภีร์ และเป็นเทศกาลสำคัญที่สุด เพราะเป็นการปิดท้ายวัฏจักรการเก็บเกี่ยว โดยที่เป็นเทศกาลสุดท้ายของฤดูใบไม้ร่วง นอกจากนี้ยังเป็นเทศกาลจารึก 3 เทศกาลที่ฉลองกันในเยรูซาเล็ม ถัดจากเทศกาลปัสกาและเพ็นเทคอสต์

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จะบ่นไปทำไม


เมื่อสมัยที่ผมยังเด็กนั้นผมเคยมีความคิดว่า การที่เราบ่นสิ่งรอบข้างเราที่เราไม่ถูกใจนั้น ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ผิด เพราะหลายสิ่งหลายอย่างก็ไม่ถูกใจเราเสมอไป ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์เราอาจจะได้รับคำตอบบ้างก็ได้ว่าใน

ช่วงเวลาที่อิสราเอลได้อพยพออกมาจากอียิปต์เพื่อเข้าสู่แผ่นดินที่พระเจ้ามอบให้นั้น แต่ระหว่างทางเขาเาแต่บ่นๆและบ่น ติเตียนผู้นำและโทษสิ่งรอบข้าง และต่อว่าพระเจ้า ผลที่ตามมาคือเขาไม่ได้เข้าสู่แผ่นดินที่พระ

เจ้าสัญญาในชนรุ่นนั้น และชนรุ่นหลังที่ได้เข้าก็รวมเวลาถึง 40 ปีแทนที่จะใช้เวาแค่ 11 วัน

หลายครั้งคริสเตียนก็เป็นแบบนั้นด้วย ที่เริ่มบ่นหลายสิ่งหลายอย่างรอบตัว เอาระบบของโลกมาใช้ในคริสตจักร เอาวิถีของภายนอกมาปะปนกับวิถีของคำสอนของพระเจ้า ใช้เหตุผลและทฤษฎีของโลกมาเป็นตัวควบคุม

ความคิด บางคนชอบพูดว่า เซ็งจริงๆเลย โคตรเซ็งเลย รถติดจริงๆ ที่จอดก็ไม่มี เบื่อว่ะ หรือเบื่อนิสัยคนคนนั้นจัง ไม่ชอบคนคนนั้นเลย ทำไมเขาทำแบบนั้น ทำไมเขาเป็นแบบนี้ โคตรเกลียดเลยนิสัยแบบนี้ หรือไม่ชอบ

แม้ค้าร้านนั้นเลย และอีกมากมาย คำถามคือพระเจ้าได้สร้างเราและเรียกเรามาให้เราเกลียดสิ่งเหล่านี้หรือเปล่า พระเจ้าพระองค์ประสงค์ให้เราเกลียดสิ่งเดียวกับพระองค์สิ่งเดียวคือความบาปเท่านั้น

พระเจ้าสอนเราและประสงค์ให้เรามีความรัก ไม่ใช่คำบ่นรอบด้าน 360 องศา ถ้าเราเองปรารถนาจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์เราต้องกรองเอาสิ่งเหล่านี้ออกไปจากชีวิต น้ำสะอาดแก้วหนึ่งแม้หยดสีดำลงไปเพียงหนึ่งหยดก็คือ

น้ำไม่สะอาด เราต้องกรองมันออกไปเพื่อเราจะมีชีวิตที่สำแดงพระเยซูคริสต์

อย่าให้เรามีปากเป็นกรรไกรตลอดทั้งวันที่จะตื่นมาทำอาหารและบ่นถึงคนที่ไม่ช่วยทำอาหารหรืองานบ้าน เมื่อเดินทางมาถึงคริสตจักรก็บ่นเรื่องงานที่บ้านให้คนอื่นฟัง บ่นเรื่องรถที่ติด เมื่อถึงเวลารับใช้ก็บ่นและติถึง

อุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย และบ่นว่าคนนั้นคนนี้ทำเสียหลังการรับใช้ก็บ่นถึงคนที่ทำอะไรไม่ถูกใจเราไปซะหมด บ่นย้อนไปถึงอดีตด้วยซ้ำยืดยาว สาธยายไปสารพัด เอาล่ะพอจะรับประทานอาหาร ก็ไม่วายติเรื่องอาหารไม่ดี

แบบนั้นแบบนี้ เพราะสายตาฝ่ายวิญญาณที่สอดส่องและจ้องที่จะคอยจับผิดซึ่งกันและกัน เพ่อแย่งชิงเราออกมาแทนที่เราจะขอบพระคุณในทุกกรณี พระเจ้าให้เราขอบพระคุณพระองค์ในทุกๆกรณี
1 เธสะโลนิกา 5:17,18
"จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ซึ่งปรากฎอยู่ในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย"

เราอาจจะอยากตอบโต้คนแบบนี้แต่พระเจ้าให้เราอธิษฐานเพื่อพวกเขา พวกเขาเป็นคนที่น่าสงสารที่ถูกหลอกให้ตัวเองดูดีและสมบูรณ์แบบ อย่าโต้เถียงด้วยวิญญาณแบบเดียวกับเขา เพราะเท่ากับว่าทำให้เขาทำบาป

เพิ่มขึ้นไปอีก เขามีแต่วิญญาณที่ติเตียนและตัวเองเป็นศูนย์กลางที่ถูกต้องเสมอและไม่เคยผิด

เปาโลบอกเราว่าในเมื่อใจของเราบริสุทธิ์แล้วทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ มัทธิว 5:8 บอกเราว่า
"บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุขเพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า"

เพลงที่เราร้องว่าอยากจะพบพระองค์ แต่ถ้าเรายังมีใจที่ติเตียนและบ่น ก็คือไม่บริสุทธิ์เราจะพบกับอะไรแทนพระเจ้าล่ะครับ ถ้าพระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์ทรงบ่นว่าสาวกหรือบ่นอะไรที่ไม่ถูกใจ พระคัมภีร์เล่มนี้คงไม่ใช่

ความจริงของพระเจ้า หลายคนกำลังถูกซาตานหลอกให้อยู่ในความเกลียดชัง ให้พบกับปัญหาเพื่อเราจะบ่นและตกหลุมพลาง เมื่อใดที่อากาศร้อน แทนที่จะพูดว่า ร้อนชิบหา...ย หรือโคตรร้อนเลย แต่จงแทนที่ด้วย

การขอบพระคุณพระเจ้า การขอบพระคุณแบบสวนกระแสนี้ไม่ใช่การประชดพระเจ้า แต่เป็นการแทนความคิดในสนามรบของความคิดของเรา เราขอบพระคุณที่เราไม่ต้องไปนอนใต้สะพาน หรือริมถนน เราขอบพระคุณ

ที่เรามีบ้านอยู่ และยังดีกว่าอีกหลายๆคน จงขอบพระคุณเสมอไป

ฟิลิบปี 4:6
"อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนา ของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าด้วยการอธิษฐาน การวิงวอนกับการขอบพระคุณ"

ข้อ 8 บอกเราว่า แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

จงกรองเอาการบ่นและการติเตียน การพูดร้ายต่างๆออกจากชีวิตเราต้องแตกต่างจากโลกนี้และต้องลุกขึ้นส่องแสงเพื่อเป็นแสงสว่างในความมืด

ฝากด้วยพระคัมภีร์นะครับ
ฟีลิปปี 2:14   จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการทุ่มเถียงกัน
ยากอบ 5:9 พี่น้องทั้งหลายจงอย่าบ่นว่ากันและกันเพื่อท่านจะไม่ต้องถูกทรงพิพากษาจงดูองค์พระผู้พิพากษาทรงประทับยืนอยู่ที่ประตูแล้ว

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ยากหรือที่จะให้อภัย


คำว่าการให้อภัยนั้นเป็นคำพูดที่ง่ายเพียงแค่เราอ้าปากและเปล่งเสียงออกมาว่า “ให้อภัย” แต่นั่นไม่ใช่การให้อภัยที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ความหมายของการให้อภัยคือ การยกโทษให้ ไม่ถือโทษ ความปลอดภัย ปราศจากภัย และการพ้นโทษ

หลายครั้งที่ผมได้อธิษฐานและบอกว่า ให้อภัยคนคนนั้นแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เจอหน้าเขา หรือพบเจอเขาคนนั้นทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม มันยังคงมีความโกรธ และโมโห กลับไปคิดถึงเรื่องราวเก่าๆที่เขาเคยทำกับเรา

ในพระคัมภีร์สเทเฟนได้ให้อภัยคนที่ทำร้ายเขา เมื่อสเทเฟนถูกกล่าวหาว่าดูหมิ่นพระเจ้าและโมเสสในการเทศนาพระกิตติคุณ หลังจากนั้นคนในที่ประชุมก็โกรธสเทเฟนมาก และได้จับสเทเฟนออกไปเพื่อจะเอาหินขว้าง แต่สิ่งที่สเทเฟนทำ คือการอธิษฐานเผื่อคนที่ลากท่านออกมา เพื่อศัตรูของท่าน ในกิจการ 6-7
สเทเฟนก็คุกเข่าลง ร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าขอโปรดอย่าทรงถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อกล่าวเช่นนี้แล้วก็ล่วงหลับไป
กิจการ 7:60


ถ้าเราเองอยาในเหตุการณ์นั้น เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่หยิบก้อนหินมาขว้างสเทเฟนด้วยก็ได้ เราอาจจะทำตัวเป็นผู้พิพากษาศัตรูของเรา เราอาจจะแก้แค้นด้วยตัวของเราเอง แต่สเทเฟนก็ให้อภัยและอธิษฐานเผื่อคนเหล่านั้น แม้ตัวเองจะต้องสูญเสียชีวิต

หลายคนอาจโดนทำร้ายทั้งคำพูดการใส่ร้าย การนินทา การพูด หรือการเข้าใจผิด ตามเหตุผลและการวิเคราะห์ของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วคนที่ทำร้ายเรานั้น เขาอาจจะไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่ มันเป็นการแสดงออกของคนที่เห็นแก่ตัว แต่พระเจ้าต้องการให้เรามีความรัก คือความรักที่จะนำไปสู่การให้อภัย ไม่ใช่การพยายามและฝืนที่จะให้อภัย เป็นความรักที่อดทนนาน เราต้องมีหัวใจแห่งความรักที่อดทนนาน

เปาโลเองก็ถูกข่มเหง และถูกรังแกตอดที่ได้เดินทางประกาศพระกิตติคุณ เปาโลถูกโบยตี ขังคุก ตามฆ่า ในการแก้คดีก็ไม่มีใครเลยสักคนที่จะยืนอยู่เคียงข้างท่าน เคยไหมที่เราอาจจะถูกเข้าใจผิดจากการใส่ร้าย และดูเหมือนคนรอบข้างจะไม่มีใครยืนเคียงข้างเราเลย เราอาจจะทำหลายสิ่งเพื่อเขามากมาย แต่เมื่อเราต้องเจอสถานการณ์เลวร้ายกลับไม่มีใครยืนเคียงข้างเราเลย
เราจะตอบสนองอย่างไรต่อเหตุการณ์เหล่านี้ นี่คือการอธิษฐานเผื่อคนเหล่านี้ เผื่อความผิดหรือสิ่งที่เขากระทำต่อเรา เพื่อเขาจะไม่ต้องถูกลงโทษ อ่านไม่ผิดนะครับ “เพื่อเขาจะไม่ต้องถูกลงโทษ” ไม่ใช่การเฝ้าดูการตอบสนอง หรือผลที่เขาจะได้รับไม่ใช่การเอาเขาไปนินทา

พระเยซูเองแม้โดนตรึงที่กางเขน ประโยคที่พระองค์ตรัสคือ การให้อภัยแก่คนที่ทำร้ายพระองค์ ไม่ใช่การแก้แค้นแบบหนังจีนที่ปลูกฝังว่า “แค้นนี้ต้องชำระ”
ลุกา 23:34
ฝ่ายพระเยซูจึงทรงอธิษฐานว่า “โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร”

คำอุปมาเรื่องการที่ไม่ยอมให้อภัย
มัทธิว 18:21-35
 ไม่ว่าเขาจะทำผิดต่อเรากี่ครั้ง เราไม่ต้องมีเหตุผลใดๆมาโต้แย้งอีก แต่พระเยซูมีคำตอบให้เปโตรในเวลานั้นคือ เจ็ดครั้งคูณเจ็ดสิบ และเรื่องของการยกหนี้ที่ของทาสที่ได้รับการยกหนี้ แต่เมื่อเขาได้รับการยกหนี้ เมื่อกลับออกไปพบเพื่อนทาสอีกคนหนึ่งกลับบอกว่า "จงใช้หนี้ข้า" แม้เพื่อนทาสจะกราบอ้อนวอนเช่นไร แต่เขาไม่ยอมและได้จำจองเพื่อนทาสไว้ พระคัมภีร์ใช้คำว่า อ้ายชาติชั่ว นี่เป็นคำที่เหมาะกับคนที่ขาดความเมตตาเพื่อนทาสด้วยกัน จงยกโทษให้กับพี่น้องด้วยใจกว้างขวาง

พระเจ้ามีความคาดหวังให้เราอภัยต่อผู้ที่กระทำผิดต่อเรา เพราะแบบอย่างที่พระองค์วางไว้คือ การให้อภัยแบบไม่มีเงื่อนไข การที่เราให้อภัยเป็นการบ่งชี้ว่าเราได้รับความรอดแล้วด้วยเช่นกัน
1 ยอห์น 2:9
“ผู้ใดกล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง และยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผุ้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด”

อย่าให้เราปลูกและกินผลแห่งความขมขื่นใจที่เราปลูกเองเลย ฮีบรู 12:14-15

1 เปโตร 4:8

ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรทั้งหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
จะโกรธกันไปทำไม จะเกลียดกันไปทำไม จะแค้นกันไปทำไม จะอิจฉากันไปทำไม จงกล้าที่จะให้อภัยซึ่งกันและกัน ตราบใดที่เราคาดหวังการให้อภัยจากพระเจ้า แต่เราไม่ให้อภัยพี่น้อง หรือให้อภัยแต่ปาก ก็อย่าหวังที่จะได้รับการอภัยเลย

สุภาษิต 10:12
ความเกลียดชังเร้าให้เราเกิดความวิวาท แต่ความรักครอบงำบรรดาการทรยศเสีย

ขอพระเจ้าอวยพระพรและเสริมกำัลัง
ขอบคุณพระเจ้า
Ktm.worship

วันอังคารที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รักแบบเท่าเทียม


วันหนึ่งเมื่อฟังคำเทศนา เรื่องให้รักเพื่อนบ้านและรักทุกคนไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะยากดีมีจนแค่ไหน ผมก็เป็นหนึ่งคนที่ตอบว่า "อาเมน" และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่

จะสำแดงความรักแก่คนเหล่านั้น มันไม่น่าจะยากเลยที่จะสำแดงความรักแบบนั้น ใช่ไหมครับ พระเจ้าให้เรารักทุกคนแม้คนคนนั้นจะดูไม่ค่อยน่ารักสักเท่าไรก็

ตาม คนจนมอมแมม คนสูบบุหร่และตัวเหม็น คนที่ไม่สะอาด คนเมาที่เคยเข้ามาในคริสตจักร หรือแม้แต่คนที่มีนิสัยไม่น่ารัก เอะอะโวยวาย ขี้โอ่ เห็นแก่ตัว คน

ชอบนินทา และอีกมากมาย

ครั้งหนึ่งที่มีคนหลายประเภทเหล่านี้เดินเข้ามาในคริสตจักร ผมแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา แต่ลึกๆแล้วผมเองก็เคยที่จะเดินเลี่ยงคนเหล่านี้ไปและไม่ได้

คุยสักเท่าไรนัก พระเจ้าได้พูดในใจผมว่า เจ้าไม่ต่างอะไรกับคนที่ปฏิเสธที่จะสำแดงความรักแก่คนเหล่านั้น หลายครั้งคนเหล่านี้ไม่ได้ถูกสนใจ หรือถูกปล่อยปละ

ละเลย แต่ถ้ามีคนที่ดูดีเข้ามาในคริสตจักร โดยไม่รู้ตัวและอัตโนมัติ บางครั้งเราก็เดินไปให้การต้อนรับแก่เขาเห่านั้นอย่างดี นั่นเพราะเราก็ยังมองภาพภายนอกอยู่

หรือไม่เราก็เลือกที่จะคุยเฉพาะคนที่เราอยากจะคุยและสนทนาเท่านั้น

พระเจ้าเองก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธเราเช่นเดียวกัน แม้เราเองที่เป็นคนบาปและสกปรกขนาดไหน พระเจ้าก็ยังรักเราและยอมตายแทนเราเพื่อที่เราจะได้เข้ามามี

ส่วนร่วมกันในพระองค์ พระองค์ทรงไม่ได้เลือกที่จะไปกินเลี้ยงที่บ้านนายทหารระดับสูง พระองค์ไม่ได้เลือกที่จะคบแต่ มหาปุโรหิต หรือผู้มีตำแหน่งหน้าที่การ

งานดีๆ แต่พระองค์เลือกที่จะหยุดอยู่กับคนเป็นง่อยสกปรก ขอทาน แะแม้แต่หญิงโสเภณีริมทาง

2:1 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลายของข้าพเจ้า ด้วยเหตุที่ท่านมีความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้าของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิรินั้น จงอย่าลำเอียง
2:2 เพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งสวมแหวนทองคำและแต่งตัวดีเข้ามาในที่ประชุมของท่าน และมีคนจนคนหนึ่งแต่งตัวซอมซ่อเข้ามาด้วย
2:3 และท่านสนใจคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี และกล่าวโอภาปราศรัยกับเขาว่า "เชิญท่านนั่งที่นี่เถิด" ในขณะเดียวกันท่านก็พูดกับคนจนนั้นว่า "แก

จงยืนอยู่ที่นั่น" หรือ "จงนั่งแทบเท้าของเราเถิด"
2:4 ท่านมิแบ่งชั้นวรรณะ และวินิจฉัยด้วยใจชั่วหรือ
2:5 พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงฟังเถิด พระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นผู้รับมรดกแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรง

สัญญาไว้ แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ
2:6 แต่ท่านทั้งหลายได้ดูถูกคนจน ไม่ใช่คนมั่งมีหรือที่กดขี่ข่มเหงท่าน ไม่ใช่เขาเหล่านั้นหรือที่ลากตัวท่านไปขึ้นศาล
2:7 ไม่ใช่เขาเหล่านั้นหรือที่สบประมาทพระนามอันประเสริฐซึ่งใช้เรียกท่าน
2:8 ถ้าท่านทั้งหลายบำเพ็ญตนตามพระบัญญัติโดยแท้จริง ตามพระคัมภีร์ที่ว่า จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง แล้วท่านทั้งหลายก็ประพฤติดีอยู่
2:9 แต่ถ้าท่านทั้งหลายลำเอียง ท่านก็กระทำบาป และว่าตามธรรมบัญญัติท่านก็กระทำผิด
2:10 เพราะว่าผู้ใดรักษาธรรมบัญญัติได้ทั้งหมด แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นก็เป็นผู้ผิดธรรมบัญญัติทั้งหมด

พระเจ้าไม่ต้องการให้เราลำเอียง เราอาจจะไม่ต้องใจที่จะสนใจแต่คนที่ดูดีและเข้ามาในคริสตจักรส่วนคนที่ซอมซ่อเราก็อาจจะไม่สนใจเขาเหล่านั้นหรือว่าอาจจะ

ไม่ค่อยได้วนใจสักเท่าไร พระเจ้ามีพระประสงค์ช่วยคนขัดสนอยู่แล้วให้มั่งมี ให้ผู้ที่อ่อนแอกลับเป็นเข้มแข็ง เพราะถ้าเราทั้งหลายลำเอียงก็เท่ากับว่าเราได้

กระทำบาป พระบัญญัติข้อใหญ่ของพระเจ้าก็คือ จงรักเพื่อยย้านเหมือนรักตนเอง ไม่ว่าเพื่อนบ้านของเราจะเป็นเช่นไร ให้เรามอบและสำแดงความรักแก่เขา

เหล่านั้นในสังคมทุกวันนี้ที่คนเหล่านี้ถูกสังคมรังเกียจ แต่เราซึ่งเป็นลูกของพระองค์จะสวนกระแสและมอบความรักแก่เขาเหล่านั้นโดยไม่ใช่เป็นการสร้างภาพแต่

ออกมาจากหัวใจที่มีพระเยซูจริงๆ เพราะเขาเหล่านั้นต้องการอ้อมกอดแะความรัก ใครล่ะจะเป็นผู้มอบ นอกจากเราทั้งหลาย และคุณก็เป็นคนนั้นด้วยเช่นกัน

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

พระจนะบุฟเฟ่ต์


วันหนึ่งผมได้รับเชิญไปกินเลี้ยงงานวันเกิดพี่คนหนึ่งที่ห้าง
หนึ่งเป็นร้านอาหารเปิดใหม่ ที่มีคนต่อคิวรอเป็นหางว่าวมี
แต่คนรอที่จะเข้าเพราะเป็นช่วงโปรโมชั่นสุดพิเศษ ที่มา
สามคนแถมอีกหนึ่งคนและเป็นบุฟเฟ่ต์ด้วย คือกินเท่าไร
ก็ได้ไม่จำกัดจะยัดเท่าไรก็ได้ตราบที่จะยัดเข้าไปไหวภาย
ในกำหนดเวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง

เอาล่ะครับทีนี้ก็เป็นช่วงของการทำเวลา ภาพพจน์ต่างๆ
คงต้องเก็บเอาไว้ก่อน ไม่ใช่ว่าตะกละแต่ด้วยเวลาที่จำกัด
และอาหารที่มากมายที่เราอยากชิม จึงต้องรีบกินเพราะ
ต้องทำเวลาจนแน่นท้อง กินอาหารหลายอย่างมากจนไม่รู้
ว่าอะไรรสชาติเป็นยังไง ถามว่าอะไรอร่อยไหมก็ตอบยาก
เพราะรีบกินรีบทานจนไม่ทันได้สังเกตุหรือแช่อยู่กับรสชาติ
นั้นๆ

บางครั้งเราก็ทานอาหารแบบนั้นโดยไม่รู้ตัว เมื่อเราต้องเฝ้า
พระเจ้าตอนเช้า เรากำหนดเวลาให้กับพระองค์ ประมาณว่า
พระเจ้าข้าพระองค์มีเวลาเท่านี้นะ เราเฝ้าเดี่ยวแบบอาหาร
บุฟเฟ่ต์คือรีบกินๆและก็กิน ยัดๆเข้าไปและกลับไม่ค่อยได้
เรียนรู้อะไรเลย

เช่นเดียวกันอาหารฝ่ายวิญญาณก็ต้องการการเคี้ยวอย่างช้าๆ
เพื่อสุขภาพ และเพื่อประโยชน์อย่างเต็มที่

เราเคยเห็นวัวที่เคี้ยวหย้าไหมที่เราเรียกว่าวัวเคี้ยวเอื้อง มัน
จะไม่เดินไปเดินมาในระหว่างการกิน มันจะยืนอยู่นิ่งๆ และ
เคี้ยวหญ้าอย่างช้าๆ ย้ำๆ และคายออกมาและเคี้ยวกลับเข้าไป
ใหม่อีกครั้งหนึ่ง หนึ่งคำของมันใช้เวลาในการเคี้ยวนานมาก
ด้วยเหตุนี้ วัวจึงมีน้ำนมที่มีประโยชน์และมีคุณค่า

พระวจนะของพระเจ้าเปรียบได้กับอาหารฝ่ายวิญญาณที่เราต้อง
ด้านกายภาพถ้าเราไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอร่างกายของ
เราจะเป็นเช่นไร คริสเตียนหลายคน พระวจนะนั้นช่างขมเสียจริง
และเขาก็จะงอแงเหมือนเด็กบางคนที่ไม่ชอบกินผัก การกินพระ
วจนะนั้นจึงเหมือนสิ่งที่ขมและไม่อยากจะสัมผัส

สมัยนี้อาหารเพื่อสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย และหลาย
คนก็พยายามดูแลสุขภาพและขวนขวายที่จะหาอาหารเพื่อสุขภาพ
เพื่อตัวเอง แต่ทางตรงกันข้าม ร่างกายฝ่ายวิญญาณกับได้รับแต่
สารอาหารที่ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เลย และไม่ได้รับความใส่ใจที่จะ
ดูแลด้วยซ้ำ

1 เปโตร 2:2
เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอัน
บริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้นสู่ความ
รอด


เราต้องดื่มนมเพื่อที่เราจะมีร่างกายและสุขภาพที่ดีและสมบูรณ์
สดุดี 19:10 กล่าวว่าพระวจนะนั้นหวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง
แต่บางครั้งทำไมพระวจนะนั้นกลับขมอย่างกับบอระเพ็ด
แต่เปโตบอกเราว่า เราควรจะปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณคือ
พระวจนะมันเป็นรสนิยมที่ต้องปลูกฝังในเรา

เพื่อเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ในฝ่ายวิญญาณ พระวจนะ
ไม่ใช่เพื่อให้หัวของเราเต็มด้วยพระวจนะข้อเท็จจริงแะความรู้
แต่ เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต

อย่าให้เราอ่านพระวจนะหรือเฝ้าเดี่ยวและให้จบไปเร็วๆโดยที่ใน
หัวเรามีโปรแกรมต่างๆรอต่อคิวอยู่เพียบ ผมไม่ได้พูดให้คุณ
โต้แย้งว่า "ก็เธอไม่ยุ่งแบบฉันนี่" แต่ผมอยากหนุนใจว่าให้
เราใคร่ครวญพระวจนะซ้ำไปซ้ำมา และเราจะได้รับสิ่งใหม่ๆ
ในพระคัมภีร์ ดาวิดบันทึกว่า "ข้าพระองค์จะภาวนาข้อบังคับ
ของพระองค์ และจับตาของข้าพระองค์อยู่ที่วิถีทั้งหลายของ
พระองค์"
สดุดี 119:15
อย่าให้เราอ่านพระคัมภีร์แบบกินบุฟเฟ่ต์ แต่ควรกินอย่างช้าๆ
เพื่อให้ได้รับรู้ถึงรสชาติอย่างพิถีพิถัน นั่นแหละเราจะได้ประโยชน์
และคุณค่าทางอาหารแบบเต็มที่ เพื่อสุขภาพที่ดีฝ่ายวิญญาณของเรา

และเมื่อเรามีสุขภาพที่ดีและสมองที่ดีเหมือนโฆษณาแบรนด์ซุปไก่
เราจะสามารถแยกแยะความดีและความชั่ว สิ่งที่บ่งบอกความเป็นผู้
ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่การที่เราท่องพระวจนะได้เป็นเล่มๆ ไม่ใช่
การที่เรามีความจำที่ดีกว่าคนอื่น บางคนอาจจะอ่านพระวจนะและท่อง
แต่ก็ไม่สามารถจำได้ดีเท่ากับบางคนที่นานๆทีอ่านด้วยซ้ำ บางคน
ท่องได้แค่ข้อเดียว แต่บางคนอาจจะท่องๆได้หลายข้อ นั่นไม่ใช่ตัววัด
ถึงความเป็นผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะจบ ด๊อกเตอร์ศาสนศาตร์ หรือไม่จบ
อะไรเลย แต่สิ่งสำคัญคือมันอยู่ที่ว่าเราใช้พระวจนะนั้นมากเพียงไร
ต่างหาก

"พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์
ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี และการ
อบรมในทางธรรมเพื่อคนของพระเจ้า จะพรักพร้อมที่จะกระทำการดี
ทุกอย่าง"
2 ทิโมธี 3:16-17


ปีหน้านี้ 2011 เราต้องใจหรือยังว่าเราจะอ่านพระวจนะให้จบกี่รอบ



ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เฉลิมฉลองพระเยซู

2-3 ปีที่ผ่านมานี้เราไม่ได้จัดงานที่ใช้ชื่อว่าคริสต์มาส แต่เราก็มีงานเฉลิม
ฉลองเทศกาลของพระเจ้ามาตลอดทั้งปี เราออกพันธกิจงานประกาศ และเมื่อ
ถึงสิ้นปี ก็เป็นช่วงเวลาของการพักผ่อน เรามีงานเฉลิมฉลอง และกินเลี้ยงกัน
เมื่อสิ้นปีโดยใช้ชื่องานว่า "งานผูกรัก"

ในความเป็นจริงแล้วแวดวงคริสเตียนเกือบทั้งหมดได้รับรู้กันหมดแล้วว่า
คริสต์มาส ไม่ได้เป็นวันที่พระเยซูมาประสูติ แต่การจัดคริสต์มาสแม้จะจัด
หรือไม่จัด ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องมาถกเถียงกัน และหาเหตุผลอะไรทั้งนั้น การ
จัดคริสต์มาสเพื่อการประกาศและการเแลิมฉลองก็เป็นการดีด้วยซ้ำ แต่ว่า
เราต้องเข้าใจและไม่จัดในเชิงประกาศว่าเป็นวันประสูติของพระเยซู เรา
เองก็จัดงานที่ใช้ชื่อว่างานผูกรัก เพื่อนเฉลิมฉลองและเพื่อให้พี่น้องได้พบ
ปะและผ่อนคลายในความเหน็ดเหนื่อยตลอดปีที่ผ่านมา

แม้ว่า 25 ธันวาคม จะเป็นการเฉลิมฉลอง บูชาเทพพระอาทิตย์
ที่คอนแสตนตินจัดขึ้นเพื่อเทพบูชาพระอาทิตย์ เราจึงไม่ร่วมเฉลิมฉลอง
และถือเป็นวันประสูติของพระเยซู และไม่สื่อสารใดๆที่ชี้ว่าเป็นวันประสูติ
ของพระเยซู แต่เราสามารถจัดเฉลิมฉลองการที่พระองค์เสด็จมาประสูติ
ได้และถือ เป็นการจัดการประกาศได้

ขอให้เรามีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเถิด อย่าได้ตำหนิผู้ที่จัดคริสต์มาส
และผู้ที่จัดคริสต์มาสก็อย่าได้ตำหนิกับผู้ที่ไม่จัดคริสต์มาส ไม่ว่าเราจะจัด
คริสต์มาส อีสเตอร์ หรือเข้าร่วมในเทศกาลต่างๆของพระเจ้าในพระคัมภีร์
โทราห์ พระเจ้าต้องการให้เราสำแดงความรักของพระองค์และประกาศข่าว
ประเสริฐของพระองค์ออกไปทั่วโลก

-พระเยซูประสูติ (เฉลิมฉลอง)
ลูกา 1:5 (26)
1 พงศาวดาร 24
- ทูตสวรรค์ปรากฎในช่วง 12-18 สิวาน (มิถุนายน)
ในช่วงเวลาของเดือนนี้ กันยายน หรือ ทิชรี ในตามปฏิทินของพระเจ้านั้น
เป็นช่วงเวลาแห่งการชื่นชมยินดี เป็นเดือนแห่งความชื่นชมยินดีมากที่สุด
เดือนหนึ่ง หลายคนก็เข้าใจแล้วว่า วันที่ 25 ธันวาคมนั้นไม่ใช่วันประสูติ
ของพระเยซู และเราก็ไม่ได้ต้องการจะเถียงกันในเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพระ
องค์ประสูติวันใด แต่ไม่ใช่วันที่ 25 ธันวาคม เพราะช่วงเวลานั้นเป็นหน้า
หนาวจัด คงมองไม่เห็นดาวแน่ๆ และยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บ คงไม่มีใคร
เอาแกะออกมาเลี้ยง

พระองค์อาจจะประสูติช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในขณะที่ อากาศยังอบอุ่น พอที่
คนเลี้ยงแกะจะออกมานอนข้างนอกกับฝูงแกะได้ และเรารู้ว่าพระวิญญาณ
บริสุทธิ์เสด็จมาในช่วงเวลาเทศกาลเพ็นเทคอสต์ พระเยซูจึงประสูติในช่วง
เวลา (ในช่วงเวลานะครับ) เทศกาลอยู่เพิง หรือสุคคต นั่นเอง

- อลิซาเบธตั้งครรภ์ช่วงนี้ 25 สิวาน  (285 วัน)
  กำหนดเวลาตั้งครรภ์โดยประมาณ
- ยอห์นบัพติศโต เกิด15 นิสาน (ช่วงปัสกา)
   ลูกา 1:26 อลิซาเบธท้องได้ 6 เดือน
   มารีย์ตั้งครรภ์
- 25 คิสเลฟ (พระเยซู) เทศกาล ฮานูก้า (เทศกาลแสงสว่าง)
- 285 วัน พระเยซูประสูติ 15 ทิชรี  (เทศกาลอยู่เพิง)

  ยอห์น 1:14
พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา 
บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง   เราทั้งหลายได้เห็นพระ
สิริของพระองค์   คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของ
พระบิดา
..ตอนที่มารีมาถึงเบธเลเฮ็ม ช่วงนั้นเป็นเทศกาลอยู่เพิง

เรารู้ได้ว่าการประสูติของพระเยซูนั้นสอดคล้องกับวิธีการของพระเจ้า
ในการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระวาทะที่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์
และทรงอยู่ท่ามกลางเรา ยอห์น 1:14 ในเทศกาลอยู่เพิง สุคคต คือช่วง
เวลาที่ชาวยิวจะอยู่ในเพิงชั่วคราวและอ่านพระ วจนะของพระเจ้า

สำหรับเทศกาลนี้คือช่วงเวลาแห่งความชื่นชมยินดี สำหรับเราเวลาแห่ง
ความชื่นชมยินดีคือการที่พระองค์ได้ประสูติ ผู้ทรงนำความชื่นชมยินดี
ในความรอดมาสู่โลกนี้

คริสต์มาสนี้ขอพระเจ้าอวยพระพรพี่น้องทุกคน ขอพระเจ้าเสริมกำลังและ
เรี่ยวแรงกับพี่น้องทุกคนตลอดปีที่ผ่านมา ขอความรักของพระเจ้าออกไป
สัมผัสและแตะต้องหัวใจของทุกคนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวพระองค์ในการ
ประกาศ ขอแผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ในหัวใจของพี่น้องทุกคน ขอบคุณ
พระองค์ที่ทรงเสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อเรา

บทความที่เกี่ยวข้อง
http://missionkorat.blogspot.com/2010/09/blog-post_7993.html

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มั่นคงดีแล้วหรือ


หลายครั้งที่ผมได้ยินถึงความผิดพลาดของคนบางคน แล้วถ้าคนคนนั้น
เป็นบุคคลที่เรารู้จัก หรือคุ้นเคยเราจะรู้สึกเช่นไร จะมีผลกระทบต่อเรา
หรือไม่ เราอาจจะผิดหวังกับคนๆนั้นเพราะอาจจะให้ความเคารพหรือ
นับถือ หรือเพราะเขาเป็นแบบอย่างแก่เรา

หรือแม้ว่าเขาอาจจะเป็นคนที่เราไม่ค่อยชอบนักและเราคอยเฝ้ามองดู
ความล้มเหลวของเขาหรือความผิดพลาดของเขา เมื่อใดก็ตามที่เขาล้ม
ลงเรามีความรู้สึกเช่นไร

เหล่านี้เป็นคำถามที่เราต้องถามภายในของเราด้วยเช่นกันว่าเราจะตอบ
สนองต่อเหตุการณ์เหล่านี้อย่างไร

ถ้าเราทั้งหลายมีความมั่นคงในพระเจ้าพระบิดาของเราสิ่งเหล่านี้จะไม่มีผล
กระทบต่อเราเลย เราอาจจะเจอและพบกับความล้มเหลวของผู้อื่น แต่พระ
คัมภีร์ได้เตือนเราว่า คนที่คิดว่าตนเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี กลัวว่าจะ
ล้มลง
1 โครินธ์ 10:12

บทความก่อนผมได้เขียนเรื่องของการนินทา เมื่อใดก็ตามที่พูดถึงข้อผิด
พลาดหรือเรื่องการล้มเหลวของพี่น้องของเรา หรือของผู้อื่นในเชิงนินทา
ตำหนิ ว่าร้าย เสียดสี ส่อเสียด เหน็บแนม กระแนะกระแหน แดกดัน ก็
เหมือนเป็นการซ้ำเติมคนคนนั้น

หลายครั้งที่คนที่นินทาผู้อื่น และซ้ำเติมคนที่ล้มลง สักวันเขาเหล่านั้นก็
อาจจะไปยืนอยู่ตรงจุดนั้น การล้มลงในเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องใหญ่ เช่น
การต่อว่าและวิจารณ์ ในเชิงลบต่อคนที่ติดสินบนตำรวจเมื่อโดนใบสั่ง แทน
ที่จะอธิษฐานเผื่อคนคนนั้น หรือพูดหนุนใจต่อหน้า ไม่นานคนคนนั้นก็ติด
สินบนตำรวจด้วยเช่นเดียวกัน "เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว
ก็จงระวังให้ดีกลัวว่าจะล้มลง"

ถ้าคิดว่าจะพูดซ้ำเติม หรือตอกย้ำและตอกตราว่า "เห็นไหม,ว่าแล้ว,จนได้
ทำตัวเหมือนเดิม,ไม่เคยเปลี่ยนแปลง"
บางครั้งหลายปีผ่านไป ความผิดพลาดในอดีตก็กลายเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็น
สัญลักษณ์ที่เขาคนนั้นถูกเรียกเป็นฉายา เช่น ไอ้ขี้โกง เป็นต้น

อย่าส่ายศีรษะเลย มันเหมือนกับการปฏิเสธพี่น้องหรือกายเดียวกัน ความบาปที่
ซ่อนเล้นของคุณในมุมที่คนอื่นไม่รู้ พระเยซูยังไม่ทรงปฏิเสธคุณเลย ฉะนั้น
พระองค์ก็คาดหวังที่เราจะรักกันในคริสตจักรด้วยเช่นกัน

จงอธิษฐานเพื่อพี่น้องของเราที่ล้มลงดีกว่าไปนั่งพูดและนั่งวิจารณ์เจาะลึก
เราไม่ต้องทำหน้าที่แบบ สรยุทธ ในประเด็นเด็ด เจาะข่าว ค้นข่าว และ
วิเคราะห์ข่าว จงอธิษฐานเผื่อซึ่งกันและกัน เพื่อเขาจะเห็นและได้รับการ
เปลี่ยนแปลง

พระคัมภีร์ที่เตือนเราว่า
เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว
ก็จงระวังให้ดีกลัวว่าจะล้มลง นั้นบ่งบอกได้ว่าอย่าคิดว่าตัวเองสมบูรณ์จน
มองหาและมองดูแต่ความผิดพลาดของคนอื่นและซ้ำเติมด้วยการวิเคราะห์
และวิจารณ์จากมันสมองอันฉลาดของตัวเอง ถ้าเราบอกว่าเราเชื่อพระเจ้า
รักพระเยซู เราเองก็ควรตอบสนองแบบที่พระเยซูตอบสนอง

จงเข้าลี้ภัยอยู่ในพระเจ้า นั่นคือความมั่นคงที่แท้จริง

ขอบคุณพระเจ้า
ktm.worship